กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 391 เป็นตายไม่ทอดทิ้งกัน (2)
หยางเซียวยิ้มแห้งพลางกล่าวว่า “เสด็จพ่อ! โทษลูกเถิดพ่ะย่ะค่ะที่ปล่อยให้อาหลีไป ลูกบอกแล้วว่านางจะต้องกลับมาแน่นอน ยามนี้นางอยู่ตรงหน้าแล้ว เหตุใดเสด็จพ่อยังต้องกริ้ว?!”
“คุกเข่า!” ฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนลุกขึ้น ใบหน้าเย็นชาดั่งศิลาอันเย็นเยียบ ใบหน้าเปื้อนยิ้มของหยางเซียวพลันขรึมลงทันใด เขาไม่ได้เห็นเสด็จพ่อเป็นเช่นนี้มานานแล้ว ดูท่า…หากพวกเขาสองคนจะขอการอภัยโทษ คงไม่ใช่เรื่องง่ายแน่นอน เขาทำได้เพียงถอยหลังและคุกเข่าลงกลางตำหนัก
สายตาเย็นชาของฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนเลื่อนจากหยางเซียวไปที่ซูหลี ใบหน้ายังคงไร้อารมณ์เช่นเดิม โยนพู่กันในมือทิ้ง แล้วกล่าวเสียงเย็นชา “เจ้า ไม่เพียงทำให้ข้าผิดหวัง แต่ยังทรยศความเชื่อใจที่ข้ามีต่อเจ้าอีกด้วย! ไหนเจ้าลองบอกมา ว่าตนเองควรได้รับโทษสถานใด?” วาจาของเขาแฝงแววเย็นชาเหี้ยมเกรียม ไม่ได้อ่อนโยนนุ่มนวลดังเช่นที่พบหน้ากันครั้งแรกอีก
ซูหลีเงยหน้า เผชิญหน้ากับสายตาพิโรธของฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนตรงๆ นางเอ่ยเสียงเรียบ “ซูหลีย่อมรู้ตัวดีว่ามีความผิดฐานขัดรับสั่งฝ่าบาท ไม่คู่ควรกับตำแหน่งธิดาเทพ ฝ่าบาทโปรดคัดเลือกผู้เหมาะสมคนใหม่ เพื่อไม่ให้กลายเป็นเรื่องใหญ่ด้วยเพคะ”
สายตาของฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนพลันแปรเปลี่ยน ในฐานะธิดาเทพ การขัดขืนราชโองการอย่างเปิดเผยถือเป็นความผิดใหญ่หลวง ซ้ำนางยังกล้าปล่อยกษัตริย์ของแคว้นศัตรูไปโดยพลการอีก ช่างใจกล้าล้นฟ้ายิ่งนัก! วันนี้นางเข้าวังมา ไม่เพียงไม่คุกเข่าร้องขอการลงโทษก่อน กลับฉวยโอกาสนี้ขอออกจากตำแหน่งธิดาเทพ คล้ายนางไม่เห็นทุกอย่างอยู่ในสายตาอย่างไรอย่างนั้น!
นางนึกว่าจะสามารถยึดเอาสายสัมพันธ์ทางสายเลือดอันน้อยนิดนั้นมาเป็นหลักประกัน แล้วจะทำอะไรก็ได้เช่นนั้นหรือ? แต่ไหนแต่ไรไม่เคยมีผู้ใดกล้าหมางเมินอำนาจของฮ่องเต้เช่นนี้มาก่อน! ฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนบันดาลโทสะ “ทำไมเล่า เจ้าสำเร็จวิชายุทธ์ บรรลุเป้าหมายแล้ว จึงไม่เห็นตำแหน่งธิดาเทพอยู่ในสายตาแล้วอย่างนั้นหรือ?”
“ซูหลีมิกล้า” นางก้มหน้าเล็กน้อย สายตายังคงเรียบเฉยไม่บ่งบอกอารมณ์ “ซูหลีเพียงรู้สึกว่ายากจะแบกรับหน้าที่อันหนักหน่วงเพคะ”
ฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนตบโต๊ะด้วยความโกรธเกรี้ยว “เจ้าอย่าลืม ตอนแรกเจ้าเป็นคนร้องขอตำแหน่งธิดาเทพด้วยตนเอง ข้าไม่ได้เป็นคนบังคับเจ้า! ในอดีตตอนน้องหญิงซีทรยศแล้วหนีไป ก็ยังไม่เคยใจกล้าบ้าบิ่นเช่นเจ้า ภารกิจใดที่ข้ามอบหมายให้ ไม่ว่ายากเย็นเพียงใด นางล้วนทำสุดความสามารถ! เจ้าเป็นธิดาของนาง กลับไม่มีใจภักดีต่อข้าเลยแม้แต่น้อย!”
ครั้นได้ยินเขาเอ่ยถึงเสด็จแม่ หัวใจของซูหลีพลันเจ็บแปลบ ก่อนตายท่านน้าจิ้งหวั่นเคยบอกว่า เพื่อบรรลุภารกิจ เสด็จแม่ทุ่มเทไปไม่รู้ตั้งเท่าใด ผ่านอันตรายมามากมายขนาดไหน เรื่องเหล่านั้นฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนเคยรู้บ้างหรือไม่? บางที เขาคงไม่เคยสนใจเรื่องพวกนี้ ขอเพียงบรรลุเป้าหมาย ถึงแม้เสด็จแม่จะตาย ในสายตาของเขาก็คงเป็นเพียงการตายที่สมเหตุสมผล! ตอนแรกนางเป็นฝ่ายเสนอตัวสืบทอดตำแหน่งธิดาเทพเอง แต่นั่นก็เป็นผลพวงมาจากการที่เขาบอกใบ้และชี้นำซ้ำแล้วซ้ำเล่ามิใช่หรือ?
ฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนกล่าวเสียงเกรี้ยว “ข้ารู้ว่าเจ้ากับตงฟางเจ๋อเคยสัญญาจะอยู่ด้วยกันจนแก่เฒ่า แต่ในเมื่อเจ้าเลือกที่จะเป็นธิดาเทพ และกินยาไร้รักแล้ว เหตุใดยังไม่ยอมตัดใจอีกเล่า? หรือว่าในใจเจ้า ไม่เคยเห็นแคว้นเปี้ยนเป็นบ้าน?!”
ครั้นวาจานี้หลุดออกไป หยางเซียวสะดุ้งตกใจ หมายจะเปิดปากพูดแทนนาง กลับได้ยินซูหลีกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยไม่ลนลาน “ฝ่าบาททรงกล่าวหนักไปแล้วเพคะ ซูหลีปล่อยเขาไป มิใช่เพราะเห็นแก่ความรู้สึกส่วนตนแน่นอน ตงฟางเจ๋อเป็นคนแบบใด ฝ่าบาททรงทราบดี คนผู้นี้ทำเรื่องใดไม่เคยไม่คาดการณ์ล่วงหน้า หากครั้งนี้เกิดเหตุไม่คาดฝันอะไรขึ้นกับเขาในแผ่นดินเปี้ยน กองทัพทหารสามแสนนายของแคว้นเฉิงที่เฝ้าอยู่ตรงชายแดนเทียนเหมิน จะต้องบุกเข้ามาในแคว้นเปี้ยนอีกครั้งอย่างแน่นอน!
แคว้นเฉิงมีกำลังทหารแข็งแกร่ง มิอาจคาดเดาพลังที่แท้จริงได้ ตงฟางเจ๋อเพิ่งขึ้นครองราชย์ มีจิตใจทะเยอทะยาน อีกทั้งยังมีผู้นำทัพเก่งกาจเช่นหยวนเซี่ยงแม่ทัพทหารม้าคนใหม่ และเซ่อเจิ้งอ๋องหลีเฟิ่งเซียน ขุนพลจำนวนมากในราชสำนักล้วนถูกแต่งตั้งโดยตงฟางเจ๋อ พวกเขาจะใช้เหตุผลนี้เป็นข้ออ้างในการทำศึก บุกถล่มแคว้นเปี้ยนให้ราบเป็นหน้ากลอง! นั่นต่างหากคือภัยพิบัติอย่างแท้จริงของแคว้นเปี้ยน!”
ฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนสะท้านไปทั้งใจ ใบหน้าเขียวคล้ำไปกว่าครึ่งดวง วาจาของซูหลีแม้ไม่น่าฟังนัก แต่กลับมีเหตุผลทุกคำ ฮ่องเต้หนุ่มองค์ใหม่ของแคว้นเฉิง มีความคิดลึกล้ำยากหยั่งถึง ใต้หล้าล้วนรู้ดี วันนั้นตงฟางเจ๋อสั่งบุกแคว้นเปี้ยนอย่างกะทันหัน ทหารสามแสนนายบุกเข้ามาอย่างห้าวหาญ หากมิใช่ทหารแคว้นเปี้ยนล้วนกล้าหาญชาญชัยแต่กำเนิด แล้วยังคุ้นเคยต่อภูมิประเทศบ้านเกิดเป็นอย่างดี ฮูเอ่อร์ตูอาศัยข้อได้เปรียบนี้ประวิงสงครามออกไปได้หลายครั้งหลายหน จนทำให้สถานการณ์สงครามของทั้งสองฝ่ายตกอยู่ในภาวะหยุดชะงักแล้วละก็ กลัวก็แต่กองทัพทหารสามแสนนายของแคว้นเฉิงคงโรมรุกบุกตะลุยเข้ามาในเมืองหลวงแคว้นเปี้ยนตั้งนานแล้ว!
ในตำหนักไม่มีลมพัด แต่สวีฉางกลับรู้สึกเสียวสันหวังวาบ พลันนึกถึงสตรีชาญฉลาดปราดเปรื่องเช่นองค์หญิงเจาหวา ผู้ซึ่งวางแผนได้อย่างรอบคอบรัดกุม แต่สุดท้ายก็ยังคงติดกับหลุมพรางของตงฟางเจ๋อ และพบกับจุดจบอันน่าอนาถ
สีหน้าของฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนพลันแปรเปลี่ยน เขากล่าวอย่างเกรี้ยวโกรธ “ก็แค่แคว้นเฉิง ข้าหรือจะกลัว?” เอ่ยจบ เขาก็แค่นเสียงอย่างดูแคลน คล้ายไม่เห็นตงฟางเจ๋ออยู่ในสายตาแม้แต่น้อย
รอยยิ้มบางเบาที่แทบสังเกตไม่เห็นพาดผ่านดวงตาของซูหลี นางกล่าวอย่างแช่มช้า “อาศัยกำลังของแคว้นเปี้ยนทั้งแคว้นต่อกรกับแคว้นเฉิง สำหรับฝ่าบาทอาจไม่ใช่เรื่องยาก แต่ทว่า…หากรวมแคว้นติ้งด้วยเล่าเพคะ?” สายตาเปล่งประกายเฉยชาของนางไร้ซึ่งความหวาดกลัว ราวกับเข้าใจสถานการณ์ในยามนี้อย่างกระจ่างชัด
แคว้นเปี้ยนเคยส่งลัทธิธิดาเทพไปลอบสังหารกษัตริย์แคว้นติ้ง แคว้นติ้งมีหรือจะไม่รู้เรื่องนี้? ความแค้นระหว่างสองแคว้นลึกซึ้งเพียงนี้ สาเหตุที่จนถึงตอนนี้ยังไม่สะสาง ก็เพราะยังไม่มีโอกาสอันดี ก่อนหน้านี้ ยามที่แคว้นเปี้ยนและแคว้นเฉิงทำศึกสงครามกันอย่างดุเดือด เขตชายแดนของแคว้นติ้งได้มีการโยกย้ายทหาร และเพิ่มกำลังทหารรักษาการณ์ ผู้ใดจะรับประกันได้ว่าอีกฝ่ายไม่มีจุดประสงค์แอบแฝง? และเรื่องนี้ ก็เป็นเหตุผลที่ฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนกังวลมากที่สุด จนต้องครุ่นคิดซ้ำแล้วซ้ำเล่าเมื่อครั้งที่แคว้นเฉิงยื่นข้อเสนอให้สงบศึก
วาจาประโยคนี้ ได้ชี้ให้เห็นถึงข้อดีและข้อเสียอย่างชัดเจน
เพลิงโทสะค่อยๆ มอดลง สายตาของฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนแปรเปลี่ยนเป็นลึกล้ำเย็นชา เขาจ้องตาซูหลีเขม็ง ราวกับต้องการมองเข้าไปให้ลึกกว่านั้น ลึกจนถึงกระดูกของนาง
ตอนที่มอบหมายลัทธิธิดาเทพให้นางดูแล ภายในลัทธินั้นแตกแยกไม่เป็นกลุ่มเป็นก้อน สองผู้อาวุโสคิดแต่จะแย่งชิงอำนาจ ไม่มีใครยอมใคร แปดสำนักย่อยปกครองดูแลตนเอง เหมือนดั่งเม็ดทรายที่กระจัดกระจาย เดิมทีนึกว่าต้องใช้เวลาอย่างน้อยสามปีห้าปี กว่านางจะทำให้คนเหล่านั้นยอมสยบอยู่ใต้บัญชาได้ แต่ทุกอย่างกลับเหนือความคาดหมาย เพียงระยะเวลาสั้นๆ ผู้อาวุโสสองคนนั้นคนหนึ่งตายคนหนึ่งหลบหนี คนในแปดสำนักย่อยล้วนยอมสยบอยู่ใต้บัญชาของนาง!
นางเป็นเพียงเด็กสาวอายุสิบเจ็ดสิบแปดปี รุ่นราวคราวเดียวกับหยางเซียว ทว่ากลับมีความสามารถในการอ่านสถานการณ์ สายตากว้างไกล วิธีการทำงานยิ่งเหนือชั้นกว่าที่ตนเองคาดคิดไว้มาก ยามนั้นฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนทั้งดีใจและกังวลปะปนกัน คนเช่นนี้ หากเขาเก็บไว้ใช้ทำงานได้ ภายหน้าจะต้องช่วยเขาทำการใหญ่ให้สำเร็จได้แน่ ทว่า…หากมีใจคิดไม่ซื่อ ก็จะต้องกลายเป็นภัยอันตรายในภายหลังอย่างแน่นอน!
ถึงแม้นางจะมีสายเลือดราชวงศ์เปี้ยน แต่กลับเกิดในแคว้นเฉิง เติบโตในแคว้นเฉิง เซ่อเจิ้งอ๋องหลีเฟิ่งเซียนมีบุญคุณที่ชุบเลี้ยงนางมา ฮ่องเต้แคว้นเฉิงตงฟางเจ๋อก็เป็นอดีตคนรักของนาง ส่วนแคว้นเปี้ยนนั้น นอกจากเซียวอ๋องหยางเจิ้นที่มีสายสัมพันธ์ค่อนข้างใกล้ชิดกับนางแล้ว ก็มีเพียงหยางเซียวคนเดียวที่นางสนิทสนมด้วย แต่สำหรับนางแล้วพวกเขาสำคัญมากน้อยแค่ไหน กลับมิอาจคาดเดา ต้องทำเช่นไรจึงจะสามารถสยบนางและเก็บนางไว้ใช้งานได้
ฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนหรี่ตา ค่อยๆ ลุกขึ้นยืน แล้วเดินอ้อมโต๊ะทรงงาน ก่อนจะหยุดอยู่ห่างจากนางห้าก้าว เขานิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ในที่สุดก็เปิดปาก “ข้ายอมรับ ว่าเจ้าพูดมีเหตุผลอยู่หลายส่วน”
หยางเซียวยืนอยู่ด้านหนึ่ง ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจเสียงดัง เขาจ้องมองสีหน้าฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนไม่วางตา ครั้นได้ยินประโยคนี้ สติที่ตึงเครียดมาตั้งแต่ต้นก็ผ่อนคลายลงเล็กน้อย
“แต่ทว่า เจ้าไม่อาจใช้เรื่องนี้เป็นข้ออ้างในการขัดขืนคำสั่งได้!” ฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนพลันเปลี่ยนเรื่อง เขาตวาดเสียงเกรี้ยว “ในฐานะธิดาเทพ หน้าที่ของเจ้าคือทำภารกิจที่ข้ามอบหมายให้อย่างสุดความสามารถ! แต่เจ้ากลับขัดขืนราชโองการอย่างเปิดเผย ปล่อยศัตรูไปโดยพลการ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด ล้วนไม่อาจให้อภัยได้! ข้าไม่อาจอ่อนข้อให้เจ้าได้! ผู้ใดอยู่ข้างนอก!”
ทหารสองนายรีบเดินเข้ามาในตำหนัก ฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนสะบัดแขนเสื้อ หมุนกายเดินกลับไปนั่งด้านหลังโต๊ะทรงงาน แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “นำตัวไปขังคุก ยามเที่ยงของวันพรุ่งนี้นำตัวไปตัดหัว” ทหารรับคำสั่ง แล้วเดินเข้ามาหมายจะจับตัวซูหลี
………………..