กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 372 ผู้ใดจะสามารถกุมหัวใจของเขาได้ (2)
ซูหลีลืมตา หยางเซียวยันแขนทั้งสองข้างด้านข้างใบหน้านาง ใบหน้าหล่อเหลาที่เกลื่อนไปด้วยรอยยิ้มยียวนลอยอยู่เหนือศีรษะนาง
ซูหลีขมวดคิ้วกล่าวว่า “ดึกดื่นไม่หลับไม่นอนวิ่งมาทำอะไรในห้องข้า?”
“สตรีมักกลัวเสียงฟ้าร้อง ข้ากลัวเจ้าจะนอนไม่หลับ เลยตั้งใจมาอยู่เป็นเพื่อนเจ้า” เขาพูดด้วยสีหน้าจริงจัง ดวงตาสดใสเหมือนพระจันทร์เสี้ยว เปล่งประกายเจิดจ้าท่ามกลางความมืด
ซูหลีพลิกกาย แล้วกล่าวเสียงเรียบ “ข้าสบายดี ไม่ต้องให้ผู้ใดอยู่เป็นเพื่อน ท่านกลับไปเถิด”
หยางเซียวทำเหมือนไม่ได้ยิน หมุนกายนั่งบนขอบเตียง แล้วจ้องหน้านาง
ซูหลีถูกเขาจ้องจนทำตัวไม่ถูก จึงกล่าวเสียงเย็นชา “ยังไม่ไปอีกหรือ?”
หยางเซียวยิ้ม แล้วกล่าวว่า “การมองดูหญิงงามเข้านอนเป็นความสุขอย่างหนึ่ง ข้าจะไปได้อย่างไร”
ใบหน้าซูหลีขรึมลง นางลุกขึ้นนั่ง แล้วเรียกชื่อเขาเสียงดัง “หยางเซียว!”
“อ้อ!” เขากลับได้คืบจะเอาศอก รีบชะโงกหน้าเข้ามาใกล้ “มีอะไรหรือ?”
“หากยังไม่ไปอีกอย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ”
“ทำไมเจ้าต้องดุด้วย! ถึงอย่างไรเจ้าก็นอนไม่หลับ อยู่พูดคุยกันดีกว่า ยิ่งไปกว่านั้น…เจ้าเป็นห่วงข้าขนาดนี้ เหตุใดต้องฝืนใจไล่ข้าไปด้วยเล่า?”
“ท่านหมายความว่าอย่างไร?”
“เจ้าเป็นห่วงข้าอย่างไรเล่า! วันนี้เจ้าถึงขั้นร้องไห้เพราะข้า ร้องไห้จนน้ำตาเปียกเสื้อผ้าของข้าหมดแล้ว”
ท่ามกลางความมืด เสียงของเขาอ่อนโยนกว่าปกติ พาให้บรรยากาศแปรเปลี่ยนเป็นคลุมเครือหลายส่วน
หัวใจของซูหลีสั่นไหว ทว่ากลับเบนสายตาหลบ แล้วกล่าวเสียงเย็นชา “ก็แค่เล่นละคร หากรู้อย่างนี้แต่แรก ข้าไม่ควรช่วยท่าน ปล่อยให้ท่านถูกคนวางยาพิษไปเสีย ข้าจะได้อยู่อย่างสงบ!”
“ฮ่าๆ! เจ้าทำอย่างนั้นไม่ลงหรอก!” หยางเซียวหัวเราะเสียงดัง จู่ๆ ก็ปีนขึ้นมาบนเตียง ไม่รอให้ซูหลีตอบสนอง เขากอดนาง แล้วกล่าวเสียงเบา “อาหลี ข้าอยากรู้ หากวันนี้ข้าตายไปจริงๆ เจ้าจะเสียใจสักนิดหรือไม่?”
ในค่ำคืนดึกสงัด สายตาของเขาเปล่งประกายบีบคั้นผู้คน กลิ่นอายสดชื่นและอบอุ่นที่แผ่ออกมาจากตัวเขาห่อหุ้มกายนางอย่างอ่อนโยน ดวงตาปรากฏแววจริงจังที่ไม่ค่อยได้เห็นบ่อยนัก คล้ายคำตอบของนางสำคัญกับเขามาก
หากเขาตาย นางจะเสียใจจริงๆ หรือ? นางเองก็ถามหัวใจตนเองด้วยคำถามนี้เช่นกัน ซูหลีมองบุรุษหล่อเหลาที่อยู่ใกล้เพียงเอื้อมมือ แต่กลับไม่รู้ว่าควรตอบอย่างไร
เสียงสายฝนซู่ซ่าด้านนอกดังกลบเสียงหัวใจที่เต้นรัว ประสาทสัมผัสกลับอ่อนไหวเป็นพิเศษ สายฟ้าสายหนึ่งพาดผ่าน ซูหลีเห็นใบหน้าเขาใกล้เข้ามาเรื่อยๆ กลีบปากของเขาใกล้จะประกบกับริมฝีปากของนาง…
เขากลั้นขำไม่ไหว จู่ๆ ก็หัวเราะเสียงดัง
“หยางเซียว!” เสียงของซูหลีพลันแปรเปลี่ยนเป็นเย็นเยียบ เห็นได้ชัดว่าเริ่มโกรธแล้ว เขากลับปล่อยนาง พลิกตัวนอนบนเตียง แล้วหัวเราะจนหายใจไม่ทัน ไม่มีท่าทางจริงจังแม้แต่น้อย “เจ้า เมื่อกี้เจ้าตื่นเต้นมากเลย” ยังพูดไม่ทันจบประโยค เสียง ‘โครม’ ก็ดังทันใด เขาตกจากเตียง นอนแผ่หลาอยู่บนพื้น
หยางเซียวร้องโอดครวญเสียงดัง นึกไม่ถึงว่านางจะถีบเขาตกเตียง!
ซูหลีจ้องหน้าเขาด้วยสายตาเย็นชา “ออกไป! หากท่านยังกล้าล้อเล่นอย่างนี้อีก ข้าจะทำให้ท่านหัวเราะไม่ได้อีกตลอดชีวิต!”
หยางเซียวอึ้งงัน มองหน้านางอย่างตกตะลึง ผ่านไปครู่หนึ่งจึงค่อยลุกขึ้นเดินไปทางประตู แต่ก่อนจะออกไปเขากลับชะงักเท้า แล้วกล่าวเสียงเบา “หากเป็นไปได้ ข้ายอมหัวเราะไม่ได้ไปทั้งชีวิต เพื่อแลกกับการทำให้เจ้ามีความสุขไปจนแก่เฒ่า”
หัวใจของซูหลีสั่นไหวไปทั้งดวง บานประตูถูกปิดลงเบาๆ เงาร่างสูงใหญ่หายลับไปจากครรลองสายตา ซูหลีกำหมัดแน่นโดยไม่รู้ตัว มีความสุขไปจนแก่เฒ่า? กลีบปากของนางขยับเล็กน้อย แต่กลับค้นพบว่าตนเองไม่อาจยิ้มออกมาได้
เรื่องเมื่อครู่ นางรู้ว่าหยางเซียวแค่ต้องการหยอกล้อนางเท่านั้น เขาไม่มีทางกระทำอะไรเกินเลยแน่นอน แต่ว่า…นางยังคงรู้สึกหวาดกลัว กลัวความทรงจำที่อาจถูกความใกล้ชิดเช่นนั้นรื้อฟื้นกลับมาอีก…
หลังจากถูกหยางเซียวเล่นแผลงๆ นางก็พลิกตัวไปมาทั้งคืน ทำอย่างไรก็นอนไม่หลับอีก
เสียงฟ้าผ่ายังคงดังโครมคราม สายฝนโหมกระหน่ำ ซัดสาดใส่เสาทางเดินดั่งคลื่นลูกใหญ่ สภาพอากาศเช่นนี้ มักทำให้นางนึกถึงวันที่หนีออกจากแคว้นเฉิงอย่างไม่อาจควบคุม
วินาทีที่กระโดดลงไปในแม่น้ำหลานชาง หัวสมองของนางขาวโพลนไปหมด หากไม่ได้วางแผนทุกอย่างไว้ก่อน แล้วตายไปทั้งอย่างนั้น อาจไม่ใช่เรื่องเลวร้ายก็เป็นได้ แก้แค้นแล้ว ล้างมลทินสำเร็จแล้ว ไม่ว่านางจะอยู่หรือตาย ก็ไม่สลักสำคัญอะไรมาก
นางลุกจากเตียงหยิบเสื้อคลุมห่มไหล่ เดินทอดน่องไปตามทางเดินเหยียดยาว มองดูพายุฝนที่เชื่อมต่อท้องฟ้าและผืนน้ำเข้าด้วยกัน ดอกบัวสีเขียวกลางทะเลสาบค่อยๆ ลีบเล็ก ความเจ็บปวดพรั่งพรูในหัวใจนางอย่างไม่อาจควบคุม
นางล้วงผ้าเช็ดหน้าของเซี่ยฝูอันออกมาจากแขนเสื้อ ลายปักบนผ้าผืนนี้เหมือนทิวทัศน์ยามหิมะตกในสวนต้องห้ามมาก ฤดูหนาวปีนั้นอากาศหนาวเหน็บถึงเพียงนั้น แต่เหมือนว่าค่ำคืนแห่งสายฝนนี้จะหนาวเหน็บกว่าฤดูหนาวปีนั้นหลายเท่า นางเอื้อมมือออกไปสัมผัสสายฝน เม็ดฝนที่มีขนาดเท่าเมล็ดถั่วสาดกระทบฝ่ามือนาง แล้วไหลลงสู่ทะเลสาบ เหลือทิ้งไว้เพียงสัมผัสเปียกชื้นและหนาวเย็นตรงใจกลางฝ่ามือ
เบื้องหน้าคล้ายมีสายตาคู่หนึ่งจดจ้องมาที่นาง ซูหลีเงยหน้า หรี่ตาเล็กน้อย อีกด้านหนึ่งของสายฝนที่โหมกระหน่ำลงมา กลับมีคนผู้หนึ่งยืนอยู่!
เป็นชายหนุ่ม
ท่ามกลางค่ำคืนอันมืดมิด เส้นผมสีน้ำหมึกของเขาปลิวสยายกลางอากาศ เงาร่างสูงเพรียวยืนอยู่บนทางเดินที่อยู่ไม่ห่างจากตรงนี้มากนัก จ้องตากับนางจากอีกฝั่งหนึ่งอยู่อย่างนั้น ซูหลีตะลึงงัน ฝ่าเท้าไม่ขยับ คนผู้นั้นเดินมาทางนาง หัวใจของนางพลันเต้นระรัวไม่หยุด เหมือนถูกจู่โจมเข้ากลางใจ ยากจะสงบลงได้
แต่ครั้นนางเห็นใบหน้าเขาอย่างชัดเจน หัวใจของนางกลับหนักอึ้งขึ้นมาทันที
ที่แท้ก็เป็นเซี่ยฝูอัน นึกไม่ถึงว่านางเกือบเห็นเขาเป็นใครอีกคน! อาการหนักแล้วจริงๆ! ซูหลีหลับตาเบาๆ ค่อยๆ เก็บผ้าเช็ดหน้าเข้าไปในแขนเสื้อ หัวใจเศร้าสลด เดิมทีนางนึกว่าตนเองสามารถกำจัดเขาออกจากครรลองสายตาได้แล้ว แต่นึกไม่ถึงว่าในสายตานางกลับยังคงมีเงาของเขาปรากฏตัวอยู่ทุกที่!
เพราะเหตุใดกัน?
นางมองม่านสายฝนที่เทลงมาอย่างต่อเนื่อง หัวใจพลันรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาเล็กน้อย
สายตาของเซี่ยฝูอันสั่นไหว เขาค่อยๆ เดินมายืนข้างกายนาง กลิ่นยาฉุนๆ คละเคล้ากับกลิ่นหอมสดชื่นที่จางจนแทบจะไม่ได้กลิ่นพลันลอยโชยมาแตะจมูก ให้ความรู้สึกคุ้นเคยเล็กน้อย แต่ที่มากกว่ากลับเป็นความรู้สึกแปลกประหลาด
เขาถอนหายใจเบาๆ “ฟังเสียงฝนในค่ำคืนเงียบสงบ พาให้หวนนึกถึงเรื่องในอดีต นึกไม่ถึงว่าจะยังมีคนเป็นเหมือนข้าน้อยด้วย”
ซูหลีละสายตากลับมา กล่าวเสียงเฉยชา “กลางคืนฝนตกอากาศหนาว ผู้ดูแลเซี่ยระวังพิษเย็นในร่างจะกำเริบอีกครั้ง”
เซี่ยฝูอันแย้มยิ้มเล็กน้อย กล่าวประชดตนเองคล้ายไม่ใส่ใจ “พิษเย็นกำเริบก็เพียงเจ็บป่วยทางร่างกายไม่กี่วัน จะเทียบกับความทรมานในจิตใจที่หนักหนาขึ้นทุกวันได้เช่นไร”
ซูหลีอึ้งไปเล็กน้อย สายตาที่เขามองมา พลันสะท้อนความเจ็บปวดที่ยากจะอธิบาย นางลอบขมวดคิ้ว ไม่อยากเสวนากับเขามากกว่านี้ จึงหมุนกายเดินออกมา กลับได้ยินเขาพูดเสียงเบาจากข้างหลัง “ท่านธิดาเทพไม่หลับไม่นอน ออกมาฟังเสียงฝน มิใช่เพราะมีเรื่องในใจหรอกหรือ?”
ฝีเท้าของซูหลีสะดุดเล็กน้อย นางไม่หันไปมองเขา เพียงกล่าวกลั้วเสียงหัวเราะเย็นชา “อวดรู้”
เขากลับทอดถอนใจ “แม้จะสวมหน้ากากอีกสักกี่ใบ ก็ทำได้เพียงปิดบังใบหน้าของคนสวมเท่านั้น กลับมิอาจปิดบังความทุกข์ที่อยู่ในใจได้”
ร่างกายของซูหลีสั่นสะท้าน ฝีเท้ากลับไม่หยุดชะงักอีก นางเดินกลับเข้าไปในตำหนัก ปิดประตูอย่างรวดเร็ว เหมือนกำลังวิ่งหนีอะไรบางอย่าง
ฝนยังคงตกอย่างต่อเนื่อง เสียงฟ้าผ่าดังเปรี้ยงปร้าง หัวใจของซูหลีสับสนวุ่นวาย ทำอย่างไรก็นอนไม่หลับ ก่อนฟ้าสาง นางเพิ่งจะหลับอย่างสะลึมสะลือได้ไม่นาน ครั้นตื่นมาก็รู้สึกปวดหัว เสียงฝนด้านนอกเบาลงแล้ว นางลุกขึ้นเดินไปที่หน้าต่าง ผลักบานหน้าต่างออก อากาศเปียกชื้นพาเอาความสดชื่นลอยเข้ามาปะทะใบหน้า นางสูดหายใจลึกๆ สมองปลอดโปร่งขึ้นหลายส่วน เงาร่างของบุรุษบนทางเดินยาวๆ ในยามกลางคืนไม่อยู่แล้ว การพูดคุยไม่กี่ประโยคเมื่อคืน ราวกับเป็นเพียงภาพลวงตา
…………………………