กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 375 กลืนไม่เข้าคายไม่ออก (1)
นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ซูหลีก็เอ่ยเสียงเรียบ “ขอบคุณท่านมากนะ หยางเซียว”
ครั้นไม่ได้รับคำตอบที่ต้องการ นัยน์ตาของหยางเซียวพลันหม่นหมอง แต่รอยยิ้มยังคงอยู่ “เจ้าทำเหมือนข้าเป็นคนอื่นคนไกล ด้วยสายสัมพันธ์ของพวกเรา ข้าดีกับเจ้าก็เป็นเรื่องสมควรแล้ว” เขาลุกขึ้นบิดขี้เกียจ แย้มยิ้มกว้าง แล้วกล่าวว่า “กินจนอิ่มท้องแล้ว ไปหาที่นอนดีกว่า อาหลีน้อย อย่าคิดถึงข้ามากนักเล่า!” เอ่ยจบก็หันมาขยิบตาให้นาง แล้วเดินจากไปพร้อมเสียงหัวเราะ
ซูหลีนั่งนิ่งอยู่ตรงนั้น จัดการความคิดของตนเองเงียบๆ โม่เซียงเข้ามาเก็บสำรับอาหารในห้อง ซูหลีเห็นนางทำงานอย่างแข็งขัน ความคิดพลันสะดุด รีบสั่งให้คนเรียกเซี่ยฝูอันมาพบ
“ท่านธิดาเทพมีอะไรให้ข้าน้อยรับใช้หรือขอรับ?” เซี่ยฝูอันเดินเข้ามาในตำหนัก แล้วเอ่ยปากถาม
ซูหลีสั่งให้โม่เซียงออกไป “เรื่องของเสวียนฟง ผู้ดูแลเซี่ยคงมีแผนในใจแล้ว มิสู้ลองพูดให้ข้าฟังสักหน่อย”
เซี่ยฝูอันอึ้งเล็กน้อย คล้ายประหลาดใจ เขาไม่ตอบกลับย้อนถาม “เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ เหตุใดท่านธิดาเทพจึงเชื่อใจข้าน้อยเช่นนี้?” เขาจ้องหน้านางตาไม่กะพริบ แววคาดหวังพาดผ่านดวงตา ราวกับคำตอบของนางสำคัญสำหรับเขามาก
ซูหลีเองก็จ้องเขาอย่างแน่วแน่เช่นกัน “ทำไมเล่า ผู้ดูแลเซี่ยคิดว่าตนเองไม่น่าเชื่อถืองั้นหรือ?”
สายตาของเซี่ยฝูอันไหวระริก ทว่ากลับไม่พูดอะไร
ซูหลีลุกขึ้นยืน แล้วเดินไปใกล้หน้าต่าง สัมผัสได้ถึงสายตาของเขาที่จ้องมองแผ่นหลังนาง หัวใจหนักอึ้งเล็กน้อย แต่กลับไม่หันกลับไป นางทอดสายตาออกไปนอกหน้าต่าง มองไปยังตำแหน่งที่เขาเคยยืนเมื่อคืน แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “หากผู้ดูแลเซี่ยมีใจคิดไม่ซื่อ ก็ไม่จำเป็นต้องเอาตนเองเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ข้ามีหลักการในการทำงาน ไม่ใช้คนน่าสงสัยทำงาน หากจะใช้ผู้ใดทำงาน คนผู้นั้นต้องเป็นคนไม่น่าสงสัย เจ้าเพียงต้องจำไว้ ขอเพียงเจ้าภักดีต่อข้า ข้าไม่มีวันทำร้ายเจ้าแน่นอน”
นัยน์ตาของเซี่ยฝูอันลึกล้ำ อารมณ์สับสนวุ่นวายพาดผ่านดวงตาและจางหายไปในเสี้ยววินาที เพียงชั่วพริบตาสายตาก็กลับมาเป็นปกติ จนแทบสังเกตไม่เห็นความเปลี่ยนแปลง
ฝนค่อยๆ ซาลง ดวงอาทิตย์โผล่พ้นชั้นเมฆ รัศมีเจิดจ้าสาดส่องไปทั่วทิศ ส่องกระทบผิวน้ำทะเลสาบปี้หู สะท้อนภาพผืนฟ้าสีครามและทิวทัศน์ที่รายรอบ มีเพียงโลกของมันเท่านั้นที่ถูกซ่อนเร้นไว้ใต้ผืนน้ำทะเลสาบอันลึกล้ำ
ซูหลีค่อยๆ หมุนกายกลับไป ดวงตาเงียบงันคู่นั้น เปรียบเสมือนทะเลสาบปี้หูที่ซ่อนความลับเอาไว้มากมาย
“ท่านธิดาเทพเมตตาถึงเพียงนี้ เซี่ยฝูอันย่อมต้องทุ่มเทอย่างสุดความสามารถแน่นอนขอรับ” เขานิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วก็ทอดถอนใจเสียงเบา ก้าวเข้ามาหลายก้าว กล่าวว่า “ยามนี้ข่าวการหายตัวไปของเสวียนฟงยังถูกปิดไว้เป็นความลับอยู่ มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้”
“เจ้าต้องการล่องูออกจากถ้ำ?” ซูหลีรับบทต่อโดยสัญชาตญาณ
“ถูกต้องแล้วขอรับ!” ประกายคมปลาบพาดผ่านดวงตาของเซี่ยฝูอัน “ผู้ที่ต้องการตามหาตัวเขาให้เจอมากกว่าเรา ก็คือผู้บงการเบื้องหลัง”
ซูหลีอดอึ้งงันไปไม่ได้ เหตุการณ์ที่คล้ายคลึงกันในอดีตผุดขึ้นมาในสมอง กระทั่งคำพูดและน้ำเสียงก็ยังให้ความรู้สึกคุ้นเคยถึงเพียงนี้ นางพยายามข่มกลั้นอารมณ์ที่พลุ่งพล่านในใจอย่างสุดความสามารถ แล้วแย้มยิ้มพลางกล่าวว่า “เป็นแผนการที่ไม่เลวจริงๆ เช่นนั้นเจ้าคิดจะทำเช่นไร?”
เซี่ยฝูอันคล้ายกำลังครุ่นคิด
ซูหลีจ้องหน้าเขา แล้วกล่าวอย่างแช่มช้าว่า “อวี๋เชียนจีผู้นั้นคล้ายสนใจเจ้า มิสู้เจ้าเริ่มลงมือจากนางก่อนเป็นอย่างไร”
ในหอซือหยวน นางเห็นเหตุการณ์ที่สตรีสวมอาภรณ์สีม่วงเรือนร่างอรชรงดงามยั่วยวนเขากับตา ไม่ว่าอวี๋เชียนจีมีจุดประสงค์ใด ขอเพียงเขายอมเล่นตามน้ำ และใช้กลอุบายสักเล็กน้อย คงไม่ใช่เรื่องยากที่จะตามหาตัวผู้บงการเบื้องหลัง
“ท่านจะให้ข้าน้อยเข้าหาสตรีนางนั้น?!” เซี่ยฝูอันมองหน้านาง ราวกับถูกสะกิดรอยแผลในใจ อารมณ์สับสนวุ่นวายถาโถมเข้ามาดั่งคลื่นซัดสาด ก่อนจะถูกข่มกลั้นเอาไว้จนกลายเป็นแววตาที่ซับซ้อนยิ่งกว่าเดิม
หัวใจของซูหลีบีบรัดโดยไม่รู้สาเหตุ “ทำไมหรือ?” นางถามด้วยความสงสัย เหตุใดสายตาที่สงบนิ่งของเขาจึงแปรเปลี่ยนเป็นสับสนได้ถึงเพียงนี้? คล้ายมีทั้งความเจ็บปวดและความอ้างว้างปะปนอยู่ นางกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉยต่ออีกว่า “แค่ให้ท่านแสดงละคร มิได้ให้ท่านเอาตัวเข้าแลกจริงๆ…หรือท่านกังวลว่าหากอยู่ต่อหน้าหญิงงาม แล้วจะอดกลั้นไม่ไหว สุดท้ายกลับกลายเป็นฝ่ายถูกควบคุมเสียเอง?”
“นางน่ะหรือ?” ราวกับได้ยินวาจาน่าขบขัน เขาขมวดคิ้ว แสยะยิ้มเย็นชา “แม้จะฝึกฝนไปอีกร้อยปี นางก็ไม่มีความสามารถนั้น!” เอ่ยจบเขาก็สะบัดแขนเสื้อหันหลัง บอกไม่ถูกว่าเขาหงุดหงิด โกรธเกรี้ยว หรือโศกเศร้ากันแน่ อารมณ์ของเขาพลุ่งพล่าน รอบกายมีรังสีอำมหิตแผ่กำจาย ราวกับต้องการบอกว่าเขาต่างหากที่เป็นเซียนแห่งสรรพชีวิตบนโลกนี้!
มีเพียงเขาที่ควบคุมผู้อื่นได้ ไม่มีผู้ใดควบคุมเขาได้ทั้งนั้น!
หัวใจของซูหลีสั่นสะท้าน นางตกตะลึงจนพูดไม่ออก
“บนโลกนี้ มีเพียงคนผู้เดียวที่สามารถควบคุมหัวใจข้าน้อยได้!” เขาเงยหน้ามองผืนฟ้ากว้างไกลนอกหน้าต่าง เงาร่างสูงใหญ่พลันแปรเปลี่ยนเป็นอ้างว้างเดียวดาย ครั้นหันกลับมามองหน้านางอีกครั้ง นัยน์ตาเขาก็สะท้อนความเจ็บปวดโศกเศร้า น้ำเสียงเลื่อนลอยเศร้าสลด ขณะเอ่ยเสียงเบาพลางแย้มยิ้มเล็กน้อย “เพียงประโยคเดียวของนาง ก็ทำให้ข้าน้อยสุขใจ ทำให้รู้สึกเหมือนตนเองเป็นคนที่มีความสุขที่สุดในโลกได้! และเพียงการกระทำเดียวของนาง ก็สามารถพาข้าน้อยดิ่งลงสู่นรก สิ้นหวังจนไม่อยากมีชีวิตอยู่ได้เช่นกัน…”
หัวใจของซูหลีเต้นอย่างบ้าคลั่ง สายตานางติดอยู่ในวังวนแห่งความเจ็บปวดในดวงตาเขา ยากจะละสายตาออกไป
“เจ้า…”
“แม้ข้าน้อยจะเป็นเพียงผู้ดูแลคนหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้แปลว่าจะปล่อยให้ผู้ใดควบคุมได้ตามใจ” สายตาของเขากลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว เขากล่าวต่อด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “ที่หอซือหยวนยังมีเรื่องต้องสะสาง ข้าน้อยขอตัวก่อน” เอ่ยจบก็หมุนกายสาวเท้ายาวๆ เดินจากไป
แผ่นหลังสูงใหญ่หายลับไปในทางเลี้ยวอย่างรวดเร็ว ภาพทิวทัศน์ที่อยู่ไกลๆ ค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นเลือนราง นางยืนอึ้งงันอยู่ที่เดิม ผ่านไปเนิ่นนาน ก็ยังไม่ได้สติ
นอกตำหนักเซิ่งซิน เซี่ยฝูอันสาวเท้าเร็วมาก อารมณ์หงุดหงิดสุมอยู่ที่ทรวงอก ทำอย่างไรก็ไม่จางหายไป กระทั่งกลับมาถึงหอซือหยวน เขาก็ยังไม่อาจทำใจให้สงบได้
เซี่ยถงนำบัญชีที่สำนักเมฆาขาวเพิ่งนำมาส่งมามอบให้เขา เขาพลิกอ่านอย่างไม่ใส่ใจ กลิ่นแป้งชาดหอมๆ ลอยเข้ามาจากนอกหน้าต่าง คละเคล้ากับกลิ่นอากาศอันสดชื่นหลังพายุฝนผ่านพ้นไป เลือนรางคล้ายไม่มีอยู่จริง เซี่ยฝูอันขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่กลับไม่เคลื่อนสายตาออกไปแม้แต่น้อย
บ่าวรับใช้คนหนึ่งเข้ามารายงาน “ผู้ดูแลเซี่ย ผลไม้ที่จะส่งไปยังแต่ละที่ถูกเตรียมไว้พร้อมแล้ว เชิญท่านตรวจสอบด้วยขอรับ”
เซี่ยฝูอันช้อนตาขึ้นเล็กน้อย นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก็วางบัญชีในมือลง แล้วเดินออกไปข้างนอก ผลไม้สดใหม่หลากสีถูกจัดสรรตามความชอบของผู้มีอำนาจแต่ละคนในแท่นบูชาหลักอย่างเหมาะสม ขณะกวาดตาสำรวจไปจนถึงผลไม้ชุดหนึ่ง เขาก็ขมวดคิ้ว แล้วถามว่า “ผลไม้ชุดนี้ส่งไปที่ใด?”
บ่าวรับใช้รีบตอบทันที “ส่งไปให้หัวหน้าสำนักอวี๋แห่งสำนักจันทร์เสี้ยวขอรับ”
“เอาส้มหวงกั่วออก แล้วเปลี่ยนเป็นส้มเขียวหวานหลิ่งหนานแทน” เขากล่าวเสียงเข้ม
บ่าวรับใช้ผู้นั้นลอบประหลาดใจ แต่ปากกลับรับคำ “ขอรับ”
ในสวนดอกไม้นอกศาลารูปทรงเก้าเหลี่ยม ผ้าโปร่งสีม่วงอ่อนกรีดผ่านเบาๆ กลีบดอกร่วงโรย ก้านไม้สั่นไหวเล็กน้อย เกิดเป็นเสียงสวบสาบ ไม่นานก็เงียบสงบดังเดิม
ครั้นอ่านบัญชีหนาๆ เล่มหนึ่งจบ เวลาก็ล่วงเลยสู่ช่วงพลบค่ำแล้ว เซี่ยฝูอันลุกขึ้นยืดเส้นยืดสาย ความเหน็ดเหนื่อยคล้ายถาโถมเข้ามาพร้อมกัน เขาออกจากหอซือหยวน แล้วเดินทอดน่องไปตามทางเดิน ห่างออกไปประมาณหลายจั้ง ดอกไม้งามสะพรั่งดึงดูดความสนใจของเขา
ภายใต้ร่มไม้ทึบๆ คนผู้หนึ่งถูกสีเขียวเข้มของต้นไม้ทอดเงาทาบทับ สายลมเย็นๆ พัดผ่าน หากอยู่ข้างนอกมิอาจมองเห็นด้านใน ทว่าผู้ที่ยืนอยู่ตรงนั้นกลับสามารถมองเห็นทิวทัศน์ในโลกภายนอกได้อย่างทั่วถึง เป็นแนวป้องกันทางธรรมชาติโดยแท้ เซี่ยฝูอันยืนพิงต้นไม้ใหญ่ สูดหายใจลึกๆ อากาศที่ถูกสูดดมเข้าไปมีแต่กลิ่นหอมหวานสดชื่นของดอกไม้และใบหญ้า อารมณ์ของเขาค่อยๆ ผ่อนคลายลง
เขาหลับตาลง คล้ายง่วงซึมเล็กน้อย ปากพลันถูกคนผู้หนึ่งสัมผัสเบาๆ หนึ่งที เขารีบลืมตาทันที
คนผู้นั้นกลับอึ้งงัน เซี่ยฝูอันในยามนี้ เครื่องหน้าทั้งห้ายังคงดูธรรมดาไม่โดดเด่น แต่นัยน์ตาของเขา เมื่ออยู่ภายใต้ร่มเงาสีเขียว กลับดูเปล่งประกายสดใส พาให้เขาดูเจิดจรัสไปทั้งตัว แตกต่างจากยามปกติที่ไม่มีอะไรสะดุดตาแม้แต่น้อย
……………………………