กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 350 เจตนาของเขา (1)
ตงฟางเจ๋อตกตะลึง รีบดึงนางเข้ามาในอ้อมแขน ขานเรียกเสียงร้อนใจ “ซูซู!”
คนในอ้อมแขนคล้ายสูญเสียสติรับรู้ไปแล้ว นางไม่ได้ยินเสียงขานเรียกอันร้อนใจของเขาอีก
ประตูห้องลับพลันเปิดออกในเวลานี้
เงาร่างของคนผู้หนึ่งโฉบเข้ามา สวมเครื่องแบบของคนในลัทธิธิดาเทพ ตงฟางเจ๋อกลับไม่แม้แต่จะมอง เอาแต่มองสตรีที่นอนไร้สติอยู่ในอ้อมแขนอย่างปวดใจ ทั้งที่เขาเป็นคนถูกแทงแท้ๆ แต่คนที่กระอักเลือดล้มลงไป กลับเป็นนาง!
“นายท่าน! ท่านบาดเจ็บหรือขอรับ?!” กลิ่นคาวเลือดลอยโชย ครั้นเห็นสภาพภายในห้อง ผู้มาพลันตกตะลึง
ซูหลีสะดุดใจ เสียงนี้…ช่างคุ้นเคยยิ่งนัก! กลับเป็นเซิ่งจิน ก่อนหน้านี้นางยังสงสัย เหตุใดเขาจึงพาแค่เซิ่งฉินและเซิ่งเซียวบุกเข้ามาในลัทธิธิดาเทพเพียงสองคน ไม่พาผู้อื่นมาด้วย ที่แท้เซิ่งจินซ่อนตัวอยู่ในที่ลับ แฝงกายเข้ามาในลัทธิก่อนแล้ว มิน่าเล่ายามเขาเข้ามาจึงง่ายดายเหมือนไม่มีผู้ใดอยู่!
ตงฟางเจ๋อไม่มีเวลาสนใจเขา รีบหยิบยาออกมาจากถุงผ้าต่วนที่เหน็บไว้ข้างเอว แล้วยัดเข้าไปในปากนางหนึ่งเม็ด
ในนี้มืดสลัว เขาถอดหน้ากากอันเย็นเยียบของนางออก สองมือลูบคลำตรงคางและลำคอของนาง ซูหลีตกใจ หลังกินยาของเขา ความเจ็บปวดในร่างกายนางก็บรรเทาลงหลายส่วน แต่ยังไม่ลืมตา หน้ากากหนังหน้าที่เซี่ยงหลีทำนั้นประณีตมาก ยากจะหาร่องรอยได้ในเวลาสั้นๆ
ตงฟางเจ๋อขมวดคิ้ว ในที่สุดก็หยุดมือ แล้วหันไปถามผู้มา “เตรียมการพร้อมหมดแล้วหรือยัง?”
“ขอรับ”
ตงฟางเจ๋อไม่พูดมากความอีก อุ้มสตรีในอ้อมแขนขึ้น แล้วตรงดิ่งออกไปข้างนอกทันที
เซิ่งฉินและเซิ่งเซียวรออยู่ในเส้นทางลับ ครั้นเห็นอกเสื้อของตงฟางเจ๋อเปื้อนเลือดจำนวนมาก ทั้งสองต่างตกใจ แต่เห็นใบหน้าของเขาบึ้งตึง จึงไม่กล้าถามมาก
เส้นทางลับในแท่นบูชาหลักลัทธิธิดาเทพเลี้ยวลดคดเคี้ยว พื้นที่สำคัญมีคนเฝ้าระวังความปลอดภัย แต่เหมือนเซิ่งจินจะรู้ตำแหน่งยืนยามเป็นอย่างดี ซูหลีอดตกตะลึงไม่ได้ เส้นทางลับเหล่านี้ซับซ้อนมาก กลไกก็มีมากมายนับไม่ถ้วน ตำแหน่งยืนยามเข้มงวดกวดขัน พวกเขาไปรู้ข้อมูลเหล่านี้อย่างละเอียดมาจากที่ใดกัน?
ฝีเท้าของตงฟางเจ๋อมั่นคง เขาอุ้มนางเดินไปตลอดทาง พลางก้มหน้ามองนางเป็นระยะ ดาบเมื่อกี้ สุดท้ายนางก็แทงเขาไม่ลึกมากพอ! มิเช่นนั้นเลือดของเขาคงไม่ไหลน้อยเช่นนี้ เสื้อผ้าของนางถูกเลือดของเขาเปียกซึมทีละนิดๆ ในอ้อมแขนของเขา นางไม่อาจขยับเขยื้อนได้แม้แต่น้อย ความทรมานเช่นนี้ทำให้เวลาเดินช้าลงราวกับไม่มีที่สิ้นสุด
ประตูกลไกหินบานหนึ่งพลันเปิดออก เงาร่างของคนกลุ่มหนึ่งแทรกตัวเข้ามาในพื้นที่อันคับแคบ
เซิ่งฉินเคาะผนังด้านหนึ่งเบาๆ สองที เสียงเหมือนวัสดุพิเศษชนิดหนึ่งที่ตรงกลางกลวงโบ๋ ไม่นาน ฝั่งตรงข้ามก็มีเสียงเช่นเดียวกันตอบกลับมา เซิ่งฉินเคาะอีกสามครั้ง ผนังที่เรียบลื่นดั่งหยกพลันเลื่อนออกไปด้านข้างทันที
บุรุษหนุ่มชุดเทาผู้หนึ่งสาวเท้าเข้ามาเร็วๆ ครั้นเห็นเสื้อผ้าของตงฟางเจ๋อเปื้อนเลือด ใบหน้าของเขาพลันเปลี่ยนสี หันไปถามเซิ่งฉินเสียงเข้ม “พวกเจ้าสามคนทำงานประสาอะไร? ถึงปล่อยให้นายท่านได้รับบาดเจ็บ!” ใบหน้าของเขาที่ตอนแรกดูนุ่มนวลอ่อนโยนพลันแปรเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมจริงจัง
เสียงที่จงใจกดให้ต่ำลง ทำให้ซูหลีแยกแยะไม่ออก รู้สึกเพียงคุ้นหูเล็กน้อยเท่านั้น นางใคร่ครวญอย่างละเอียด ข้างกายตงฟางเจ๋อมีคนแบบนี้อยู่ตั้งแต่เมื่อใดกัน? คนที่สามารถตำหนิองครักษ์ประจำกายเขาซึ่งๆ หน้าได้เช่นนี้?!
พวกเซิ่งฉินก้มหน้าอย่างพร้อมเพรียง ใบหน้าฉายแววสำนึกผิด ไม่กล้าเอ่ยปากสักคำ
ตงฟางเจ๋อขมวดคิ้วกล่าวว่า “ไม่ใช่ความผิดของพวกเขา อย่ามัวเสียเวลาอีกเลย ไปเถิด!” เอ่ยจบก็อุ้มสตรีในอ้อมแขนสาวเท้ายาวๆ เดินเข้าไปในประตูบานนั้น
ได้ยินเสียงบุรุษอีกผู้หนึ่งกล่าวด้วยความโกรธเกรี้ยว “พวกเจ้าเป็นใครกันแน่? มีจุดประสงค์ใดจึงได้ลักพาตัวธิดาเทพ?”
ฉู่เว่ยตง หัวหน้าสำนักเขามรกต! ที่แท้ที่นี่ก็คือประตูเส้นทางลับของสำนักเขามรกตนั่นเอง หรือว่า…เซิ่งจินควบคุมสำนักเขามรกตได้แล้ว!
“หยุดพูดมากเสีย หากยังไม่อยากตายก็นำทางพวกข้าออกไปแต่โดยดี” เซิ่งจินตวาดเสียงต่ำ เดินเข้าไปคุมตัวฉู่เว่ยตงให้เดินออกไปข้างนอก
เส้นทางลับอันซับซ้อน เลี้ยวลดและลึกลับ ทุกคนพยายามก้าวเท้าอย่างแผ่วเบา แต่เสียงสะท้อนกลับดังก้องมาจากอีกทิศทางหนึ่ง
“มีคนมา!” ใบหน้าของตงฟางเจ๋อตึงเครียด กระบี่ของเซิ่งจินพาดคอฉู่เว่ยตงทันที หากเขาตุกติก เซิ่งจินก็สามารถส่งเขาขึ้นสวรรค์ได้ทันที
ฉู่เว่ยตงตกใจ รีบบอกว่า “ไปทางนี้ เดินเลี้ยวอีกสองครั้งก็ออกไปได้แล้ว”
ทุกคนรีบเดินทางไปทางนั้นทันที หลังจากเดินเลี้ยวสองครั้งก็พบประตูหินหนาๆ บานหนึ่งดังคาด เซิ่งจินเปิดประตูหินตามที่ฉู่เว่ยตงบอก ทางออกอยู่ใกล้แค่ตรงหน้า ทุกคนพากันถอนหายใจเบาๆ
ในตอนนี้เอง ซูหลีลืมตาขึ้น นางซัดฝ่ามือไปที่หน้าอกของตงฟางเจ๋อ หมุนกายกลางอากาศ แล้วคว้าร่างฉู่เว่ยตงที่อยู่ข้างหน้าโฉบกลับเข้าไปข้างในประตูหินพร้อมกัน
เหตุการณ์พลิกผันเกิดขึ้นภายในชั่วพริบตา ทุกคนไม่ทันตั้งตัว ตงฟางเจ๋อไม่ได้ระวังนางแม้แต่น้อย ฝ่ามือของนางซัดบาดแผลที่เพิ่งถูกแทงเมื่อครู่ เขาหน้ามืด โลหิตตีขึ้นคอ ล้มลงไปบนบันไดหิน
พวกเซิ่งฉินหน้าเปลี่ยนสีทันที รีบพุ่งเข้าไปประคองเขา แล้วร้องเรียกด้วยความตกใจ “นายท่าน!”
ซูหลีทิ้งตัวลงพื้นอย่างมั่นคง กดปุ่มกลไกที่อยู่ข้างประตูหินอย่างไม่ลังเล เสียงครืดคราดดังสนั่น ประตูหินหนาๆ เคลื่อนตัวลงข้างล่าง นางกลับเห็นตงฟางเจ๋อหันกลับมา ความเจ็บปวดที่ไม่อาจบรรยายในดวงตาเขาเสียดแทงหัวใจนางในพริบตา เขาสะบัดเซิ่งฉินออก แล้ววิ่งมาหานางโดยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น แต่สุดท้ายก็ยังช้าไปหนึ่งก้าว!
ประตูหินหนาหนักเคลื่อนตัวปิดลงมาดัง ‘ปัง’ ฝุ่นควันลอยคลุ้งจากพื้นดิน แยกเขาและนางให้อยู่ในโลกคนละใบ!
‘ปัง!’ เสียงสนั่นเลื่อนลั่นดังเข้ามาจากนอกประตูศิลา
ตงฟางเจ๋อไร้ที่ระบายความโกรธแค้น จึงเหวี่ยงหมัดใส่ประตูหินที่แข็งแกร่งไร้ที่เปรียบเต็มแรง เลือดค่อยๆ ไหลอาบกำแพงหินหยดลงสู่พื้น เขากลับเหมือนไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวด ทั้งแค้นและเจ็บใจ นึกไม่ถึงว่าเขาจะล้มเหลวในก้าวสุดท้าย เขาคำนวณความคิดของผู้อื่นได้ แต่กลับคำนวณความโหดร้ายและไร้เยื่อใยของนางพลาดซ้ำแล้วซ้ำเล่า!
“นายท่าน!” พวกเซิ่งฉินทิ้งตัวคุกเข่าอย่างพร้อมเพรียง และเกลี้ยกล่อมด้วยเสียงเจ็บปวด “โปรดรักษาตัวด้วยขอรับ!”
ตงฟางเจ๋อปวดใจจนพูดไม่ออก เขาหลับตา สองหมัดกำแน่น
“ใต้เท้าหลิน!” เซิ่งจินหันไปเรียกบุรุษหนุ่มชุดเทาที่นิ่งเงียบไม่พูดไม่จา
หลินเทียนเจิ้ง! ซูหลีอึ้งงัน ที่แท้ก็เป็นเขา มิน่าเล่าเสียงของเขาถึงได้คุ้นหูนัก! แต่เหตุใดคนของสำนักหอดูดาวหลวงถึงไม่อยู่ในราชสำนัก มาอยู่ที่ลัทธิของแคว้นศัตรูได้อย่างไร? นางรู้สึกกระวนกระวายใจอย่างบอกไม่ถูก รู้สึกได้โดยสัญชาตญาณว่าระหว่างหลินเทียนเจิ้งกับตงฟางเจ๋อ ไม่ได้เกี่ยวข้องกันเพียงโอรสสวรรค์กับขุนนางเท่านั้น!
หลินเทียนเจิ้งถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย เดินเข้าไปเกลี้ยกล่อมเขา “ท่านจะทำร้ายตนเองเพื่อสตรีเพียงคนเดียวไปทำไม! ครั้งนี้ไม่สำเร็จ ภายหน้ายังมีโอกาส แต่เรื่องสำคัญในตอนนี้คือพวกเราต้องรีบไปจากที่นี่ก่อน! มิเช่นนั้นหากช้าไปก้าวเดียว…เกรงว่าคงยากจะจัดการ”
“หุบปาก!”
ตงฟางเจ๋อตวาดเสียงเกรี้ยว เสียงขานเรียกด้วยความร้อนใจของหลายคนก็ดังตามมาติดๆ “นายท่าน!”
สีเลือดฝาดบนใบหน้าของซูหลีจางหายไปจนสิ้น กระทั่งเสียงฝีเท้านอกประตูหินค่อยๆ ห่างออกไป และเงียบงันในที่สุด ประสาทอันตึงเครียดของนางจึงผ่อนคลายลงหลายส่วน สายตาเย็นชาค่อยๆ เลื่อนมองฉู่เว่ยตงที่ยืนอยู่ด้านหนึ่ง นางกล่าวเสียงเย็นชา “กล้าเปิดเผยกลไกลับของลัทธิ เจ้าคิดว่าตนเองสมควรรับโทษสถานใด?”
“ข้าน้อยสมควรตาย!” ฉู่เว่ยตงคุกเข่าเสียงดัง ก้มหน้ายอมรับผิด เขายังจำได้ดี วิธีการที่นางใช้ลงมือกับโจวเยวี่ยในพิธีสืบทอดตำแหน่ง วรยุทธ์ของนางไม่ได้มีไว้เพื่อข่มขู่เท่านั้น หากนางต้องการชีวิตเขา ก็สามารถทำได้ในชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น!
…………………………………………………