กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 347 ฆ่าข้า หรือไม่เช่นนั้นก็ไปกับข้า! (2)
ครั้นเห็นซูหลีไม่เหลียวแลเขาสักนิด เซี่ยงหลีก็แสร้งถอนหายใจเสียงดังกว่าเดิม แล้วกล่าวว่า “ไม่ว่าอย่างไร คนเราก็ล้วนมีความรู้สึกกันทั้งนั้น ถ้าหากไม่มีความรู้สึก เช่นนั้นจะต่างอะไรกับศพเดินได้กันเล่า? ชีวิตคงน่าเบื่อแย่…โอ๊ย!” ยังพูดไม่ทันจบ เซี่ยงหลีก็รู้สึกเจ็บที่เท้าขึ้นมาทันที เขาหันไปถลึงตาใส่หวั่นซินที่เหยียบเท้าเขา “เจ้าทำอะไรน่ะ?”
หวั่นซินจ้องหน้าเขา แล้วเอ่ยเสียงเย็นชา “หุบปากของเจ้าเสีย”
“ก็ข้าพูดความจริง…”
“ยังไม่หยุดพูดอีก!”
นับตั้งแต่ออกจากแคว้นเฉิง สองคนนี้ดูเหมือนไม่ค่อยลงรอยกันตลอดการเดินทาง ซูหลีความคิดสับสันวุ่นวาย ไม่มีอารมณ์ฟังพวกเขาทะเลาะกัน จึงกล่าวเสียงเย็น “พอเถิด!”
ทุกคนหุบปากทันที
“ฉินเหิง เซี่ยงหลี พวกเจ้าจงคอยจับตาดูความเคลื่อนไหวของผู้อาวุโสทั้งสองท่านให้ดี จะให้ดีรวบรวมคนที่น่าไว้วางใจไว้ใช้งานด้วย สองคนนี้แม้จะนับถือข้าเป็นธิดาเทพตามรับสั่งของฮ่องเต้แคว้นเปี้ยน ทว่ากลับไม่ได้ยอมรับด้วยใจจริง พวกเขาอยู่ในลัทธิมานาน มีรากฐานลึกมาก ไม่กลัวพวกเขาตั้งตนเป็นปฏิปักษ์ต่อหน้า แต่กลัวพวกเขาจะลอบวางแผนลับหลัง สิบกว่าปีมานี้ลัทธิธิดาเทพเหมือนทรายที่กระจัดกระจายไปคนละทิศคนละทาง พวกเขาเคยชินกับการแยกตัวเป็นอิสระ คิดจะรวบรวมคงไม่ใช่เรื่องง่าย”
ฉินเหิงและเซี่ยงหลีรีบหุบยิ้ม แล้วรับคำทันที
ซูหลีหันไปมองหวั่นซิน แล้วกล่าวว่า “เจ้าจับตาดูสามคนนั้นที่ถูกขังไว้ให้ดี อย่าได้…ปล่อยให้เกิดเรื่องผิดพลาดใดเด็ดขาด”
หวั่นซินพยักหน้า ก่อนจะหมุนกายเดินจากไป ซูหลีโบกมือเบาๆ เป็นสัญญาณให้ฉินเหิงและเซี่ยงหลีไปได้ แล้วจึงค่อยเงยหน้ามองเจียงหยวน “ข้ามีเรื่องหนึ่งอยากให้เจ้าช่วย”
เจียงหยวนอึ้งไปเล็กน้อย “เจ้าสำนักมีเรื่องใดโปรดสั่งมาได้เลย ข้าน้อยพร้อมปฏิบัติตามหน้าที่”
“จากการจัดสรรหน้าที่ในอดีตของลัทธิธิดาเทพ เสวียนจีเจ้าสำนักเฉินเหมินคนก่อนน่าจะรับผิดชอบดูแลเรื่องยาพิษ ต้องมีบันทึกเกี่ยวกับพิษเหยียนเซิงเก็บไว้แน่นอน ข้าอนุญาตให้เจ้าไปตรวจสอบบันทึกทั้งหมดในลัทธิเพื่อหาวิธีแก้พิษชนิดนี้” สีหน้าของซูหลีเรียบนิ่ง ทว่ากลับสะท้อนถึงความจริงจัง
เจียงหยวนขยับปาก รู้สึกลำคอแห้งผาก ถึงกับพูดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ
“พิษในตัวเจ้าแม้จะถูกข้าสะกดไว้ก่อนแล้ว แต่หากปล่อยไว้นานไปไม่แก้พิษเสียที จะทำให้เจ้าสูญเสียกำลังภายในไปไม่น้อย ในเมื่อพวกเราเข้ามาในลัทธิแล้ว ก็ต้องหาวิธีแก้พิษ และแก้พิษให้ทันเวลา”
เจียงหยวนขอบตาร้อนผ่าว ค้อมกายคำนับ “ขอรับ”
“ไปเถิด หากมีใครขัดขวางเจ้า ก็บอกว่าเป็นคำสั่งของข้า หากพวกเขายังไม่ยอม เจ้าก็จัดการได้ตามเห็นสมควร“
เจียงหยวนค้อมกายอีกครั้ง แล้วมองนางด้วยสายตาลึกซึ้ง ใบหน้าที่ผ่านการแปลงโฉมมาแล้วของนางถึงแม้จะไร้อารมณ์ แต่ความรู้สึกในดวงตากลับแจ่มชัดถึงเพียงนั้น นี่คือคนที่กินยาไร้รักไปแล้วจริงหรือ? หัวใจของเจียงหยวนหนักอึ้งเล็กน้อย ไม่นานเขาก็หมุนกายเดินออกไป
นึกไม่ถึงสามคนนั้นยังไม่ไปไหน ครั้นเห็นเขาเดินออกมา ก็พร้อมใจรุมล้อมกันเข้ามา “มีเรื่องใดงั้นหรือ?”
เจียงหยวนถอนหายใจเบาๆ “นางให้ข้าไปหาวิธีแก้พิษ บอกว่าในลัทธิต้องมีบันทึกเก็บไว้เป็นแน่”
ทั้งสามคนอึ้งงัน หวั่นซินได้ยินสายตาก็หม่นหมอง หลุบตาถอนหายใจ “ในเวลาอย่างนี้นางกลับคิดถึงเจ้า ไม่ใช่พิษในร่างกายตนเอง…”
เจียงหยวนขมวดคิ้วแน่น กล่าวเสียงขรึม “นางกินยาไร้รักไปแล้ว ภายหน้าจะเป็นอย่างไร…ยากจะคาดเดา”
เซี่ยงหลีกระดกคิ้วคมเข้ม จ้องหน้าเจียงหยวนแล้วถาม “เจ้าเป็นหมอเทวดามิใช่หรือ? รอให้วรยุทธ์ของนางแข็งแกร่งขึ้น แล้วเจ้าก็ค่อยปรุงยาแก้พิษยาไร้รักให้ก็ได้แล้วมิใช่หรือ?”
“เจ้าคิดว่ายาไร้รักเป็นยาธรรมดา ที่ใครจะปรุงยาแก้พิษขึ้นมาก็ได้งั้นหรือ?!” เจียงหยวนเหล่มองเขาเล็กน้อย แล้วก็สาวเท้ายาวๆ เดินจากไป
“นี่…” เซี่ยงหลีตะโกนเสียงดังด้วยความไม่พอใจ ฉินเหิงกล่าว “เจ้าจะโกรธไปทำไม? เขารู้ดีอยู่แก่ใจ หากมีวิธี เจ้าคิดว่าเขาจะไม่นำออกมาใช้หรือ?”
หวั่นซินส่ายหน้าไปมา รู้สึกว่าพายุฝนกำลังจะมา ถอนหายใจเบาๆ แล้วเอ่ยว่า “ดูแลเรื่องของตนเองให้ดีเถิด อย่าคิดว่าเข้ามาในลัทธิแล้วลมฝนจะสงบ เกรงว่าด่านยากที่แท้จริงจะยังมาไม่ถึงเสียมากกว่า”
ดวงอาทิตย์อัสดง ท้องฟ้าเริ่มมืด ตำหนักเซิ่งซินค่อยๆ ถูกประกายรัศมีสีทองเจิดจรัสแผ่ปกคลุม ซูหลีเพิ่งกินมื้อค่ำเสร็จ ยามนี้กำลังนั่งเหม่อลอยอยู่ในห้องนอนเพียงลำพัง
ตงฟางเจ๋อถูกขังเป็นเวลาหนึ่งชั่วยามแล้ว จนถึงตอนนี้ ยังไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ เกิดขึ้นที่ห้องลับ กลับไม่มีผู้ใดเข้ามาช่วยเขา หรือจะเป็นอย่างที่เซี่ยงหลีว่าจริงๆ เขาถูกความรักทำให้สติเลอะเลือน บุกมาที่นี่โดยไม่เตรียมการอะไรเลย?
ซูหลีขมวดคิ้วแน่น รอต่อไปไม่ได้แล้ว หากเวลาผ่านไปนานกว่านี้อีกหน่อย แล้วหยางเซียวกับฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนมาที่นี่ต้องกลายเป็นเรื่องใหญ่แน่นอน นางเดินออกจากประตู เรียกหวั่นซิน แล้วทั้งสองก็เดินไปยังคุกลับ
ณ ห้องลับแห่งหนึ่งที่อยู่ใกล้ตีนเขา มืดมิดและอับชื้น ยังไม่ทันเข้าประตูด้วยซ้ำ กลิ่นเชื้อราในอากาศก็ลอยออกมาปะทะใบหน้า ซูหลีไล่ยามเฝ้าประตูไป แล้วกำชับให้หวั่นซินเฝ้าข้างนอกไว้ให้ดี ก่อนจะเดินเข้าไปอย่างแช่มช้า
ห้องขังมืดมิด และเงียบมาก ไม่มีไฟแม้แต่น้อย ตงฟางเจ๋อนั่งก้มหน้าอยู่บนพื้น ไม่รู้กำลังคิดสิ่งใดอยู่ ครั้นได้ยินเสียงฝีเท้าใกล้เข้ามาเบาๆ เขาค่อยๆ เงยหน้าขึ้น คล้ายไม่แปลกใจสักนิดที่นางมาหา
ยามนี้ ซูหลีสวมหน้ากากอันเย็นเยียบใบนั้นอีกครั้ง นางหยุดเดินห่างจากเขาในระยะสิบก้าว ภาพเหตุการณ์ที่คล้ายกันพลันปรากฏในใจ นี่เป็นครั้งที่สองที่นางมาพบเขาในสภาพแวดล้อมอันเลวร้ายเช่นนี้ ทว่ายามนี้พวกเขากลับไม่ได้รู้ใจและทะนุถนอมซึ่งกันและกันเช่นในอดีตอีกแล้ว
ซูหลีมองดูเขา ผ่านไปครู่หนึ่งก็ยังไม่พูดอะไร ส่วนตงฟางเจ๋อกลับดูใจเย็นและไม่แยแสยิ่งกว่ายามถูกขังในคุกมืดครั้งที่แล้ว ท่าทางเหมือนไม่มีความกังวลใดๆ ทั้งสิ้น
“ท่านธิดาเทพลำบากมาเยือนถึงที่นี่ด้วยตนเอง ข้าน้อยซาบซึ้งยิ่งนัก” ตงฟางเจ๋อกล่าวเสียงแช่มช้า น้ำเสียงสะท้อนแววเสียดสี
ซูหลีจงใจเมินเฉยต่อความรู้สึกแปลกๆ ในใจ นางถามเขาด้วยเสียงเย็นชา “บุกเข้ามาในแท่นบูชาหลักของลัทธิข้าโดยพาคนมาเพียงสองคน ท่านไม่กลัวตายจริงๆ หรือ?”
“ตายหรือ?” เขากระตุกยิ้มมุมปากเล็กน้อย แต่กลับดูอ้างว้างอย่างบอกไม่ถูก สายตาที่มองนางพลันแปรเปลี่ยนเป็นเฉยชาขึ้นหลายส่วน “ท่านไม่รู้หรอก บางที การมีชีวิตอยู่ทุกข์ทรมานยิ่งกว่าตายเสียอีก”
ซูหลีสะท้านไปทั้งใจ เขาพูดอย่างนี้หมายความว่าเช่นไร? เขากลัดกลุ้มวางแผน และทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างมานานหลายปี ก็เพื่อตำแหน่งนั้นที่เขาต้องการมิใช่หรือ? ยามนี้เขาได้ขึ้นครองราชย์ดั่งใจหวัง ได้ครอบครองอำนาจและตำแหน่งที่ไม่มีผู้ใดเทียมแล้ว ยังมีสิ่งใดไม่น่าพอใจอีก? ถึงได้บอกว่าการมีชีวิตอยู่ทุกข์ทรมานกว่าตาย?!
แต่ความเจ็บปวดที่สะท้อนในดวงตาเขากลับชัดเจนถึงเพียงนั้น ราวกับมีดคมที่กรีดแทงหัวใจนางอย่างรวดเร็ว หัวใจของนางสั่นไหวเล็กน้อยอย่างไม่อาจควบคุม นัยน์ตาของเขากลับมาเป็นปกติ เหมือนการระบายความในใจของเขาเมื่อครู่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนอย่างไรอย่างนั้น
นางเอ่ยเสียงเรียบ “ท่านเป็นถึงฮ่องเต้แห่งแคว้น มีอำนาจสูงสุดอยู่ในครอบครอง สามารถแหวกฟ้าคว้าฝนได้ตามต้องการ แม้แต่ความเป็นความตายหรือความสงบสุขของไพร่ฟ้าปวงชน ล้วนขึ้นอยู่กับความคิดของท่านทั้งนั้น! ท่านอยากได้อะไรก็ได้ ยังกล่าวาจาเช่นนี้อีก ช่างน่าขำยิ่งนัก!”
ตงฟางเจ๋อเข้าใจความหมายเสียดสีในวาจานาง สายตาของเขาหม่นหมองลงเล็กน้อย อดกล่าวด้วยรอยยิ้มขมขื่นไม่ได้ “ท่านคิดว่าน่าขำ? บางทีข้าเองก็ไม่อยากเชื่อเช่นกัน แต่สิ่งที่ข้าพูดล้วนเป็นความจริง ถูกต้อง ข้าได้ทุกอย่างมาครองแล้ว แต่กลับค้นพบว่าสิ่งที่ทำใจให้ลืมเลือนได้ยากที่สุด คือสิ่งที่เคยมี แต่กลับสูญเสียไปแล้วต่างหาก”
มี แล้วสูญเสียไป…เขาหมายถึงนางอีกแล้วหรือ? ลมหายใจของซูหลีสะดุด รู้สึกเจ็บแปลบหัวใจ นางกล่าวเสียงแข็ง “ในเมื่อสูญเสียไปแล้ว เหตุใดยังต้องฝืนไขว่คว้าอีก?”
“ไม่ลอง แล้วจะรู้ได้เช่นไรว่าไม่ได้? หากปล่อยวางได้ง่ายๆ จะถือว่าเคยรักด้วยใจจริงได้เช่นไร?” เขาจ้องมองดวงตาที่ซ่อนอยู่หลังหน้ากากของนางเขม็ง นัยน์ตาสีดำมีคลื่นอารมณ์อันแสนซับซ้อนพาดผ่านชั่วขณะ
……………………………………………