กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 388 ไม่มีทางปล่อยมือ (3)
ซูหลีมองหน้าเขาคล้ายเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง จู่ๆ ฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนจะรู้เรื่องที่ตงฟางเจ๋ออยู่ในแท่นบูชาหลักได้อย่างไรกัน?
“ข้าบอกเจ้าตามตรงก็แล้วกัน เซี่ยฝูอันเป็นคนของเสด็จพ่อ เขาไม่ส่งข่าวคราวให้เสด็จพ่อนานขนาดนั้น เสด็จพ่อย่อมต้องเกิดความสงสัยอยู่แล้ว”
ซูหลีตึงเครียด ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง ครั้นฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนเกิดความสงสัยย่อมต้องตรวจสอบเพิ่มเติมแน่นอน เดิมทีตงฟางเจ๋อแฝงตัวเข้ามาเพราะซูหลี การกระทำทุกอย่างล้วนบ่งบอกถึงเจตนานี้ของเขา ขอเพียงในแท่นบูชาหลักมีคนของฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนอยู่ ก็ไม่ใช่เรื่องยากที่จะคาดเดาความจริง หยางเซียวบอกเรื่องเหล่านี้กับนาง เห็นได้ชัดว่าต้องการย้ำเตือนนางถึงฐานะของตนเอง เพราะถึงอย่างไรลัทธิธิดาเทพก็เป็นคมดาบเล่มหนึ่งของฮ่องเต้แคว้นเปี้ยน ทุกการกระทำของนางไม่มีทางรอดพ้นสายตาของฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนอยู่แล้ว
หยางเซียวสังเกตสีหน้านาง ค้นพบว่าสีหน้าของนางสับสนวุ่นวาย และเย็นชายิ่งกว่าเดิม เขากล่าวอย่างทอดถอนใจ “เฮ้อ เสียแรงที่ข้าจริงใจต่อเจ้า เจ้ากลับสงสัยว่าข้ามีเจตนาอื่นแอบแฝง…อาหลีน้อย เจ้าไม่กลัวว่าข้าจะเสียใจบ้างหรือไร!” แววโศกเศร้าพาดผ่านคิ้วเข้ม เขาแหงนหน้าถอนหายใจ น้ำเสียงแฝงความจนใจหลายส่วน
ซูหลีใจอ่อนเล็กน้อย แต่ปากกลับยังคงกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ท่านปล่อยพวกข้าไป ข้าย่อมเชื่อท่าน”
“นี่เจ้ากำลังทำให้ข้าลำบากใจนะ!” หยางเซียวเบิกตากว้าง “ถึงแม้เสด็จพ่อจะรักข้า แต่พระราชโองการของฮ่องเต้มิอาจขัดขืน ยิ่งไปกว่านั้นตงฟางเจ๋อเป็นกษัตริย์ของแคว้นศัตรู ซ้ำยังเป็นศัตรูที่สังหารน้องสาวข้า ข้าจะปล่อยเขาไปได้เช่นไร?” เอ่ยถึงประโยคสุดท้าย น้ำเสียงของเขาก็แปรเปลี่ยน สายตาเย็นชา คล้ายต้องการมองทะลุผ้าม่านเข้าไปยังคนที่อยู่ในตัวรถ
“ถ้าหากข้าจะส่งตัวเขาออกไปให้ได้เล่า? ท่านจะจับตัวข้ากลับไปพร้อมกันด้วยหรือไม่?”
“เจ้า…” หยางเซียวมองหน้านางด้วยความตกใจ สายตาซับซ้อนสุดแสน เนิ่นนานก็ยังเอ่ยคำใดไม่ออก
ตงฟางเจ๋อทำร้ายนางขนาดนั้น นางกลับยอมถวายชีวิตให้เขา!
“เจ้ารู้ว่าข้าจะไม่มีวันทำร้ายเจ้า” เขากุมเชือกบังเหียนแน่น ใบหน้าเขียวคล้ำ รู้สึกเดือดดาลอย่างไม่อาจควบคุม และยังรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย เขากล่าวด้วยน้ำเสียงปวดใจ “สำหรับเจ้า ข้าเป็นตัวอะไรกันแน่?”
ซูหลีอึ้งงัน แต่กลับไม่พูดอะไร
หยางเซียวแหงนหน้ามองฟ้า ท้องฟ้าอันมืดมิดถูกแสงไฟส่องจนสว่างโร่ แต่ดูแล้วก็ยังคงเป็นผืนฟ้ามืดมิดผืนเดิม เขาเม้มปากแล้วกล่าวว่า “เพื่อช่วยชีวิตเซ่อเจิ้งอ๋องหลีเฟิ่งเซียน เจ้าเอาดาบมาพาดคอข้า…เพื่อเสด็จอาหยางเจิ้น เจ้าก็มายืนขวางหน้าข้าได้อย่างไม่ลังเล ยามนี้เพื่อตงฟางเจ๋อ เจ้าก็…เจ้ารู้ว่าข้าจะไม่มีวันทำร้ายเจ้า แต่ว่าเจ้า ไม่เคยนึกถึงจุดยืนและความรู้สึกของข้าบ้างเลยหรือ?”
ซูหลีไม่เคยเห็นหยางเซียวเป็นอย่างนี้มาก่อน นางอึ้งไปทันที หัวใจเจ็บแปลบเล็กน้อย นางรู้สึกเสียใจอย่างบอกไม่ถูก นางหันหน้าไปอีกทาง ประตูเมืองเบื้องหน้าปิดสนิท ลูกธนูมากมายบนกำแพงเมืองเล็งมายังทางนี้อย่างพร้อมเพรียง ขอเพียงหยางเซียวออกคำสั่ง นาง รวมถึงรถม้าคันนี้ ก็จะกลายสภาพเป็นเหมือนตัวเม่นทันที
เหล่าทหารล้อมรอบบริเวณนี้อย่างแน่นหนา คืนนี้หากต้องการฝ่าวงล้อมออกจากเมือง เกรงว่าคงเป็นไปได้ยาก
ซูหลีหลับตาเล็กน้อย แล้วกล่าวเสียงแผ่วเบา “หยางเซียว ท่านปล่อยเขาไปสักครั้ง ถือว่าข้าติดค้างบุญคุณท่าน ภายหน้าข้าจะต้องชดใช้ให้ท่านอย่างแน่นอน”
“บุญคุณ?” หยางเซียวชำเลืองมองนาง “เจ้าติดบุญคุณข้าเรื่องนี้เพียงเรื่องเดียวหรือ?”
“ข้ารู้ว่าไม่ใช่เพียงเรื่องนี้ ภายหน้าขอเพียงท่านต้องการสิ่งใด หากไม่เกินกำลังของข้า ข้าไม่มีทางบ่ายเบี่ยงอย่างแน่นอน”
“จริงหรือ?” ดวงตาของเขาเปล่งประกายขึ้นมาทันที “ให้เจ้าแต่งงานกับข้าก็ยอมงั้นหรือ?”
ซูหลีชะงักอึ้ง “อะไรนะ…”
“นางไม่มีทางแต่งงานกับท่าน” เสียงทุ้มลึกเสียงหนึ่งพลันดังออกมาจากด้านในตัวรถ ถึงแม้จะแหบพร่าไปบ้าง แต่กลับมิอาจปกปิดราศีอันสูงส่งและน่าเกรงขามไว้ได้
หยางเซียวกระดกคิ้ว รอยยิ้มหยันพาดผ่านดวงตา “ท่านรู้ได้อย่างไร?! แล้วถ้าหากนางยอมแต่งกับข้าเล่า?”
“หัวใจนางเป็นของผู้ใด เชื่อว่าองค์ชายสี่คงรู้แก่ใจ” เสียงนั้นแหบพร่า ทว่ากลับหนักแน่นทรงพลัง
“ท่าน!” ใบหน้าของหยางเซียวตึงเครียด “อย่ามั่นใจมากนักเลย หากใจนางยังมีท่าน นางจะเดินทางข้ามน้ำข้ามภูเขามาไกลถึงแคว้นเปี้ยนเพื่ออะไร?!”
“หยางเซียว!” ใบหน้าของซูหลีพลันเปลี่ยนสี
หยางเซียวรู้ตัวว่าตนเองพลั้งปาก แต่กลับไม่ยอมลดละ “ทำไมเล่า ก็มันเป็นเรื่องจริงทั้งนั้น หรือสิ่งที่ข้าพูดไม่เป็นความจริง?! หากเขามีความสามารถก็พาเจ้าไปได้เลย กลัวก็แต่ว่า แม้เขามีความกล้าที่จะทำเช่นนั้น ก็อาจจะผ่านด่านข้าไปไม่ได้!”
ระหว่างพูดเขาถอยหลังไปหนึ่งก้าว โบกมือกลางอากาศหนึ่งครั้ง เหล่าทหารพลันยกคบเพลิงขึ้นสูง ลูกธนูมากมายเล็งเป้ามาที่รถม้า เจ็ดคนที่อยู่ด้านล่างรถรีบชักดาบออกมาคุ้มกันหน้ารถม้า ดวงตาเจ็ดคู่จ้องเขม็งไปยังเหล่าทหารที่ตั้งท่าพร้อมยิงทุกเมื่อ
“ระหว่างข้ากับท่าน จำต้องทำให้มันถึงขั้นนี้จริงหรือ?” ซูหลีลุกขึ้น เดินมาด้านหน้ารถ แล้วมองเขาด้วยสายตาเย็นชา
หยางเซียวกลับหัวเราะ “อาหลีน้อย หัวใจที่ข้ามีต่อเจ้า ฟ้าดินเป็นพยาน! นี่ข้ากำลังช่วยเจ้าอยู่นะ! นอกเสียจากว่าเจ้าอยากไปกับเขาจริงๆ!”
“ข้าจะไปที่ใด อยากทำอะไร ก็เป็นเรื่องของข้า” ซูหลีกระโดดลงจากรถ เดินมาหาเขาอย่างแช่มช้า “บนโลกใบนี้ ไม่มีผู้ใดบงการข้าได้ เขาทำไม่ได้ ท่านก็เช่นกัน แม้แต่เสด็จพ่อของท่าน ก็ทำไม่ได้เช่นกัน”
หยางเซียวอึ้งงัน “อาหลีน้อย เจ้ากำลังบีบบังคับข้าหรือ?”
“ข้าไม่ได้อยากทำให้ท่านลำบากใจ” สายตาของซูหลียังคงเย็นชา นางจ้องหน้าเขานิ่งๆ “ควรทำเช่นไร คิดว่าใจท่านคงรู้ดี”
“ข้าจะรู้ดีได้เช่นไรกัน?” หยางเซียวแสร้งพูดอย่างเกียจคร้าน “ข้ารู้เพียงว่า มิอาจปล่อยรถม้าคันนี้ออกจากประตูเมืองไปเท่านั้น เจ้าคงไม่ทำให้ข้าลำบากใจกระมัง?”
“องค์ชายสี่” พลันนั้น ตงฟางเจ๋อที่อยู่ในรถม้าพลันเอ่ยปาก “ข้ามีเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่งอยากบอกท่าน หากท่านไม่ฟัง ภายหน้าท่านจะต้องเสียใจแน่นอน”
สายตาของหยางเซียวขรึมลงเล็กน้อย คนที่ตกที่นั่งลำบากยังจะพูดอะไรได้อีก? หากเป็นคนทั่วไป เขาไม่มีทางเสียเวลาฟังแน่นอน แต่ทว่า คนผู้นี้คือตงฟางเจ๋อ บุรุษคนเดียวบนโลกใบนี้ที่เขาไม่กล้าดูเบา เขาหันไปมองซูหลี ใบหน้านางแน่นิ่งไม่แสดงอารมณ์ ไม่พูดอะไร หยางเซียวลังเลครู่หนึ่ง ในที่สุดก็กระโดดขึ้นรถม้า
ม่านรถถูกปิด ทุกคนยังคงไม่กล้าผ่อนคลาย ยังคงจ้องอีกฝ่ายไม่วางตา ซูหลียืนอยู่นอกประตูรถม้า ทว่ากลับไม่ได้ยินเสียงด้านในเลยแม้แต่น้อย เวลายาวนานราวกับผ่านไปแล้วหนึ่งปี ทุกคนหายใจอย่างระมัดระวังถึงเพียงนั้น ด้วยกลัวว่าการเปลี่ยนแปลงแม้เพียงเล็กน้อย ก็จะนำมาซึ่งเหตุการณ์นองเลือด
ครั้นม่านรถถูกเปิดอีกครั้ง ท้องฟ้าก็เริ่มสว่างขึ้นเล็กน้อยแล้ว ใบหน้าหยางเซียวดูเมินเฉยไม่แปรเปลี่ยน แต่สายตาของเขากลับไม่เหมือนเดิมอย่างเห็นได้ชัด เขากระโดดลงจากรถม้า แล้วครุ่นคิดอย่างจริงจังอย่างที่ไม่ค่อยได้เห็นบ่อยนัก ไม่นานก็ถอนหายใจ แล้วกล่าวว่า “อาหลีน้อย สมมติว่าวันหนึ่งคนที่ตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากคือข้า เจ้าจะไม่ทอดทิ้งข้าเหมือนกันใช่หรือไม่?”
ไม่ทอดทิ้ง
คำพูดนี้เสียดแทงหัวใจนาง ซูหลีมองหยางเซียวที่อยู่ตรงหน้า หลังจากใช้ช่วงเวลาเหล่านี้มาด้วยกัน เขาก็ไม่ใช่คนอื่นสำหรับนางอีกต่อไปแล้ว เพื่อนาง เขายอมทำทุกอย่าง ช่วยเหลือนาง ทำให้นางเบิกบานใจ และเพื่อนาง เขายอมลดขีดจำกัดของตนเองครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่ใช่เรื่องที่ใครก็ทำได้ นางเห็นความมั่นคงที่เขาแสดงออกนานแล้ว และตระหนักได้ถึงหัวใจที่ไม่ผันเปลี่ยนของเขาที่มีต่อนาง เพียงแต่ แม้เขาจะดีเลิศเลออีกเพียงใด กลับมิอาจเปิดประตูหัวใจที่ลงกลอนอย่างแน่นหนาของนางได้อีกครั้ง
“ท่านดีต่อข้าเพียงไร ข้ารู้ดี” นางทอดถอนใจ “ข้าจะจดจำใส่ใจไว้ ไม่มีทางลืมเลือน”
หยางเซียวถอนหายใจเบาๆ ความเคืองขุ่นที่คับแน่นอกเมื่อครู่ราวกับได้จางหายไปในพริบตา เขาแหงนหน้า แล้วถอนหายใจเสียงดัง “ก็ได้ ครั้งนี้ข้าจะปล่อยเขาไป เจ้าส่งเขากลับไปเถิด ข้าจะรอเจ้ากลับมาอยู่ตรงนี้” เอ่ยจบก็หันไปกำชับทหารเฝ้าประตู “เปิดประตูเมือง”
……………………….