กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 389 ไม่มีวันปล่อยมือ (4)
คนผู้นั้นตกตะลึง “องค์ชายสี่! ฝ่าบาททรง…”
“หากเสด็จพ่อเอาผิด ข้าจะรับผิดชอบทั้งหมดเอง”
ประตูเมืองอันหนักหน่วงค่อยๆ ถูกเปิดออก หัวใจของซูหลีผ่อนคลายลงในที่สุด ขณะรถม้ากำลังจะเคลื่อนตัวออกไป จู่ๆ หยางเซียวก็คว้ามือนางไว้ เขาจ้องหน้านางแล้วถามเพื่อความแน่ใจ “เจ้าจะกลับมาใช่หรือไม่?”
ซูหลีพยักหน้า “ข้าไม่มีทางทิ้งท่านไว้คนเดียว เช่นที่ท่านบอก ไม่ทอดทิ้ง”
รอยยิ้มผุดพรายในดวงตาหยางเซียว “ได้ ไม่ทอดทิ้ง”
เขาปล่อยมือ ซูหลีมองเขาด้วยสายตาลึกซึ้ง รถม้าทะยานออกจากเมือง มุ่งหน้าสู่ที่ตั้งกองทัพแคว้นเฉิงด้วยความเร็ว
เขายืนอยู่ที่เดิม แน่นิ่งไม่ขยับ จ้องมองแผ่นหลังนางที่ค่อยๆ หายลับไป จู่ๆ เขาก็ตะโกนออกไปอย่างสุดเสียง “อาหลีน้อย ข้าจะรอเจ้ากลับมา!”
ยามบ่ายคล้อยของหลายวันต่อมา ณ ชายแดนแคว้นเปี้ยน
สถานที่ที่ร้างไร้ซึ่งผู้คน ถนนหนทางขรุขระ รถม้าที่พุ่งทะยานมาด้วยความเร็วเกือบจะตกหลุมโคลน ฉินเหิงปาดเหงื่อ มองไปด้านหน้าแล้วตะโกนรายงาน “เจ้าสำนัก ถึงภูเขาเทียนเหมินแล้วขอรับ!”
ซูหลีที่อยู่ในรถไม่ได้รับคำ บุรุษที่อยู่ตรงหน้าดูใจเย็นผิดปกติ ระหว่างการเดินทางติดต่อกันหลายวัน เขาเปลี่ยนเป็นคนเงียบขรึมไม่พูดไม่จา เขาไม่ได้พูดถึงบทสนทนาก่อนจากกันระหว่างเขากับหยางเซียว นางเองก็ไม่ได้ถาม ภายใต้การรักษาอย่างใกล้ชิดของหลินเทียนเจิ้งและเจียงหยวน กอปรกับประสิทธิภาพของยาเทวดา อาการบาดเจ็บของเขาฟื้นตัวขึ้นมาก เขามีกำลังภายในสูงส่ง เพียงต้องพักผ่อนสักช่วงหนึ่ง ก็จะกลับมาเป็นปกติในไม่ช้า เพียงแต่บางครายามที่นางตื่นจากฝันกลางดึก นางมักรู้สึกว่ามีสายตาของเขาอยู่ทุกที่ ราวกับต้องการกอดกุมนางไว้อีกครั้ง
รถม้าสั่นสะเทือน ร่างกายของบุรุษตรงหน้าเสียหลักพุ่งเข้ามาหานาง ซูหลีตกใจ รีบยกมือประคองเขา นึกไม่ถึงว่าเขากลับกอดนางแน่น ก้มหน้ากระซิบข้างหูนางเบาๆ “ซูซู…อย่าจากข้าไปอีกเลย”
“ท่านจะทำอะไร?” ซูหลีซัดฝ่ามือไปที่ไหล่เขาโดยไม่แม้แต่จะหยุดคิด นึกไม่ถึงเขากลับไม่หลบเลี่ยง ฝ่ามือของนางซัดไปที่ไหล่เขาเสียงดัง เขาเสียหลักกระเด็นออกไปนอกตัวรถทันที คนที่อยู่นอกรถม้าต่างพากันตกตะลึง พริบตาเดียวเงาร่างสองสายก็โฉบเข้ามาอย่างรวดเร็ว นึกไม่ถึงซูหลีกลับเร็วกว่า เพียงเสี้ยววินาทีเดียว นางก็คว้าแขนเขา แล้วดึงกลับเข้าไปในตัวรถอีกครั้ง
เขาถลาเข้าไปกอดนางอีกครา มือข้างหนึ่งทาบลงบนใบหน้าด้านข้างของนาง ตวัดเกี่ยวเล็กน้อย เสียงหนึ่งดังขึ้นเบาๆ หน้ากากสีทองอันเย็นเฉียบบนใบหน้านางปลิวออกนอกรถม้า ดังก้องกังวานเหมือนเสียงกระบี่กระแทกพื้น
ซูหลีจ้องหน้าเขาอย่างตกตะลึง ดวงตาของเขามองลึกเข้าไปในนัยน์ตาของนาง ไร้ซึ่งรอยยิ้มย่ามใจหรือเจ้าเล่ห์ มีเพียงความรักอันลึกซึ้งตราตรึง วาจาตำหนิด้วยความโกรธของนาง พลันติดอยู่ในลำคอทันที
เขายกมือลูบไล้ใบหน้านางอย่างแผ่วเบา เป็นนาง ดวงหน้างามล่มเมืองที่อยู่ในความทรงจำ ดวงหน้าที่ทำให้เขาคะนึงหาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน จนเก็บไปฝันทุกค่ำคืน ดวงหน้าที่ทำให้เขาละทิ้งทุกอย่างแม้กระทั่งบ้านเมือง เป็นนาง! ในที่สุดเขาก็ได้เห็นดวงหน้าที่ปรารถนาจะได้เห็นมาโดยตลอดแล้ว หัวใจของตงฟางเจ๋อเต้นเร็วอย่างไม่อาจควบคุม เขาเบิกตากว้างจ้องหน้านาง ราวกับกลัวว่าจะพลาดไปแม้เพียงวินาทีเดียว เหตุใดปานสีแดงอันคุ้นเคยดวงนั้น กลับหายไปเสียแล้ว!
“ซูซู!” นัยน์ตาทั้งสองข้างมีทั้งความสงสัย ความรักอันลึกซึ้ง และอารมณ์อันหลากหลายผสมปนเปกัน “เป็นเจ้าจริงๆ!”
หัวใจของซูหลีกลับเย็นเยียบทันใด “ท่านเห็นชัดแล้วหรือยัง?”
เขาอึ้งไปเล็กน้อย แต่กลับไม่ตอบคำถาม
ซูหลีชี้ไปที่ใบหน้าตนเอง แล้วกล่าวเสียงเย็นชา “เห็นชัดแล้วใช่หรือไม่ ข้าใช่คุณหนูรองผู้ที่ถูกผู้คนหัวเราะเยาะแห่งจวนอัครเสนาบดีหรือไม่? ใช่สตรีอัปมงคลที่ถูกฮ่องเต้แต่งตั้งให้เป็นท่านหญิงหมิงซีในพิธีคัดเลือกพระชายาหรือไม่? ใช่สตรีที่มีชะตาหงส์เคียงบัลลังก์ติดตัวมาแต่กำเนิดหรือไม่?!”
นางเค้นถามระรัว เขาผงะถอยหลังด้วยความตกใจ ทว่านอกจากความสงสัยแล้วเขาก็ไม่ปล่อยให้แววเจ็บปวดและแววเสียดสีในดวงตานางเล็ดลอดสายตาไปได้
“เจ้าคือซูซูของข้า” เขาจ้องนางอย่างลึกซึ้ง “ข้าไม่มีทางจำผิด”
ซูหลีสูดหายใจลึกๆ พยายามควบคุมหัวใจที่กำลังป่วนพล่าน นางเงยหน้ามองเขาอย่างเฉยชา สะบัดมือเขาออก แล้วกล่าวด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “ซูซู! หลีซู? หรือว่าซูหลี?”
เขาสูดหายใจอย่างยากลำบาก “ล้วนใช่…”
“หลีซูกับซูหลีล้วนตายอยู่ในแม่น้ำหลานชางแล้ว ข้า เป็นเพียงวิญญาณเร่ร่อนดวงหนึ่งที่เป็นส่วนเกินของโลกใบนี้เท่านั้น” นางทอดถอนใจเสียงเย็นชา ก่อนจะลุกขึ้นแล้วกระโดดลงจากรถม้า
“ซูซู!” ตงฟางเจ๋อกระโดดตามลงมา รั้งแขนของสตรีที่กำลังสาวเท้าเดินจากไปอย่างรวดเร็ว
“ปล่อยข้า” ซูหลีตวาดเสียงเกรี้ยว
“ไม่ปล่อย!” ใบหน้าเขาซีดขาวเหมือนกระดาษ ปลายนิ้วเย็นเฉียบ ถึงแม้รู้ว่าจะเป็นความหวังลมๆ แล้งๆ เพียงใด แต่เขากลับไม่ยอมปล่อยความอบอุ่นเพียงหนึ่งเดียวของเขาไป
“ไม่ปล่อยแล้วท่านจะทำเช่นไรได้?” นางหันหน้ากลับมาถาม
จะทำเช่นไรได้…
ครั้นเผชิญหน้ากับคำถามอันเย็นชาของนาง เขาอ้าปากค้าง แต่กลับพูดคำใดไม่ออก ชีพจรตรงหน้าอกปั่นป่วน เลือดลมตีขึ้นจนแทบจะควบคุมไม่อยู่
ซูหลีสะบัดมือเขาออกแรงๆ เขาเซถอยหลังไปสามก้าว ในที่สุดก็ทนไม่ไหวกระอักเลือดออกมา เหล่าผู้ติดตามด้านหลังพุ่งตัวเข้ามาประคองเขาด้วยความตกใจ “ฝ่าบาท!”
ตงฟางเจ๋อผลักพวกเขาออก ออกคำสั่งด้วยเสียงอ่อนแรง “ถอยไป”
กลุ่มคนด้านหลังได้แต่ถอยออกไปเงียบๆ ถึงแม้เป็นห่วง แต่กลับไม่อาจขัดคำสั่งเขาได้
ซูหลีตกตะลึง ทว่ากลับหมุนกายแล้วชี้ไปที่ภูเขาเทียนเหมิน “หากข้ามภูเขาลูกนี้ไป ก็จะถึงกองทัพของท่านแล้ว ขออภัยที่ข้าไม่อาจไปส่งได้ไกลกว่านี้”
เขากลับสาวเท้ามาหานางทีละก้าวๆ มองหน้านาง แล้วกล่าวว่า “ข้ารู้ว่าในใจเจ้ามีข้าอยู่ เพราะเหตุใด…”
“เหตุใดท่านต้องบีบบังคับข้าครั้งแล้วครั้งเล่า?” ความเกลียดชังพรั่งพรูจนรู้สึกแน่นหน้าอก นางสูดหายใจลึกๆ หันหน้าถมึงตาจ้องเขา แล้วตั้งคำถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ต้นฤดูใบไม้ผลิอันหนาวเหน็บในปีนั้น ณ ริมแม่น้ำหลานชาง ข้าเคยบอกแล้ว ระหว่างท่านกับข้าตัดขาดต่อกัน อย่าได้พบเจอกันอีกตลอดกาล แต่เหตุใดท่านกลับไม่สนใจความต้องการของข้า รุกล้ำเข้ามาในชีวิตข้าครั้งแล้วครั้งเล่า?”
ตงฟางเจ๋อกล่าวด้วยน้ำเสียงเจ็บปวด “กลับไปกับข้า พวกเราเริ่มต้นกันใหม่…”
“เริ่มต้นใหม่?” สายตาของซูหลีแปรเปลี่ยนเป็นเจ็บปวด อดกล่าวเย้ยหยันไม่ได้ “ตงฟางเจ๋อกลายเป็นคนไร้เดียงสาเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน?”
ฝีเท้าของเขาชะงักงัน ลมหายใจแปรเปลี่ยนเป็นทุกข์ทรมานสุดจะทน
ซูหลีแหงนหน้าขึ้น ไม่อยากเห็นดวงตาอันเจ็บปวดเหมือนเข็มทิ่มแทงของเขา นางแข็งใจกล่าว “ระหว่างข้ากับท่านไม่ใช่เพียงท่านสังหารหยางเสวียน หรือตามหายาแก้พิษยาไร้รักเจอแล้วจะสามารถเริ่มต้นทุกอย่างได้! ข้าคือซูหลี แล้วก็คือหลีซูด้วย ทุกวาจาที่ข้าเคยเอ่ย ณ ริมแม่น้ำหลานชาง ล้วนมาจากใจทั้งสิ้น ข้าเกลียดท่าน! เกลียดที่ท่านวางแผนทำทุกอย่างจนทำให้ข้าต้องตายอย่างไม่เป็นธรรม เกลียดที่ท่านหลอกให้ข้ารักท่านได้อย่างแยบยล ท่านบอกให้ข้าเริ่มต้นใหม่กับท่าน? เป็นเรื่องเพ้อฝันทั้งเพ!”
ครั้นเห็นดวงตาแดงก่ำของนาง เขาก็หัวเราะเย้ยหยันตนเอง “ที่แท้เจ้าก็เกลียดข้าถึงเพียงนี้! วันเวลาที่ผ่านมานี้ ข้าไม่เคยเชื่อว่าเจ้าตายแล้ว ข้าพบเจ้าในความฝันนับครั้งไม่ถ้วน อ้อนวอนสวรรค์ให้ข้าตามหาเจ้าจนเจอ ยามนี้เจ้าอยู่ตรงหน้าข้าแล้ว เหตุใดกลับต้องจากข้าไปไกลยิ่งกว่าเดิม?!”
“ท่านเลิกคิดที่จะให้ข้ากลับไปกับท่านเสียเถิด! ฮ่องเต้แห่งแคว้นเฉิง จำสิ่งที่ท่านเคยกระทำกับข้าไว้ให้ดี ขอให้ท่านกลับไปเลือกหญิงงามเติมเต็มวังหลังให้สมบูรณ์ ทำหน้าที่ฮ่องเต้ของท่านอย่างสุดความสามารถ ต่อไปอย่าได้มารังควานข้าอีก!” เอ่ยจบ นางก็หมุนกายเดินจากไปอย่างไร้เยื่อใย
ใบหน้าของตงฟางเจ๋อซีดเผือด เลือดลมในร่างกายที่พยายามข่มกลั้นไว้ตีขึ้นมาอีกครั้งอย่างไม่อาจควบคุม เขารีบฝืนกลืนลงไป แล้วกล่าวกลั้วเสียงหัวเราะเบาๆ “เลือกหญิงงาม เติมเต็มวังหลังให้สมบูรณ์…หึๆ ดี ดีมาก แต่ว่าซูซู เจ้ารู้หรือไม่ เมื่อรักใครจนสุดหัวใจ ก็จะเกลียดชังคนผู้นั้นสุดหัวใจเช่นกัน เกลียดแค้นฝังลึก กลับเป็นเพราะรักลึกซึ้ง”
………………………….