กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 346 ฆ่าข้า หรือไม่เช่นนั้นก็ไปกับข้า! (1)
ทั้งสองตกตะลึง นายท่านถูกจับตัวอย่างง่ายดาย นี่เป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน พวกเขาตะโกนเรียกเสียงดัง “นายท่าน!”
ตงฟางเจ๋อไม่ตอบสนอง ได้แต่มองซูหลีอย่างเหม่อลอย
ซูหลีเองก็อึ้งไปเช่นกัน แทบไม่อยากเชื่อภาพที่เกิดขึ้นตรงหน้า
“รีบจับตัวพวกเขาสองคนเดี๋ยวนี้!” ผู้อาวุโสเสวียนจิ้งออกคำสั่ง เซิ่งฉินและเซิ่งเซียวที่ไม่กล้าขัดขืนถูกมัดตัวอย่างรวดเร็ว พวกเขาถูกผลักให้คุกเข่าแทบเท้านาง ตงฟางเจ๋อเองก็ถูกเสวียนจิ้งสกัดจุดลมปราณ ร่างกายเหยียดตรงแน่นิ่ง
“ควรลงโทษสามคนนี้เช่นไรดี ท่านธิดาเทพโปรดตัดสินใจด้วย” ผู้อาวุโสเสวียนจิ้งค้อมกายขอคำชี้แนะ สีหน้าปรากฏแววย่ามใจ แววตาเต็มไปด้วยไอสังหาร
ผู้อาวุโสเสวียนฟงก้าวออกมากล่าวว่า “ย่อมต้องสังหารทันที เพื่อไม่ให้กลายเป็นภัยพิบัติอันจะเกิดขึ้นในภายหน้า”
“ใช่ ฆ่าพวกเขาเสีย!” คนในลัทธิต่างตะโกนอย่างพร้อมเพรียง
พวกเซี่ยงหลีขมวดคิ้ว ไม่มีใครคาดคิดว่าคนที่แม้แต่พวกเขาสี่คนรวมพลังกันก็ยังสู้ไม่ได้ จะถูกจับตัวได้ง่ายๆ เช่นนี้!
หลังจากตื่นตะลึง ซูหลีก็รีบตั้งสติ คนนับร้อยที่อยู่ในวิหารแห่งนี้ล้วนผ่านการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี พวกเขาล้วนเป็นนักฆ่ามืออาชีพที่สามารถทำภารกิจลอบสังหารได้โดยลำพัง วรยุทธ์ย่อมไม่ธรรมดาอยู่แล้ว โดยเฉพาะหัวหน้าสำนักทั้งแปดคนนั้น นอกจากนี้สองผู้อาวุโสมีวรยุทธ์ลึกล้ำเพียงใด มีความคิดเช่นไรก็ยังไม่เป็นที่ประจักษ์ พวกเขารับพระบัญชาจากฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนให้แต่งตั้งนางเป็นธิดาเทพ แต่อาจไม่ได้ติดตามนางด้วยใจจริง หากหวังจะให้พวกเขาสงบความวุ่นวายในครั้งนี้ แทบไม่มีความเป็นไปได้เลย
แท่นบูชาหลักของลัทธิธิดาเทพลึกลับมาก ตงฟางเจ๋อบุกรุกเข้ามา หากว่ากันตามกฎของลัทธิก็สมควรตาย ยามนี้กลุ่มคนกำลังโกรธเกรี้ยว หากต้องการสงบความวุ่นวาย ก็จำต้องสยบพวกเขาในคราวเดียว!
ซูหลีขมวดคิ้ว ตวาดเสียงเข้ม “หยุดเดี๋ยวนี้!”
“ท่านธิดาเทพปกป้องพวกเขาหรือ?” คนผู้หนึ่งชะงัก แม้จะเรียกนางว่าธิดาเทพ แต่น้ำเสียงกลับไร้ซึ่งความเคารพนอบน้อม
“นางไม่เหมาะสมจะเป็นธิดาเทพ! เป็นเพียงคนทรยศที่ทุกคนสามารถสังหารได้ทุกเมื่อ! พวกเจ้าใครจะนับถือนางเป็นธิดาเทพ?” ชายวัยกลางคนสวมชุดสีเทาผู้หนึ่งก้าวออกมาจากกลุ่มคนด้วยความเดือดดาล เขาชี้หน้าซูหลี แล้วตะโกนเสียงดัง “ข้าโจวเยวี่ยคนหนึ่งละที่ไม่ยอมรับ!”
ที่แท้เขาก็คือโจวเยวี่ยหัวหน้าสำนักท่องโมรา! เขาช่างโผล่ออกมาได้จังหวะ! สายตาของซูหลีเย็นเยียบ ไม่รอให้เขาพูดจบ นางโบกแขนกลางอากาศ พลังฝ่ามืออันแข็งแกร่งถูกซัดไปที่หน้าอกของคนผู้นั้นทันที
โจวเยวี่ย หัวหน้าพรรคท่องโมรานึกไม่ถึงว่าจู่ๆ นางจะจู่โจม จึงหลบไม่ทัน ทำได้เพียงยกมือตั้งรับ เสียง ‘บึ้ม’ ดังสนั่น ร่างกายเขากระเด็นลอยออกไป! ร่างของชายชาตรีสูงเจ็ดเซี๊ยะกระแทกเข้ากับผนังวิหารด้านหนึ่งอย่างแรง เสียงโครมครามดังสนั่นเลื่อนลั่น ทุกคนสั่นสะท้านด้วยความตกใจ เห็นเพียงเขากระอักเลือดออกมาคำโต แล้วล้มลงไป
ทุกคนเงยหน้าด้วยความตื่นตะลึง ครั้นเงยหน้ามองผนังแข็งๆ กลับเห็นหลุมขนาดใหญ่อยู่บนนั้น!
ด้านในวิหารกลางน้ำ เงียบงันไร้เสียงราวกับไม่มีสิ่งมีชีวิตอยู่
ซูหลีค่อยๆ เยื้องย่างลงจากตำแหน่งสูง หลุบตามองบุรุษที่นอนกองอยู่กับพื้นมองนางด้วยสายตาเคียดแค้น แล้วกล่าวเสียงเย็นชา “ได้ยินมาว่าหัวหน้าสำนักท่องโมราเข้มงวดกับศิษย์ในสำนักมาก ผู้ใดกล้าขัดขืนคำสั่งต้องถูกลงโทษอย่างหนัก มีคนตายเพราะเหตุนี้มานับไม่ถ้วน! วันนี้ข้าเองก็อยากลองว่าวิธีนี้จะใช้ได้ผลหรือไม่!”
“เจ้า! เจ้า…” โจวเยวี่ยเบิกตากว้าง โกรธจนพูดไม่ออก
ซูหลีหมุนแหวนหยกขาวบนนิ้วมืออย่างไม่แยแส ก่อนจะเงยหน้าเล็กน้อย กวาดมองใบหน้าของทุกคนอย่างเย็นชา นางมองผ่านที่ใด ทุกคนล้วนอกสั่นขวัญแขวน พากันก้มหน้าก้มตา ภูติซ้ายจิ้งมีวรยุทธ์สูงส่ง และโหดเหี้ยมถึงเพียงนี้ จำต้องยอมรับ!
ซูหลีตวาดเสียงเกรี้ยว “พิธีกรรมเสร็จสิ้นแล้ว สัญลักษณ์มงคลอยู่ตรงนี้ ข้าเป็นธิดาเทพแห่งลัทธิเรา ผู้ใดกล้าไม่ฟังคำสั่ง ถือว่ามีความผิดฐานลบหลู่เบื้องสูง ต้องโดนลงโทษตามกฎลัทธิ! จงฟัง!” นางกล่าวเสียงดังฟังชัด
ทูตทั้งสี่รีบก้าวเข้ามารับคำสั่ง
ซูหลีกล่าวว่า “หัวหน้าสำนักท่องโมราทำผิดกฎ นับจากนี้ให้ลดขั้นเป็นศิษย์ธรรมดาในลัทธิ ส่วนหัวหน้าสำนักคนใหม่จะมีการเลือกวันเพื่อคัดเลือกผู้มีความสามารถมารับตำแหน่งแทน ทูตนารี เรื่องนี้ให้เจ้าเป็นผู้รับผิดชอบ จับเขาไปขังก่อน รอฟังคำตัดสินโทษอีกที”
“รับทราบ” หวั่นซินรับคำ จากนั้นก็สั่งคนให้ลากโจวเยวี่ยออกไป
ผู้อาวุโสเสวียนจิ้งรู้สึกเย็นเยียบไปทั้งใจ ธิดาเทพลงมือกับคนที่ขัดขืนคำสั่งอย่างเด็ดขาด และไร้ความปรานีถึงเพียงนี้! แต่สำหรับคนนอกสามคนนี้ นางกลับบ่ายเบี่ยงไม่ยอมพูดถึง เห็นได้ชัดว่ามีจุดประสงค์อื่น เขาขมวดคิ้วถามทันที “ท่านธิดาเทพคิดจะลงโทษสามคนนี้เช่นไร?”
ตงฟางเจ๋อจ้องตาซูหลีเขม็ง สายตาของเขาสับสนวุ่นวาย คล้ายไม่ได้เป็นห่วงสถานการณ์ในยามนี้ของตนเองเลยแม้แต่น้อย
ซูหลีเบนสายตาออกไปอย่างไม่แยแส ก่อนจะออกคำสั่งเสียงเข้ม “จับขังไว้ก่อน ไว้ค่อยคุยกันภายหลัง ข้าเหนื่อยแล้ว พวกเจ้ากลับไปเถิด” น้ำเสียงของนางเด็ดขาด เอ่ยจบ นางก็หมุนกายเดินไปยังตำหนักของธิดาเทพ ไม่หันกลับมามองเขาอีก
ในกองกำลังที่หาเลี้ยงชีพด้วยการสังหารคนเช่นนี้ ยามที่ควรแข็ง มิอาจอ่อนข้อเด็ดขาด และการปราบปรามด้วยกำลัง ก็เป็นสุดยอดวิธีที่ดีที่สุดเสมอ
ตำหนักของธิดาเทพมีชื่อว่าตำหนักเซิ่งซิน ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของแท่นบูชาหลัก สภาพแวดล้อมรอบด้านค่อนข้างเงียบสงบ ผู้ดูแลในแท่นบูชาหลักเป็นบุรุษหนุ่มผู้หนึ่ง อายุประมาณยี่สิบปี รูปร่างหน้าตาธรรมดา ดูไม่มีอะไรเป็นพิเศษ
“ข้าน้อยเซี่ยฝูอัน เป็นผู้ดูแลในแท่นบูชาหลัก ขอคำนับท่านธิดาเทพ”
ซูหลียกมือเล็กน้อย กล่าวอย่างใจเย็น “ไม่ต้องมากพิธี เจ้ารับหน้าที่นี้มานานเท่าใดแล้ว?”
“เรียนธิดาเทพ ข้าน้อยรับหน้าที่ดูแลแท่นบูชาหลักมาสิบกว่าปีแล้วขอรับ” เซี่ยฝูอันก้มหน้าก้มตา แล้วตอบอย่างนอบน้อม “ก่อนหน้านี้ตอนที่ลัทธิเราไม่มีธิดาเทพ เรื่องต่างๆ ในตำหนักข้าน้อยล้วนเป็นคนดูแลจัดการ ธิดาเทพมีเรื่องใด เรียกใช้ข้าน้อยได้ทุกเรื่องเลยขอรับ”
ซูหลีกล่าวเสียงเรียบเฉย “ดี ข้าเข้าใจแล้ว เจ้ากลับออกไปก่อนเถิด มีเรื่องใดข้าจะเรียกเจ้าเอง”
“ขอรับ” เซี่ยฝูอันรีบค้อมกายเดินจากไป
หวั่นซินเดินเข้ามากล่าวเสียงเบา “บ่าวทำตามที่คุณหนูสั่งแล้ว จับสามคนนั้นขังแยก แล้วสั่งให้คนจับตาดูไว้ คุณหนู…คิดจะทำเช่นไรกับพวกเขาเจ้าคะ?”
จัดการเช่นไร…นางเองก็ไม่รู้เหมือนกัน ปวดหัวยิ่งนัก ปล่อยก็ปล่อยไม่ได้ ฆ่าก็ฆ่าไม่ได้! ขังไว้นานๆ ก็ไม่ได้อีกเช่นกัน มิเช่นนั้น หากสองผู้อาวุโสนำเรื่องในวันนี้ไปรายงานฮ่องเต้แคว้นเปี้ยน คงยากที่จะไม่สงสัยในตัวตนของเขา ถ้าเกิดว่า…เวลานั้นมาถึงเรื่องราวคงวุ่นวายใหญ่โตแน่นอน! หลังจากคิดหน้าคิดหลัง ซูหลีก็ตัดสินใจว่า…ส่งตัวตงฟางเจ๋อออกจากลัทธิธิดาเทพโดยเร็วดีที่สุด!
“จะว่าไปแล้วก็แปลก เขาเป็นคนรอบคอบ เหตุใดจึงพาองครักษ์สองคนบุกเข้ามาในแท่นบูชาหลักของลัทธิธิดาเทพโดยไม่มีการเตรียมตัวใดๆ ทั้งสิ้น ซ้ำยังถูกเสวียนจิ้งจับตัวได้อย่างง่ายดายเช่นนี้? ช่างน่าเหลือเชื่อจริงๆ! ทำอย่างนี้ไม่สมกับเป็นเขาเลยสักนิด!” เซี่ยงหลีลูบคาง จนถึงตอนนี้เขาก็ยังรู้สึกเหลือเชื่อ
ฉินเหิงกลับกล่าวว่า “เรื่องนี้มีอะไรน่าแปลกใจ ครั้งที่แล้วเขาบุกเข้าไปในกองทัพศัตรูยามวิกาล ไม่ใช่อันตรายกว่าวันนี้หรือ?”
เซี่ยงหลีเหล่มองซูหลี ดวงตาดอกท้อของเขาไหวระริก แสร้งทำเป็นครุ่นคิด แล้วกล่าวว่า “หรือความรักทำให้คนเราสูญเสียสติปัญญา ทำให้บุรุษผู้สุขุมเยือกเย็นและชาญฉลาดผู้หนึ่งกลายเป็นคนบ้าได้จริงๆ?!”
ซูหลีทอดมองออกไปนอกหน้าต่าง เหมือนไม่ได้ยินคำพูดของเขา แต่หัวใจกลับหนักอึ้ง
ฉินเหิงถากถางเขา “อย่าคิดว่าเจ้ามีสาวงามอยู่ข้างกายมากมาย แล้วจะทำตัวเป็นเซียนแห่งความรักได้เล่า!”
“นี่! อย่าพูดถึงสาวงามเหล่านั้นอีกเลย ตอนนั้นที่ตัดสินใจออกจากแคว้นเฉิงอย่างกะทันหัน ข้ารีบจัดการธุรกิจการค้าในมืออย่างรีบร้อน ไม่พูดถึงทรัพย์สมบัติที่ขาดทุนไป แม้แต่สาวงามเหล่านั้นข้าก็ไม่ได้พามาด้วยสักคน มาคิดดูตอนนี้แล้วก็ช่างปวดใจยิ่งนัก!” เขายกมือกุมหน้าอก ทำท่าเหมือนเจ็บปวดรวดร้าวมาก ทว่ากลับยังคงแอบเหล่มองซูหลีเป็นระยะๆ พบว่านางไม่มีท่าทางทุกข์ใจเลยแม้แต่น้อย
…………………………………………………