กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 374 ผู้ใดจะสามารถกุมหัวใจของเขาได้ (4)
ฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนประชวรหนัก พระอาการยังคงไม่ดีขึ้น ถ้าได้รับข่าวนี้จะต้องได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจอย่างรุนแรงแน่นอน หากเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น แล้วผู้ใดจะได้รับผลประโยชน์จากเรื่องนี้กันเล่า?
ดูเหมือนคำตอบจะชัดเจนอยู่แล้ว!
กฎของราชวงศ์เปี้ยน หากไม่มีทายาทสายตรงสืบทอดบัลลังก์ ก็สามารถเลือกญาติในเครือที่มีคุณธรรมและบารมีสูงส่งเพื่อสืบทอดบัลลังก์ได้ ซึ่งญาติในเครือที่โดดเด่น และมีบารมีสูงส่งที่สุดในราชวงศ์ปัจจุบัน…
หัวใจของซูหลีสั่นสะท้าน หวนนึกถึงเหตุการณ์ที่พบกันครั้งแรก เป็นเขา…จริงหรือ? นางครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก่อนจะกำชับเสียงเข้ม “พวกเจ้าจงฟัง เรื่องที่เสวียนฟงหายตัวไป อย่าได้แพร่งพรายให้ผู้ใดรู้ โดยเฉพาะอวี๋เชียนจี”
นางกล่าวอย่างครุ่นคิดอีกว่า “แม้ว่าเสวียนฟงจะหนีไปแล้ว แต่ลัทธิธิดาเทพมีกลไกแน่นหนา หากเขาคิดจะหนีไปได้อย่างปลอดภัย คงไม่ใช่เรื่องง่าย ทูตมั่งคั่ง เจ้าจงส่งคนออกไปตามหาเขาอย่างลับๆ นอกจากนี้ ซักถามคนเฝ้าประตูสองคนนั้นอย่างละเอียดอีกที ห้ามปล่อยให้เบาะแสใดเล็ดลอดไปเด็ดขาด”
เซี่ยงหลีพยักหน้า “เข้าใจแล้วขอรับ ข้าน้อยจะจัดการอย่างระมัดระวังขอรับ”
ซูหลีเดินกลับตำหนักเซิ่งซินอย่างแช่มช้า ระหว่างทางเอาแต่ครุ่นคิดเรื่องในใจ ยังไม่ทันเข้าไปในตำหนัก ก็เห็นหยางเซียวนั่งชะโงกหน้าไปบนโต๊ะอย่างตั้งอกตั้งใจ ตะเกียบในมือเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ผักเครื่องเคียงฝีมือประณีตหลายจานบนโต๊ะถูกเขากวาดเรียบภายในชั่วพริบตา
ซูหลีสะดุดใจ นางกำลังคิดจะหาข้ออ้างไปหาเขา แต่เขากลับมาหานางเสียก่อน
หยางเซียวเห็นนางกลับมา แววยินดีปรากฏในสายตา ร้องเรียกนางด้วยเสียงอู้อี้ “เจ้าไปไหนมาแต่เช้า?”
“ท่านคิดว่าข้าเหมือนท่านที่ไม่ต้องทำอะไรเลยหรืออย่างไร?” ซูหลีตอบเขาด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย ก่อนจะเดินเข้าไปในห้อง แล้วนั่งลงบนเก้าอี้ด้านหนึ่ง มองดูเขาคีบอาหารคำโตกินอย่างเอร็ดอร่อย นางอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว แล้วถามว่า “วันนี้ห้องครัวมิได้เตรียมสำรับอาหารให้ท่านหรือ?”
หยางเซียวเช็ดปาก แล้วบ่น “หน้าตาอาหารเช้าก็ดูไม่ได้แตกต่างกันมาก แต่เหตุใดรสชาติอาหารเช้าของเจ้าจึงไม่เหมือนของข้าเลยเล่า?” เขาครุ่นคิดด้วยสีหน้าจริงจัง “อีกประเดี๋ยวข้าต้องกลับไปถามเซี่ยฝูอันให้รู้เรื่อง!”
ซูหลีไม่พูดอะไร ยามนี้นางไม่มีอารมณ์คุยเรื่องไร้สาระกับเขา
หยางเซียวชะโงกหน้าเข้ามาถามว่า “เกิดเรื่องใดขึ้นหรือ?” ท่าทางที่เหมือนกำลังครุ่นคิดบางอย่าง เห็นได้ชัดว่าผิดปกติ เขาจึงรีบหุบรอยยิ้มทันที
ซูหลีกล่าวเสียงเบา “เสวียนฟงหายตัวไปแล้ว”
“อะไรนะ?” หยางเซียวกระเด้งตัวลุกขึ้นยืน สีหน้าเหมือนไม่อยากเชื่อ เขาขมวดคิ้วกล่าวว่า “บริเวณห้องลับมีคนเฝ้าระวังอยู่มากมายขนาดนั้น กลไกในลัทธิก็แน่นหนา เหตุใดเขาจึงหายตัวไปได้เล่า? เรื่องเกิดขึ้นเมื่อใดกัน?”
“เมื่อคืน” เอ่ยจบ ซูหลีก็มองใบหน้าสับสนของเขา แล้วกำชับเสริมว่า “เรื่องนี้ท่านอย่าเพิ่งแพร่งพรายให้ผู้ใดรู้ ข้าส่งคนออกไปสืบเบาะแสอย่างลับๆ แล้ว หากมีความคืบหน้าจะแจ้งให้ท่านรู้”
หยางเซียวพยักหน้า มองหน้านางแล้วจู่ๆ ก็แย้มยิ้ม รอยยิ้มนั้นแฝงไว้ด้วยแววสอดแนม “ฟังจากที่เจ้าพูด หรือว่าเจ้ารู้ตัวเป้าหมายแล้ว?”
ลมหายใจของซูหลีสะดุดไปเล็กน้อย นางรีบตอบทันที “ตอนนี้ยังไม่รู้” นางครุ่นคิดครู่หนึ่ง “ท่านมีความแค้นกับผู้ใดในราชสำนักหรือไม่?”
นัยน์ตาของหยางเซียวไหวระริก กลีบปากเผยอขึ้นเผยให้เห็นรอยยิ้มคลุมเครือ “ยังไม่ยอมรับอีกหรือว่าเจ้าเป็นห่วงข้า!”
สายตาของซูหลีแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา นางพลิกข้อมือเล็กน้อย หยางเซียวเห็นนางเอาจริง ก็รีบกระโดดหนีไปอีกทาง แล้วร้องเสียงดัง “รู้แล้วน่าๆ ก็แค่ถามดู เจ้าดุขนาดนี้ข้าจะตกใจตายเอาได้นะ!”
สายตาของซูหลีขรึมลง ทั้งที่เกือบตายแล้วแท้ๆ เขายังมีอารมณ์ล้อเล่นอีก!
หยางเซียวนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง เขาใช้นิ้วมือเคาะโต๊ะ พลางกล่าวอย่างครุ่นคิด “ในราชสำนัก คนที่อยากให้ข้าตายเสียเดี๋ยวนี้ ต้องมีไม่น้อยอย่างแน่นอน แต่คนที่กล้าเอาชีวิตข้าจริงๆ กลับมี…ไม่มาก” ครั้นเอ่ยถึงประโยคสุดท้าย น้ำเสียงของเขาก็ค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นเย็นเยียบ
“ท่านหมายถึงเสด็จน้าของข้า?”
นางเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา หยางเซียวกลับหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย จากนั้นก็รีบหัวเราะกลบเกลื่อน “เจ้าเป็นคนพูดเองนะ ไม่ใช่ข้า”
เขายิ้มแล้วกล่าวว่า “เรื่องนี้ยังไม่มีหลักฐาน ข้าจะกล้าพูดออกมาส่งเดชได้อย่างไรกัน? แต่ว่า…” เขาหยุดพูดไป
ซูหลีกล่าวว่า “แต่ว่าอะไร?”
“ระหว่างเสด็จอาและเสด็จพ่อ เคยมีเรื่องบาดหมางกันเพราะเรื่องของเสด็จอาหญิง”
แวบแรกที่ได้ยินเขาเอ่ยถึงเสด็จแม่ หัวใจของซูหลีก็รู้สึกขมปร่าขึ้นมาทันที นางถามอย่างลังเล “เสด็จน้ากับเสด็จแม่ของข้า…”
“พวกเขาสองพี่น้องรักกันมาก ได้ยินเสด็จพ่อบอกว่า ปีนั้นเสด็จอาหญิงหลบหนีออกจากแคว้นเปี้ยนอย่างกะทันหัน ไม่รู้ว่าไปอยู่ที่ใด ยามนั้นเสด็จอายังเด็กนัก เอาแต่บอกเสด็จพ่อว่าจะต้องตามหาเสด็จอาหญิงให้เจอ…แต่ครั้นเวลาผ่านไป ไร้ซึ่งข่าวสาร เขากลับไม่เคยเอ่ยถึงเรื่องนั้นอีกเลย ข้าคิดว่าเขาอาจจะหลงเชื่อข่าวลือ จึงเริ่มตีตนออกห่างจากเสด็จพ่อ”
ซูหลีหลุบตาทอดถอนใจ แล้วกล่าวว่า “ฉะนั้น ตอนนั้นที่ท่านถูกข้าจับเป็นตัวประกัน เขาจึงจงใจส่งคนที่ไม่รู้จักท่านมาจับพวกข้า?”
หยางเซียวพยักหน้า “อาจเป็นอย่างนั้น ดูจากภายนอก เรื่องของเสด็จอาหญิงในตอนนั้น เสด็จพ่อมีส่วนเกี่ยวข้องด้วยอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง” สีหน้าของเขาแสดงออกถึงความจนใจ “แต่เสด็จพ่อมิอาจละเลยคำสั่งสอนของบรรพบุรุษ ยิ่งไปกว่านั้นจุดยืนของแต่ละคนแตกต่างกัน ยากจะตัดสินว่าผู้ใดถูกผู้ใดผิด”
หัวใจของซูหลีสั่นไหวเล็กน้อย หยางเซียวอายุไม่มาก แต่กลับมองเรื่องราวได้อย่างทะลุปรุโปร่ง นางครุ่นคิด แล้วถามคล้ายไม่ใส่ใจ “เสด็จน้าทำเช่นนี้กับท่าน ท่าน ไม่โกรธบ้างหรือ?”
“ข้าน่ะเป็นคนแยกแยะบุญคุณความแค้น ขอเพียงไม่ล้ำเส้นข้า ไม่ว่าเรื่องใดย่อมเจรจากันได้ทั้งนั้น แต่หากมีผู้ใดแตะต้องคนที่ข้ารักแม้แต่ปลายนิ้ว ข้าหยางเซียว จะตอบแทนเขากลับเป็นร้อยเท่า!” เขาไม่ได้ตอบอย่างตรงไปตรงมา สายตาจดจ้องซูหลี แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงชัดถ้อยชัดคำ รอยยิ้มตรงมุมปากดูเย็นชาต่างจากยามปกติ ดูไม่เหมือนหยางเซียวที่นางรู้จักนัก
หัวใจของซูหลีเต้นแรง ประโยคนี้ของหยางเซียว เห็นได้ชัดว่าเขาต้องการจะสื่อว่า หากสืบแล้วพบว่าผู้บงการคือหยางเจิ้นจริงๆ เขาจะไม่มีทางออมมืออย่างแน่นอน!
หยางเซียวพลันหัวเราะเสียงดัง “เจ้าจะเคร่งเครียดไปไย? ทำเหมือนข้าจะห้ำหั่นกับเสด็จอาวันนี้พรุ่งนี้อย่างนั้นแหละ!”
ซูหลีไม่พูดอะไร หัวใจหนักอึ้ง แม้หยางเซียวอายุยังน้อย แต่กลับมีไหวพริบ ทั้งยังฉลาดปราดเปรื่อง เกรงว่าเขาคงเดาได้แต่แรกแล้วว่าใครคือผู้บงการอยู่เบื้องหลัง เพียงแต่เป็นอย่างที่เขาบอก หากไม่มีพยานหลักฐาน เขาจะไม่มีทางตัดสินส่งเดชเด็ดขาด เพราะถึงอย่างไรคนผู้นั้นก็มีบารมีสูงส่งในราชสำนัก ขณะเดียวกันก็ยังมีความเกี่ยวข้องทางสายเลือดอย่างใกล้ชิดกับนางด้วย
นางเข้าใจดีว่าเขาไม่อยากทำลายความรู้สึกดีๆ ที่ไม่ง่ายเลยกว่าที่ทั้งสองฝ่ายจะสร้างขึ้นมาได้
“อาหลี” จู่ๆ เขาก็หันมามองนาง แล้วกล่าวเสียงเบา “สมมติว่า ข้าหมายถึงสมมติว่า หากวันใดวันหนึ่งเจ้าจำต้องเลือก เจ้าจะต้องบอกกับข้าตรงๆ ไม่ว่าเจ้าจะเลือกทางใด ข้าอยากให้เจ้าจำไว้เสมอ ชาตินี้ภพนี้ ข้าหยางเซียว จะไม่มีวันทำร้ายเจ้าอย่างแน่นอน”
ซูหลีสะท้านไปทั้งใจ เงยหน้ามองเขาอย่างประหลาดใจ น้ำเสียงของเขาอ่อนโยนถึงเพียงนี้ แฝงแววจริงจังหนักแน่นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน คล้ายกำลังเอ่ยคำสัญญากับนาง และต้องการคำสัญญาจากปากนางเช่นกัน
ในอดีตมีคนผู้หนึ่งเคยร้องขอความจริงใจจากนางเช่นนี้ เพียงแต่ ความเป็นจริงโหดร้ายกว่าโชคชะตามากนัก มันรังแต่จะฉวยโอกาสยามที่เราไม่ทันได้เตรียมตัว และยามที่หัวใจของเราเต็มไปด้วยความคาดหวัง มันก็จะทำลายความสวยงามทุกอย่างอย่างโหดเหี้ยม
ให้นางเชื่อใจเขาตลอดไปงั้นหรือ? นางอยากถามเขานัก ตลอดไปนั้นนานเท่าใด ท่านรู้หรือไม่?
ชีวิตคนเรายืนยาวหลายสิบปี จะว่าสั้นก็สั้น จะว่ายาวก็ยาว มีเรื่องมากมายที่คาดไม่ถึง ไม่มีผู้ใดรับประกันได้ว่าอนาคตจะเป็นเช่นไร! นางรับประกันไม่ได้ เขาเองก็เช่นกัน
เด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาตรงหน้ามองนางด้วยสายตาคาดหวัง นางอดทอดถอนใจไม่ได้ ไม่ว่าอนาคตจะเป็นเช่นไร อย่างน้อยในยามนี้ หัวใจของเขาก็ซื่อสัตย์จริงๆ
…………………………