กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 357 ดวงตาอันคุ้นเคย (1)
‘ฮัดชิ่ว!’ เขายังพูดไม่ทันจบประโยค ก็หลุดจามเสียงดังออกมาก่อน
ซูหลีรีบดึงเขาขึ้น แล้วกล่าวว่า “ท่านไม่เป็นไรใช่ไหม?” นางรีบดึงเขาไปนั่งข้างกองไฟ หยางเซียวผิงไฟไปพลาง ตัวสั่นไปพลาง ปากก็บ่นไม่หยุด “อาหลีน้อย ข้าหนาว”
ซูหลีรีบเติมฟืนในกองไฟอย่างต่อเนื่องเพื่อเพิ่มความแรงของไฟ ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็ยังคงเอ่ยด้วยเสียงน่าสงสาร “ยังหนาวมากอยู่ดี!”
ซูหลีเงยหน้า กล่าวเสียงเรียบเฉย “ใครใช้ให้ท่านปล่อยเรือลอยหายไปเล่า? ตอนนี้จะกลับก็กลับไม่ได้แล้ว!”
“หากข้าไม่ปล่อยเรือไป เจ้าต้องไม่ยอมอยู่กับข้าต่อแน่ๆ” เขาหัวเราะเจ้าเล่ห์ ก่อนจะขดตัว แล้วล้มลงนอนข้างกองไฟ
ซูหลีถอดเสื้อคลุมตัวนอกออก แล้วโยนให้เขา กลิ่นหอมจางๆ ลอยคลอเคลียที่ปลายจมูก หยางเซียวอึ้งไปเล็กน้อย แย้มยิ้มอย่างดีใจทันที เขาเอาเสื้อคลุมห่มกาย แล้วยังดึงแขนเสื้อขึ้นดมเป็นพักๆ กล่าวด้วยใบหน้าเกลื่อนยิ้มว่า “คนงามยังไม่พอ แม้แต่เสื้อก็ยังหอมถึงเพียงนี้!”
ซูหลีถึงกับพูดไม่ออก เผชิญหน้ากับคนเจ้าเล่ห์ที่ชอบทำหน้าทะเล้นเช่นเขา นางไม่รู้จะพูดอย่างไรดีแล้ว
หยางเซียวดีอกดีใจ คว้าปลาย่างที่สุกแล้วมาเลาะหนังเลาะก้างออกอย่างตั้งใจ ก่อนจะยื่นเนื้อปลาขาวนวลมาข้างปากนาง เขายิ้มอย่างเอาใจ แล้วพูดเหมือนกล่อมเด็กว่า “มาๆ กินปลาเถิดหนา”
ซูหลีรู้สึกกระอักกระอ่วนใจ ขยับหนีเล็กน้อย นางขมวดคิ้วพลางกล่าวว่า “ข้ากินเอง”
เขากลับยังคงไม่ยอกเลิกรา “เด็กดี อ้าปากเร็ว!”
ไม่รู้เพราะเหตุใด ภาพนี้กลับทำให้นางนึกถึงตอนเด็กๆ ที่นางชอบเกลี้ยกล่อมให้หลีเหยากินอาหาร แต่ยามนี้…สายตาของซูหลีหม่นหมอง นางถอนหายใจเบาๆ
“เป็นอะไรไปหรือ?” หยางเซียวถามอย่างใส่ใจ
ซูหลีส่ายหน้าเบาๆ “ไม่มีอะไร จู่ๆ ข้าก็คิดถึงตอนเด็ก…”
“ตอนเด็กหรือ?” หยางเซียวสนอกสนใจขึ้นมาทันที “ข้าอยากรู้นักว่าตอนเด็กเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?”
ตอนนางยังเด็ก…
ซูหลีเงียบงันไปเนิ่นนาน นานจนหยางเซียวคิดว่านางคงไม่ยอมเล่า เขาหมายจะเปลี่ยนเรื่อง แต่กลับได้ยินนางกล่าวขึ้นเสียงเบาว่า “ตอนข้ายังเด็ก ข้ามีความสุข และสนุกมาก”
ไม่เหมือนตอนนี้ ที่รอยยิ้มจากใจกลายเป็นของฟุ่มเฟือยเกินความจำเป็นไปแล้ว
หยางเซียวอึ้งงัน รู้สึกได้ว่ารอบกายนางมีกลิ่นอายแห่งความเจ็บปวดและความเศร้าสร้อยปกคลุมอยู่ หัวใจของเขาเจ็บแปลบเล็กน้อยอย่างไม่อาจควบคุม เขารีบเปลี่ยนเรื่องทันที “เฮ้อ น่าเสียดาย ถ้าหากเราอยู่ด้วยกันตั้งแต่ยังเด็ก คงจะดีมิใช่น้อย! พวกเราสองคนคงเล่นสนุกเข้าขากันได้ดีมากแน่ๆ เป็นคนรักที่เป็นเพื่อนเล่นกันมาตั้งแต่เด็ก ทำให้ทุกคนอิจฉาตาร้อนกันไปเลย!”
น่าเสียดายที่ชีวิตคนเราไม่มีคำว่าถ้าหาก
โชคชะตาของคนคนหนึ่งถูกกำหนดตั้งแต่เกิดแล้ว
นางถอนหายใจเล็กน้อย ได้ยินเขาหัวเราะ แล้วกล่าวขึ้นอีกว่า “แต่ไม่เป็นไร เรื่องที่ผ่านไปแล้วก็คือผ่านไปแล้ว วันเวลาต่อจากนี้ พวกเราจะอยู่ด้วยกันตลอดไป วางใจเถิด ข้าจะปกป้องเจ้าเอง!” ดวงตาของเขาเปล่งประกายดั่งดวงดาว เขากล่าวประโยคนี้ด้วยสีหน้าจริงจัง
ซูหลีอึ้งไปชั่วขณะ ก่อนจะยิ้มออกมา แพขนตาหลุบต่ำ ปิดซ่อนความอ้างวางในดวงตา นางยื่นมือรับเนื้อปลาจากเขา จากนั้นทั้งสองก็แบ่งกันกิน
“อาหลีน้อย” หลังกินปลาย่างเสร็จ เขาก็เรียกชื่อนางอีกครั้ง
ซูหลีเงยหน้ามองเขาอย่างระแวง จะเล่นลูกไม้อะไรอีกแล้ว?
หยางเซียวหัวเราะ แล้วเอ่ยว่า “ที่นี่มีเพียงเราสองคน เจ้าถอดหน้ากากออกดีหรือไม่? ข้าเห็นเจ้าสวมใบหน้าของผู้อื่นไว้ ไม่ชินตาเอาเสียเลย!”
“ไม่ชินก็อย่ามอง” นางกล่าวอย่างไม่แยแส ไม่สนใจคำขอของเขาแม้แต่น้อย
หยางเซียวร้อง “ที่นี่ไม่มีผู้อื่นเสียหน่อย!”
ซูหลีไม่สนใจ
หยางเซียวขยับตัว ยื่นมือข้างที่บาดเจ็บออกไป แล้วก็ร้องครวญเสียงดัง “โอ๊ย เจ็บจังๆ! มือข้า เจ็บจะตายอยู่แล้ว…”
เมื่อครู่ตอนใส่ยาไม่ร้อง เพิ่งจะมาร้องเอาป่านนี้! ใครจะไปเชื่อกันเล่า? ซูหลีนั่งตัวตรง สายตาไม่วอกแวก ยังคงไม่สนใจเขาแม้แต่น้อย
หยางเซียวทำหน้าคว่ำ ยื่นมือออกไปกระตุกแขนเสื้อนาง แล้วเรียกนางอย่างออดอ้อน “อาหลีน้อย…”
เสียงอ้อนวอนของเขาทำให้หนังตานางกระตุกสั่น หากไม่ใช่ว่าเขาได้รับบาดเจ็บเพราะนาง นางคงจับเขาโยนลงทะเลสาบไปแล้ว ไม่เคยเห็นผู้ใดกะล่อนปลิ้นปล้อนเท่าเขามาก่อนเลยจริงๆ! น่ารำคาญเหมือนยุงไม่มีผิด! ด้วยความเหนื่อยหน่ายและจนใจ นางทำได้เพียงถอดหน้ากากเผยโฉมหน้าที่แท้จริง
สายตาของหยางเซียวเป็นประกายขึ้นมาทันที เขาปรบมือ แล้วกล่าวด้วยใบหน้าเกลื่อนยิ้ม “ใบหน้านี้งดงามกว่าดังคาด!” เขาพูดพลางชะโงกหน้าเข้ามา ใบหน้าหล่อเหลาแทบจะแนบชิดใบหน้าของนาง
ซูหลีตกใจ รีบขยับตัวหลบไปด้านหนึ่งเพื่อเพิ่มระยะห่างจากเขา แต่เขากลับไม่เลิกรา นางขยับไปทางไหนเขาก็ขยับตามไปทางนั้น เหมือนขนมที่ติดหนึบจนแกะไม่ออก ซ้ำยังเอาแต่หัวเราะอย่างดีใจพลางบอกว่า “งามนัก งามจริงๆ!”
ท้องฟ้ายามราตรี ค่อยๆ ดึกสงัดขึ้นเรื่อยๆ บรรยากาศรอบกายเงียบงันและสงบสุข หยางเซียวเล่นจนเหนื่อย เอนกายอยู่ข้างกองไฟ ผ่านเรื่องต่างๆ มาทั้งวัน ซูหลีเองก็รู้สึกเหน็ดเหนื่อยแล้วเช่นกัน ไม่นานนางก็เข้าสู่ห้วงนิทรา
ช่วงเวลาหนึ่งคืนผ่านไปอย่างรวดเร็ว
แสงตะวันยามเช้าตรู่ดุจดั่งแสงทองอร่าม สาดส่องปกคลุมไปทั่วหุบเขาอันงดงามแห่งนี้
ตอนที่ซูหลีตื่น มีเสื้อคลุมห่มไว้บนตัวนางหนึ่งตัว นางอึ้งไปเล็กน้อย หันไปเห็นหยางเซียวนอนขดตัวเหมือนกุ้งอยู่ข้างกายนาง นางเขย่าตัวเขา แต่กลับไม่มีการตอบสนอง จึงยื่นมือไปแตะหน้าผากเขา พบว่ามีไข้ตัวร้อน
ซูหลีตกใจ หมายจะประคองเขาลุกขึ้น ยามนี้เอง เสียงขานเรียกอย่างร้อนใจดังมาจากนอกหุบเขา “คุณหนูเจ้าคะ!”
หวั่นซิน!
ซูหลีดีใจ รีบตอบรับเสียงเรียก “ข้าอยู่ตรงนี้”
“ตามมาเร็วขนาดนี้เลย เฮ้อ!” ไม่รู้หยางเซียวตื่นตั้งแต่เมื่อใด เขาหยัดกายลุกขึ้นนั่ง ใบหน้าแดงระเรื่อ ร่างกายอ่อนแรง ทำได้เพียงพิงศีรษะกับไหล่นาง โอบเอวนาง แล้วกล่าวอย่างหงุดหงิด “ข้ายังอยากอยู่กับเจ้าอีกสักหน่อย!”
ซูหลีดึงมือเขาออกโดยสัญชาตญาณ แต่ครั้นสัมผัสถูกผิวกายอันร้อนลวกของเขา มือนางก็ชะงักไปทันที สายตาเฉยชาไร้อารมณ์ของนางพลันอ่อนลงทันที
“อย่ามัวเล่นอีกเลย ท่านเป็นไข้ ต้องรีบกลับแล้ว”
หยางเซียวทำเหมือนไม่ได้ยิน เอาแต่กอดนางแน่น เมื่อคืนนอนบนพื้นหญ้ามาทั้งคืน ร่างกายของนางในยามนี้จึงเหมือนหยกเย็นๆ ก้อนหนึ่ง เขากอดนางอย่างนี้ รู้สึกสบายตัวอย่างบอกไม่ถูก แต่ว่า ในใจเขากลับไม่อยากให้นางตัวเย็นเช่นนี้
“อาหลีน้อย ตัวเจ้าช่างเย็นนัก” เขาบ่นพึมพำอยู่บนหัวไหล่นาง “ข้าอยากทำให้อบอุ่นยิ่งนัก”
หากทำให้นางอบอุ่น ภายหน้านางคงไม่เย็นชากับเขาเช่นนี้แล้วกระมัง?
เขาเงยหน้ามองนาง ในดวงตาแฝงรอยยิ้ม เปล่งประกายจับใจคน ทว่ากลับแฝงแววหยอกล้อครึ่งหนึ่งจริงจังครึ่งหนึ่ง
ซูหลีอึ้งไปเล็กน้อย แสร้งทำเป็นไม่เข้าใจความหมายในวาจาของเขา นางดึงมือเขาออก เห็นหวั่นซินและพวกเซี่ยงหลีอีกสามคนเดินผ่านทางเข้าหุบเขา มุ่งหน้าตรงมาทางนี้
นางหมายจะเรียกพวกเขามาประคองหยางเซียว นึกไม่ถึงเขากลับกอดนางไว้แน่นเหมือนปลาหมึกยักษ์ แล้วตะโกนเสียงดัง “อาหลีน้อย ข้าจะรับผิดชอบเจ้าเอง!”
ซูหลีตะลึงงัน ไม่เข้าใจว่าเขากำลังพูดสิ่งใด เขากลับกระตุกมุมปาก เผยให้เห็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ แล้วจู่ๆ ก็หอมแก้มนางด้วยความเร็วดังสายฟ้าฟาด!
ณ ทางเข้าหุบเขา พวกหวั่นซินที่กำลังเดินเข้ามาอย่างเร่งรีบมองเห็นภาพนี้จากที่ไกลๆ ต่างพากันอึ้งงัน ยืนนิ่งเป็นก้อนหินไปทันที
นับตั้งแต่ออกจากแคว้นเฉิง ซูหลีก็เปลี่ยนไป นางเย็นชากว่าปกติ นิ่งขรึมไม่พูดไม่จา ยากที่จะเข้าถึง แต่ตอนนี้เสื้อคลุมของนางห่มอยู่บนตัวหยางเซียว หนำซ้ำนางยังไม่ได้สวมหน้ากาก แล้วยังถูกองค์ชายสี่ผู้นั้นกอดไว้ในอ้อมแขนแน่น พฤติกรรมที่เหนือความคาดหมายเหล่านี้ ทำให้คนอดจินตนาการไปต่างๆ นานาไม่ได้จริงๆ
…………………………………………………