กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 370 สังหารเขา (4)
เสวียนฟงกล่าวกลั้วเสียงหัวเราะเย็นชา “หากเรื่องจริงไม่ได้ปรากฏอยู่ตรงหน้ ข้าเองก็ไม่เชื่อว่าผู้อาวุโสเสวียนจิ้งจะทำเรื่องเช่นนี้ได้”
“ท่าน!” เสวียนจิ้งชี้หน้าเสวียนฟง โกรธจนพูดไม่ออก
เสวียนฟงหมุนกายไปทางซูหลี แล้วกล่าวอย่างไม่ลังเลว่า “ท่านธิดาเทพ ไม่ว่าอย่างไร เรื่องนี้ก็ต้องมีบทสรุป จึงจะสามารถอธิบายได้ มิเช่นนั้น พวกเราทั้งหมดต้องประสบหายนะอย่างแน่นอน!”
ซูหลีย่อมรู้ดีว่าคำอธิบายที่เขาพูดหมายถึงอะไร หยางเซียวเป็นองค์ชายที่ฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนโปรดปรานที่สุด ยามนี้กลับมาสิ้นใจตายโดยไม่รู้สาเหตุอยู่ที่นี่ หากแม้แต่คนร้ายยังจับไม่ได้ เกรงว่าแม้รื้อลัทธิธิดาเทพทิ้ง ก็ยังมิอาจดับโทสะของฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนได้!
“ผู้อาวุโสเสวียนฟงคิดว่าควรจัดการเรื่องนี้เช่นไร?” ซูหลีถามเสียงเรียบเฉย สายตาของนางกลับมาสุขุมเยือกเย็นดังเช่นยามปกติ เดาไม่ออกว่ากำลังคิดสิ่งใดอยู่
เสวียนฟงกล่าวโดยไม่แม้แต่จะคิด “ข้าน้อยคิดว่า ควรรีบนำตัวผู้อาวุโสเสวียนจิ้งและศพของแขกสูงศักดิ์ส่งออกจากแท่นบูชาหลัก แล้วมอบให้…นายท่านจัดการ”
“นายท่านยังไม่หายป่วย เจ้าอยากให้อาการป่วยของเขาทรุดลงหรือ?” สายตาของซูหลีเย็นชา ถามกลับเสียงเกรี้ยว
เสวียนฟงหน้าเปลี่ยนสี ตอบกลับเสียงแข็ง “ข้าน้อยมิกล้า!”
ซูหลีมองเขาด้วยสายตาเย็นชา “เรื่องในวันนี้ ห้ามผู้ใดแพร่งพรายออกไปแม้แต่คำเดียว มิเช่นนั้นจะต้องถูกลงโทษตามกฎของลัทธิ!”
“ขอรับ / เจ้าค่ะ” ทุกคนรับคำอย่างพร้อมเพรียง ส่วนนายท่านที่ซูหลีและผู้อาวุโสกล่าวถึง หรือแม้แต่แขกสูงศักดิ์ที่ดื่มน้ำแกงเม็ดบัวแล้วสิ้นใจตายเป็นผู้ใด บางคนก็กระจ่างแก่ใจ บางคนก็ไม่เข้าใจ
ซูหลีกล่าวอีกว่า “ผู้อาวุโสเสวียนจิ้งน่าสงสัยที่สุด ก่อนที่เรื่องจริงจะถูกตรวจสอบ ให้จับตัวไปขังในห้องลับก่อน หากเรื่องจริงกระจ่างเมื่อใด ค่อยตัดสินอีกที ผู้อาวุโสเสวียนจิ้ง ท่านมีคำถามหรือไม่?”
ถึงแม้เสวียนจิ้งจะไม่ยินยอมนัก ทว่าทั้งพยานหลักฐานล้วนบ่งชี้มาที่ตัวเขา เขาไม่อาจหาข้อแก้ต่างได้ จึงจำต้องพยักหน้า และเดินตามหวั่นซินออกไป ไม่นาน ทุกคนก็แยกย้ายกันกลับ
ซูหลีเรียกโม่เซียงเข้ามา ถามเสียงขรึมว่า “เสียงของพวกเขา เจ้าได้ยินชัดเจนแล้วหรือไม่?”
โม่เซียงพยักหน้า ก้าวเข้ามากระซิบชื่อของคนผู้หนึ่ง
สายตาของซูหลีแปรเปลี่ยนเป็นคมปลาบ นางกล่าวเสียงเย็น “ดี ฉินเหิง ให้คนจับตาดูพวกเขาไว้ให้ดี คืนนี้ให้เฝ้าระวังอย่างเคร่งครัด หากมีการเปลี่ยนแปลงใดให้รีบรายงานทันที!”
“ขอรับ” ฉินเหิงรับคำสั่งแล้วจากไป
ซูหลีเงยหน้า นัยน์ตาเย็นเยียบดั่งหิมะ ขณะทอดมองขอบฟ้าอันมืดมิด นางหยักยิ้มเย็นชาเล็กน้อย
ลัทธิธิดาเทพแห่งนี้ ถึงเวลาต้องกวาดล้างแล้ว
ไม่ผิดไปจากที่ซุหลีคาดหมายไว้ กลางดึก ฉินเหิงสกัดยึดจดหมายที่ถูกส่งออกไปข้างนอกอย่างลับๆ ได้ฉบับหนึ่ง มีเนื้อความว่า ‘องค์ชายสี่ถูกวางยาพิษจนสิ้นใจ ฝีมือเสวียนจิ้ง’ อ่านจบซูหลีก็ยิ้มเย็นชา นางเก็บจดหมายไว้ แล้วเรียกทูตทั้งสี่มา กำชับพวกเขาหลายประโยคเพื่อแบ่งภารกิจให้แต่ละคน หลังจากรับคำพวกเขาทั้งสี่คนก็แยกย้ายกันไป
ครึ่งชั่วยามต่อมา หวั่นซินเรียกอวี๋เชียนจี และหลินเหยาหัวหน้าสำนักเมฆาขาวมาดื่มชาตามคำสั่ง หลินเหยาหงุดหงิดยิ่งนัก กลางดึกสงัด ดื่มชาอะไรกัน! เห็นได้ชัดว่าเป็นข้ออ้าง ถึงแม้ไม่พอใจ แต่กลับไม่กล้าปฏิเสธคำเชิญ เขายังเข็ดหลาบกับบทลงโทษเมื่อสองวันก่อนอยู่ ธิดาเทพคนใหม่ ยามใจเหี้ยมก็เหี้ยมกว่าบุรุษเพศเสียอีก!
อวี๋เชียนจีเหลือบมองซูหลีเงียบๆ นางเองก็ไม่กล้าพูดมาก ทำได้เพียงขบคิดเงียบๆ
ซูหลีไม่พูดอะไรสักคำ เพียงก้มหน้าจิบชา คล้ายกำลังรออะไรบางอย่าง
ผ่านไปไม่นาน เซี่ยงหลีจับตัวคนผู้หนึ่งกลับมา เงาร่างสูงใหญ่ในยามปกติ ยามนี้กลับโก่งงอเล็กน้อย คนผู้นั้นก้มหน้าต่ำ คล้ายไม่กล้าสบตาซูหลี
หัวใจของหลินเหยาสะท้านไปทั้งดวง ถ้วยชาในมือเอียง น้ำชาร้อนๆ หกใส่ตัวเขาทันที แต่เขากลับเหมือนไม่รู้สึกถึงมัน ได้แต่เบิกตาจ้องเสวียนฟง สภาพเขาเช่นนี้ อย่างไรก็ไม่เหมือนถูกเชิญมาดื่มชา
เซี่ยงหลีบังคับให้เสวียนฟงเดินมาหาซูหลี ก่อนจะเตะข้อพับขาเขา ทำให้เขาเสียหลัก ล้มตัวลงคุกเข่าตรงหน้าซูหลีทันที
ซูหลีกล่าวเสียงเย็นชา “เหตุใดผู้อาวุโสจึงต้องเกรงใจเช่นนี้?”
เสวียนฟงทำหน้าเคร่งเครียดไม่พูดอะไร เขารู้ว่าตอนนี้พูดอะไรไปก็ไม่มีประโยชน์แล้ว ทุกอย่างล้วนอยู่ในแผนการของนาง เขาประเมินเด็กสาวนางนี้ต่ำไปจริงๆ!
เซี่ยงหลีกล่าวว่า “ข้าน้อยเฝ้าระวังอยู่นอกห้องลับตามคำสั่งของท่านธิดาเทพ พบว่ามีคนสังหารคนปิดปาก เพื่อสร้างสถานการณ์ว่าผู้อาวุโสเสวียนจิ้งปลิดชีพตนเอง ข้าน้อยเลยรีบพาคนเข้าไปจับกุม นึกไม่ถึงว่าจะกลายเป็นผู้อาวุโสเสวียนฟง!”
หลินเหยาและอวี๋เชียนจีหน้าถอดสีทันที
เซี่ยงหลีกล่าวต่ออีกว่า “น่าเสียดายที่ข้าน้อยช้าไปหนึ่งก้าว จับตัวผู้อาวุโสเสวียนฟงได้ แต่กลับไม่อาจช่วยชีวิตผู้อาวุโสเสวียนจิ้งไว้ได้ทัน ท่านธิดาเทพโปรดลงโทษข้าน้อยด้วย” เอ่ยจบ เขาก็สั่งให้คนนำศพศพหนึ่งเข้ามา ดวงตายาวคิ้วเรียว กลับเป็นศพของเสวียนจิ้ง!
หลินเหยาตกตะลึง ลุกพรวดอย่างทนไม่ไหว
ศพของเสวียนจิ้งบนพื้น ใบหน้าเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว ดูท่าก่อนตายจะต้องมีปากเสียงกับเสวียนฟงอย่างรุนแรงเป็นแน่
เซี่ยงหลีหยักยิ้มมุมปากเล็กน้อย แววเย็นชาพาดผ่านดวงตางาม ไม่มีวี่แววของความสำนึกผิดแม้แต่น้อย ซูหลีลอบทอดถอนใจ เกรงว่าเขาจงใจไปช้าเสียมากกว่า
ท่านน้าจิ้งหวั่นตายเพราะเสวียนจิ้ง เสวียนจิ้งตายเพราะเซี่ยงหลี ดูท่าคงเป็นวิถีแห่งฟ้า ผู้ใดกระทำสิ่งใดย่อมได้รับผลกรรมของสิ่งที่กระทำลงไป
“ลุกขึ้นเถิด”
“ขอบคุณท่านธิดาเทพที่เมตตาไม่เอาผิดข้าน้อยขอรับ” เซี่ยงหลีแย้มยิ้มแล้วหันไปขยิบตาให้หวั่นซินเร็วๆ หวั่นซินชำเลืองมองซูหลีเงียบๆ เห็นแววเจ็บปวดพาดผ่านดวงตานาง แต่กลับไม่ตำหนิที่พวกนางตัดสินใจทำอะไรโดยพลการ จึงคลายใจลงในที่สุด
จากนั้นเซี่ยงหลีก็มอบขวดยาเล็กๆ ขวดหนึ่งให้ซูหลี “ของสิ่งนี้คือหลักฐานที่ผู้อาวุโสเสวียนฟงใช้สังหารผู้อาวุโสเสวียนจิ้ง ท่านธิดาเทพโปรดพิจารณา”
ซูหลียกขึ้นดมกลิ่นอย่างละเอียด เป็นพิษดับชีพดังคาด นางตวาดเสียงเกรี้ยว “เสวียนฟง เหตุใดท่านจึงต้องสังหารเสวียนจิ้ง? สารภาพความจริงมาเดี๋ยวนี้!”
เสวียนฟงก้มหน้า ไม่ยอมพูดอะไรสักคำ
เขาคิดว่าไม่ยอมพูดเช่นนี้แล้วจะเอาผิดเขาไม่ได้งั้นหรือ?
ซูหลียิ้มเย็นชา เรียกตัวโม่เซียงเข้ามา แล้วกล่าวเสียงเข้ม “เจ้าได้ยินผู้ใดคุยกันเรื่องใดบ้างในหอนางโลม? เล่ามาตามความจริง”
โม่เซียงรวบรวมความกล้า แล้วบอกว่า “ข้าน้อยได้ยินผู้อาวุโสเสวียนฟงคุยกับหัวหน้าสำนักเมฆาขาว ว่าในตำหนักเซิ่งซินมีบุรุษผู้หนึ่งมาเข้าพัก หากแพร่งพรายออกไปจะทำให้เสื่อมเสียเกียรติท่านธิดาเทพ เจ้าใช้สิ่งนี้จัดการเขาเสีย”
“เหลวไหล!” หลินเหยาหน้าถอดสีครั้งใหญ่ เขาลุกพรวดพราดขึ้นมา หมายจะตำหนิว่าโม่เซียงใส่ร้ายป้ายสี แต่กลับเห็นหวั่นซินมอบขวดกระเบื้องเคลือบใบเล็กที่รูปร่างหน้าตาเหมือนขวดยาที่ได้มาจากผู้อาวุโสเสวียนฟงให้ซูหลีเสียก่อน เป็นขวดยาที่เขาใช้แล้วโยนทิ้งไป! ใบหน้าของหลินเหยาซีดเผือด
ซูหลีจ้องหน้าเขาด้วยสายตาเย็นชา “ใช่สิ่งนี้หรือไม่?”
น้ำเสียงของนางถึงแม้แช่มช้า แต่กลับแฝงไว้ด้วยแรงกดดันมหาศาล หลินเหยาสะท้านไปทั้งใจ หันไปมองเสวียนฟงที่คุกเข่าอยู่บนพื้นและร่างไร้วิญญาณของเสวียนจิ้ง สองผู้อาวุโสที่เคยยิ่งใหญ่น่าเกรงขามในอดีต ครั้นอยู่ต่อหน้าธิดาเทพคนใหม่ คนหนึ่งสิ้นชีพ คนหนึ่งชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้าย เขาเป็นเพียงหัวหน้าสำนักตัวเล็กๆ เพียงทำตามคำสั่งของผู้อื่นเท่านั้น ทุกอย่างนางล้วนกระจ่างแก่ใจ ยังมีเรื่องใดที่นางไม่รู้อีกงั้นหรือ?
ครั้นนึกได้ หลินเหยาพลันเข่าอ่อน ทิ้งตัวคุกเข่าต่อหน้าซูหลี
“ท่านธิดาเทพโปรดระงับโทสะ!”
ถือว่าเขายังรู้จักอ่านสถานการณ์! ซูหลีกล่าวเสียงเย็นชา “ลอบปลงพระชนม์องค์ชายในราชวงศ์ปัจจุบัน แม้ถูกผู้อื่นบงการ แต่ก็ถือว่ามีความผิดใหญ่หลวงจนมิอาจให้อภัย!”
หลินเหยาตกใจจนหน้าซีดเผือด ร้องเสียงหลง “อะไรนะ? องค์ชาย? ขะ ขะ เขา…” เขามองหยางเซียวที่นอนสิ้นใจอยู่บนเตียงด้วยความตื่นตะลึง แล้วหันกลับมามองหน้าเสวียนฟง เสวียนฟงเหมือนท่อนไม้ที่ไร้ชีวิต ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองแม้แต่น้อย
……………………