กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 362 เจ้าเป็นใคร (3)
เซี่ยฝูอันพยักหน้าตามอย่างครุ่นคิด เขาแย้มยิ้มเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ วิชาแพทย์ของทูตวิญญาณไม่ธรรมดาดังคาด”
สายตาของเจียงหยวนมีแววสงสัยพาดผ่าน “ผู้ดูแลเซี่ยรู้วิชาแพทย์ด้วยหรือ?”
“ยามว่าง มักชอบอ่านตำราต่างๆ จึงรู้เรื่องยาบ้างเล็กน้อย วันนี้อวดรู้ต่อหน้าผู้เชี่ยวชาญเช่นทูตวิญญาณ ช่างขายหน้ายิ่งนัก” เอ่ยจบ เขาก็สอดเทียบยาเข้าไปในแขนเสื้อ แล้วค้อมกายเล็กน้อย ก่อนจะเดินออกไปต้มยาอย่างเร่งรีบ
หยางเซียวมองแผ่นหลังเขาด้วยสายตาเย็นชา คิ้วคมเข้มที่ยามปกติมักเชิดสูง ยามนี้กลับขมวดเข้าหากันแน่น
เจียงหยวนกล่าว “ดึกมากแล้ว องค์ชายสี่เสด็จกลับไปพักเถิดพ่ะย่ะค่ะ ท่านธิดาเทพอยู่ที่นี่ มีทูตนารีคอยรับใช้อยู่แล้ว”
หยางเซียวยังไม่ทันเปิดปาก ก็ได้ยินเสียงซูหลีพูดขึ้นว่า “เจ้าออกไปก่อน ข้ายังมีเรื่องต้องคุยกับองค์ชายสี่”
“เจ้าฟื้นแล้วหรือ?” ครั้นเห็นนางฟื้น ความสงสัยใคร่รู้ทุกอย่างก็ถูกลืมเลือน หยางเซียวรีบเดินไปหานาง ประคองนางลุกขึ้นอย่างระมัดระวัง แล้วกล่าวอย่างเป็นห่วง “รู้สึกดีขึ้นบ้างหรือไม่? ยังเจ็บอยู่หรือเปล่า? ข้าผิดเองที่ทำให้เจ้าบาดเจ็บ!” สายตาของเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด เห็นได้ชัดว่ายังคงหวาดกลัวต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ไม่หาย
ซูหลีสัมผัสได้ นางส่ายหน้าเบาๆ “เรื่องเกิดขึ้นกะทันหัน โทษท่านไม่ได้ ตอนนี้ข้ารู้สึกดีขึ้นมากแล้ว”
หยางเซียวกุมมือนางไม่ยอมปล่อย เขาอดถอนหายใจไม่ได้ “โชคดีที่ไม่มีเรื่องร้ายแรง ไม่เช่นนั้นข้าต้องแย่แน่ๆ”
เพิ่งจะจริงจังได้สองประโยค เขาก็กลับมาพูดจาทะเล้นอีกครั้ง ซูหลีทำเป็นไม่ได้ยิน นางกล่าวอย่างครุ่นคิด “เมื่อครู่ข้าเคลื่อนลมปราณตามที่ผนังหยกบอกไว้แท้ๆ ทุกอย่างราบรื่นดี แต่เหตุใดจู่ๆ จึงเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้น?”
หยางเซียวส่ายหน้า เขาเองก็ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด นิ่งคิดไปครู่หนึ่งก็กล่าวขึ้นว่า “พรุ่งนี้ข้าจะรีบกลับวังไปทูลถามเสด็จพ่อ”
ซูหลีเงียบงัน บางที อาจมีเพียงฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนผู้เดียวเท่านั้นที่รู้สาเหตุของเรื่องนี้
หลังจากตกดึก หวั่นซินก็ปรนนิบัติซูหลีกินยาและนอนพัก นางยังไม่หายบาดเจ็บ สติเลือนราง นอนหลับไม่สนิทนัก เพียงรู้สึกได้ว่ามีคนผู้หนึ่งนั่งอยู่หน้าเตียง และจ้องนางอยู่ตลอดเวลา ใครกันนะ? นิ้วมืออุ่นๆ ลูบไล้อยู่ที่กลีบปากของนาง ทั้งอ่อนโยนและอบอุ่น นางสะดุ้ง อยากจะลืมตา แต่หนังตากลับหนักหน่วงราวกับมีน้ำหนักหนึ่งพันจิน[1]
คนผู้นั้นคล้ายรับรู้ได้ถึงความกระสับกระส่ายของนาง รีบหดมือกลับ เสียงถอนหายใจยาวๆ ดังขึ้นข้างหู ราวกับดังก้องไปถึงหัวใจนาง ขอบตาของนางกลับร้อนผ่าวอย่างไร้สาเหตุ
ยามท้องฟ้าสาง นางตื่นขึ้นมา พบว่าในตำหนักไม่มีผู้ใดอยู่ เรื่องราวเมื่อคืนราวกับเป็นเพียงภาพลวงตา
ประสิทธิภาพของคางคกน้ำแข็งน่าทึ่งดังคาด เพียงคืนเดียว ซูหลีก็รู้สึกว่าอาการบาดเจ็บดีขึ้นมาก หวั่นซินเข้ามารายงานว่าหยางเซียวกลับวังทันทีที่ฟ้าสาง คาดว่าคงกลับไปถามฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนว่าเกิดข้อผิดพลาดในขั้นตอนใดกันแน่?
อาหารมื้อเช้ากลับเป็นเซี่ยฝูอันนำมาส่งด้วยตนเอง ซูหลีสะดุดใจ เห็นเขาจัดวางอาหารทีละจานๆ สิ่งที่เหนือความคาดหมายคืออาหารเช้าในวันนี้ กลับไม่ได้หรูหราดังเช่นในยามปกติ มีเพียงข้าวต้มหนึ่งถ้วย และผักเครื่องเคียงที่ให้รสชาติสดชื่นไม่กี่จานเท่านั้น
ยิ่งเป็นอาหารที่ธรรมดา ก็ยิ่งเป็นการทดสอบฝีมือ ข้าวต้มถ้วยนั้นดูเหมือนธรรมดา ทว่าเมื่อเข้าปากกลับมีกลิ่นหอมและลื่นคออย่างหาที่เปรียบไม่ได้ รสชาติจืดๆ ถูกปากซูหลีมาก นางอดไม่ได้ที่จะกินอีกหลายคำ แล้วก็ถามขึ้นว่า “อาหารเช้าวันนี้รสชาติไม่เลว เปลี่ยนพ่อครัวแล้วหรือ?”
รอยยิ้มดีใจพาดผ่านดวงตาเซี่ยฝูอัน เขากล่าวว่า “หากท่านธิดาเทพโปรดปราน ต่อไปข้าน้อยจะกำชับให้เตรียมอาหารตามรสชาตินี้” น้ำเสียงของเขาสะท้อนความเบิกบานรางๆ นุ่มนวลดั่งลมในฤดูใบไม้ผลิ
ซูหลีเหล่มองเขาแวบหนึ่ง กลับค้นพบว่าในดวงตาแฝงรอยยิ้มของเขาเต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอย ครั้นนึกถึงเรื่องเมื่อคืน คิ้วของนางก็ขมวดเข้าหากันเล็กน้อย
วันต่อมา หยางเซียวส่งจดหมายมา ในจดหมายบอกว่าฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนประชวร นอนติดเตียงสองวันแล้ว เขาจำต้องรอให้เสด็จพ่อหายป่วยก่อน จึงจะสามารถมาช่วยนางฝึกวรยุทธ์ได้ และสาเหตุที่ทำให้เกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นระหว่างฝึกวรยุทธ์ก็ทำให้ซูหลีกระอักกระอ่วนใจยิ่งนัก ที่แท้หากสตรีฝึกวิชากำลังภายในสองวิชานี้ในระหว่างมีรอบเดือน จะทำให้ความเย็นในร่างกายถูกกระตุ้นได้ง่าย จนเป็นเหตุให้ลมปราณแตกซ่าน
ซูหลีจนใจ ดูท่าคงต้องรอให้รอบเดือนหมดก่อนจึงจะสามารถเริ่มฝึกวรยุทธ์อีกครั้ง ผ่านไปหลายวัน หยางเซียวก็ยังไม่กลับมา ซูหลีเดินมาที่ศาลากลางน้ำเพียงลำพัง ศาลาหลังนี้ที่แท้แล้วมีชื่อที่เข้ากันมาก ชื่อว่าศาลามู่เยวี่ย หรือศาลาอาบจันทรา จันทราลอยเด่นกระจ่างฟ้า สายลมยามราตรีกรีดพัดแผ่วเบา เหล่าแมลงในพุ่มหญ้าส่งเสียงร้องแหลมใส เป็นค่ำคืนที่สวยงามอีกค่ำคืนหนึ่ง
นางนั่งขัดสมาธิบนพื้น เพ่งสมาธิขับเคลื่อนลมปราณ ผ่านไปประมาณครึ่งชั่วยาม พลังสองขุมในร่างกายก็ค่อยๆ เคลื่อนมาบรรจบกัน ปรากฏวี่แววของการหลอมรวม นางพลันลิงโลด รู้สึกได้ว่าจุดหลิงไถสว่างวาบทันใด ร่างกายแปรเปลี่ยนเป็นเบาหวิว ราวกับถูกพลังงานอันแข็งแกร่งขุมนี้พาร่างลอยขึ้นไปเหนือขอบฟ้า
ขณะที่นางจมดิ่งไปกับความรู้สึกอันมหัศจรรย์นี้ จู่ๆ ความรู้สึกเจ็บจี๊ดกลับโจมตีร่างกายนาง นางหยุดใช้กำลังภายในทันที แต่กลับมิอาจควบคุมลมปราณได้ เหงื่อเม็ดโตไหลอาบขมับทั้งสองข้าง นางสั่นสะท้านไปทั้งตัว อาการครั้งนี้รุนแรงกว่าครั้งก่อนมาก นางร้องครวญ ร่างกายอ่อนแรงล้มลงไปบนพื้นอย่างไม่อาจควบคุม เจ็บจนไม่อาจขยับเขยื้อน
ภาพตรงหน้าเลือนรางไม่ชัดเจน ในที่สุดนางก็จมดิ่งสู่ความมืดมิด ข้างกายมีเงาร่างคนผู้หนึ่งโฉบเข้ามาอย่างรวดเร็ว มือแข็งแกร่งทรงพลังคู่หนึ่งประคองนางให้ลุกขึ้นนั่ง แล้วแนบฝ่ามือชิดแผ่นหลังนาง กำลังภายในแข็งแกร่งขุมหนึ่งถูกถ่ายเทเข้ามาในร่างกาย เปรียบเหมือนแสงอาทิตย์อันอบอุ่นในฤดูหนาว ซูหลีรู้สึกสบายไปทั้งตัว พลังงานอันอบอุ่นขุมนั้นนำทางลมปราณที่ป่วนพล่านของนางให้เข้าลู่เข้าทางทีละน้อยๆ
วินาทีนี้ เวลาราวกับจะหยุดนิ่งลง รอบกายเงียบสงัด มีเพียงไออุ่นที่แผ่ออกมาจากฝ่ามือของคนข้างหลัง ที่ห่อหุ้มร่างกายอันเย็นเฉียบของนางเอาไว้ ไม่นาน ความทรมานก็ค่อยๆ หายไปจากร่างกายนางจนสิ้น เหงื่อเย็นไหลท่วมกาย ความเหน็ดเหนื่อยจู่โจมทันที นางทิ้งตัวลงในอ้อมแขนอบอุ่นที่อยู่ข้างหลังอย่างอ่อนแรง
นางรู้สึกได้ถึงสัมผัสอุ่นๆ ตรงขมับ คล้ายมีกลีบปากนุ่มนวลประทับลงมา หัวใจของซูหลีเจ็บปวดแสนสาหัสอย่างไม่อาจควบคุม
ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าใดแล้ว ร่างกายของนางพลันหนาวเย็น อ้อมกอดอันอบอุ่นและแสนสบายผละออกไปแล้ว นางรู้สึกเพียงร่างกายของตนเองถูกวางลงบนพื้นอย่างระมัดระวัง นิ้วมือไล้ผ่าน สกัดจุดลมปราณ นางหลับตาลงเบาๆ ก่อนที่สติสัมปชัญญะจมดิ่งสู่ความมืดมิด นางคล้ายได้ยินเสียง ‘จ๋อม’ ดังขึ้น คล้ายมีวัตถุหนักๆ ตกน้ำ
ครั้นซูหลีตื่นขึ้นมา ก็เป็นเวลาสายของวันต่อมาแล้ว หวั่นซินนั่งเฝ้าอยู่หน้าเตียง ครั้นเห็นนางตื่น ก็รีบถามทันที “คุณหนูรู้สึกไม่สบายที่ใดหรือไม่เจ้าคะ?”
ซูหลีลุกขึ้นลงจากเตียง ก้าวเดินหลายก้าวก็ไม่รู้สึกถึงอาการผิดปกติแต่อย่างใด ตรงกันข้ามกลับรู้สึกว่าร่างกายเบาหวิวกว่าเดิม เหตุไม่คาดฝันระหว่างฝึกวรยุทธ์เมื่อคืนราวกับเป็นภาพลวงตา นางอดอึ้งงันไม่ได้ รีบนั่งขัดสมาธิขับเคลื่อนลมปราณ จึงค้นพบว่าชี่แท้ในร่างกายได้หลอมรวมเป็นหนึ่งอย่างสมบูรณ์แบบแล้ว นางขับเคลื่อนลมปราณได้อย่างใจคิด ไม่มีอุปสรรคใดๆ ทั้งสิ้น ซ้ำยังรู้สึกผ่อนคลายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
นางโบกมือกลางอากาศเบาๆ ฝ่ามือลมปราณถูกซัดไปที่เก้าอี้ตัวหนึ่ง ได้ยินเพียงเสียง ‘ปัง’ ดังขึ้น เก้าอี้ไม้จันทน์ที่แข็งแรงทนทานไม่มีที่ติ พลันแตกเป็นเสี่ยงๆ ในพริบตา
หวั่นซินกล่าวด้วยความดีใจ “ยินด้วยเจ้าค่ะคุณหนู คุณหนูฝึกวรยุทธ์สำเร็จแล้ว!”
ต่อไปนางก็ไม่ต้องทนทรมานกับการปะทะกันของกำลังภายในสองขุมนั้นแล้ว! ซูหลีก้มหน้ามองฝ่ามือตนเอง คิ้วเรียวงามกลับขมวดเข้าหากัน เรื่องเมื่อคืนไม่ใช่ภาพลวงตา มีใครคนหนึ่งช่วยนางฝึกวรยุทธ์จริงๆ ในแท่นบูชาหลักมียอดฝีมือเช่นนี้อยู่ นางกลับไม่รู้ว่าเป็นผู้ใด!
“เมื่อคืน ผู้ใดพาข้ากลับมาจากศาลามู่เยวี่ย?”
ครั้นเห็นนางไม่ได้ดูยินดีแม้แต่น้อย หวั่นซินรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย แต่ยังคงเอ่ยตอบว่า “เป็นบ่าวเองเจ้าค่ะ เมื่อคืนดึกแล้วคุณหนูก็ยังไม่กลับมา บ่าวเป็นห่วง จึงไปดูที่ศาลามู่เยวี่ย พบว่าคุณหนูนอนหมดสติอยู่บนพื้น! ตอนนั้นบ่าวตกใจมาก รีบพาคุณหนูกลับมา แล้วเรียกเจียงหยวนมาดู เขาตรวจไม่พบว่าร่างกายของคุณหนูมีความผิดปกติใด จึงกำชับให้บ่าวสังเกตอาการอย่างใกล้ชิด รอคุณหนูฟื้นแล้วค่อยถามอาการอีกครั้งเจ้าค่ะ”
…………………………………………………
[1] จิน มาตรตราวัดน้ำหนักของจีน 1 จิน เท่ากับ 500 กรัม