กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 397 บุญคุณความแค้นในอดีต (3)
หยางเจิ้นกล่าวด้วยน้ำเสียงคับแค้น “หยางซู่และหยางเฉียนล้วนเป็นคนที่มีจิตใจอำมหิตและไม่รู้บุญคุณคน หลายปีมานี้ ข้าฝึกฝนวรยุทธ์ศึกษาตำราพิชัยสงคราม เสี่ยงชีวิตออกรบเพื่อแคว้นเปี้ยนนับครั้งไม่ถ้วน ยามนี้เขาเพิ่งจะเจรจาสงบศึกกับแคว้นเฉิง ก็คิดจะยึดอำนาจทางทหารของข้าอย่างไม่รีรอ! ยังมีป้ายทองคำละเว้นโทษตายแผ่นนั้นอีก เขาสงสัยมาโดยตลอดว่าอยู่ในมือข้า แต่หากมิใช่เพราะตามหาอย่างไรก็ไม่เจอ เขาคงหาข้ออ้างกำจัดข้าไปนานแล้ว!”
ซูหลีตกตะลึง มิน่าเล่านางถึงได้รู้สึกว่าเรื่องในวันนั้นมีบางอย่างแปลกๆ ที่แท้ฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนทำอย่างนั้นก็เพราะจะบีบให้เสด็จลุงเอาป้ายทองคำละเว้นโทษตายออกมา เพื่อพิสูจน์การคาดเดาของเขา! คนผู้นี้เจ้าแผนการและยากจะคาดเดาดังคาด เช่นนั้นการที่เขาลงนามในสัญญาเจรจาสงบศึกกับแคว้นเฉิงในครั้งนี้ คงเพราะต้องการฉวยโอกาสนี้ยึดอำนาจทางทหารของเสด็จลุงด้วย ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว!
“อาหลี!” ครั้นเห็นนางนิ่งเงียบไม่พูดไม่จา หยางเจิ้นก็กุมไหล่นาง จ้องหน้านางแล้วกล่าวอย่างจริงจัง “เจ้าจะยอมติดตามน้า ช่วยเรียกร้องความเป็นธรรมให้แก่เสด็จแม่ของเจ้าหรือไม่?”
หัวใจของซูหลีสั่นสะท้าน นางถามด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง “เสด็จน้าคิดจะทำเช่นไรเพคะ?”
หยางเจิ้นกล่าวว่า “ถึงแม้ลัทธิธิดาเทพจะเทียบไม่ได้กับกองทัพของน้า แต่ก็มีความสำคัญกับฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนมาโดยตลอด ในลัทธิมีการคิดค้นปรุงยาวิเศษ ยาพิษแขนงต่างๆ และสร้างอาวุธชั้นยอด ยังมีร้านค้าอีกมากมายหลายสาขา ยามนี้ทุกอย่างนี้ล้วนอยู่ในอำนาจการดูแลของเจ้า ขอเพียงเจ้ามีปณิธานเดียวกับน้า จะต้องกำจัดสองพ่อลูกหยางซู่ได้แน่นอน! หากน้าได้ครองราชย์ จะแต่งตั้งเจ้าเป็นองค์หญิง!” เอ่ยถึงประโยคสุดท้าย ประกายปรารถนาและเพลิงแห่งความทะเยอทะยานก็ปรากฏในดวงตาเขา มันช่างชัดเจนจนบาดตาซูหลี
ขณะจ้องมองดวงตาที่ร้อนรุ่มและเต็มไปด้วยความปรารถนาในอำนาจคู่นั้น หัวใจของซูหลีกลับเงียบสงบลงอย่างน่าประหลาด เสียงหนึ่งในส่วนลึกของหัวใจกำลังเตือนนาง ความจริงใจและความรักของเขาเมื่อครู่ มีสักกี่ส่วนกันที่ออกมาจากใจจริง? หรือว่า…จุดประสงค์ที่แท้จริงที่เขามาในวันนี้ เพียงแค่ต้องการให้นางแสดงจุดยืน โดยการตั้งตนเป็นศัตรูกับฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนร่วมกับเขา?
“เป็นอะไรไป อาหลี? เหตุใดเจ้าจึงมองน้าเช่นนี้?” ครั้นเห็นนางไม่พูดอะไร หยางเจิ้นพลันแย้มยิ้มแล้วลูบหัวนางเบาๆ รอยยิ้มแฝงแววหยั่งเชิงเล็กน้อย “เจ้า…ไม่อยากเป็นองค์หญิงหรือ?”
ซูหลีมองเขานิ่งๆ แล้วเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “อาหลีเพียงอยากรู้ ทุกอย่างที่เสด็จน้าทำ เพราะบุญคุณความแค้นในอดีตจริงๆ หรือว่า…เพื่อให้ได้บัลลังก์มาครอง?”
คล้ายนึกไม่ถึงว่านางจะพูดตรงถึงเพียงนี้ สีหน้าของหยางเจิ้นแปรเปลี่ยนเล็กน้อย ไอเย็นชาพาดผ่านดวงตา “เจ้าไม่เชื่อน้า?”
“อาหลีมิกล้าเพคะ”
ครั้นเห็นใบหน้าเรียบนิ่งดั่งผิวน้ำของนาง ในใจของหยางเจิ้นพลันเคร่งเครียด เขากล่าวเสียงขรึม “ถูกต้องแล้ว น้าต้องการครองบัลลังก์! ถ้าหากสิบแปดปีก่อนข้าเป็นฮ่องเต้ เสด็จแม่ของเจ้าก็คงไม่ต้องอุ้มท้องหนีการไล่ล่าไปไกลถึงพันลี้ และแบกรับความทุกข์ทรมานเช่นนั้น! ยามนี้เจ้าเองก็คงไม่ต้องถูกกักบริเวณอยู่ที่นี่ ไม่ต้องสูญเสียซึ่งอิสระ!” เขากุมไหล่นางแน่น แล้วกล่าวด้วยเสียงเจ็บปวด “อาหลี เสด็จแม่ของเจ้าไม่อยู่แล้ว น้าคือคนที่ใกล้ชิดกับเจ้ามากที่สุด! เจ้าเข้าใจหรือไม่?”
สายตาของซูหลีหม่นหมองลงเล็กน้อย นางกล่าวอย่างปวดใจ “อาหลีเข้าใจเพคะ แต่เสด็จน้า ทุกอย่างในอดีตที่เสด็จแม่ทำ ก็เพราะหวังว่าเสด็จน้าจะปลอดภัยไร้อันตราย ยามนี้เสด็จน้ามีตำแหน่งเป็นขุนนางใหญ่ เรื่องในอดีตผ่านไปแล้วก็ให้มันผ่านไปเถิดเพคะ หากก่อเรื่องใดอีก เกรงว่าจะทำให้ผู้บริสุทธิ์อีกมากมายต้องเดือดร้อนไปด้วย…”
สายตาของหยางเจิ้นแปรเปลี่ยนเป็นคมปลาบ “ผู้บริสุทธิ์? แล้วน้ากับเสด็จแม่ของเจ้ามิใช่ผู้บริสุทธิ์หรือ? สองร้อยกว่าชีวิตในจวนรัชทายาทมิใช่ผู้บริสุทธิ์หรอกหรือ?!”
นางไม่ตอบ ผ่านไปครู่หนึ่ง ก็กล่าวเสียงเบา “เสด็จน้า ดึกมากแล้ว ท่านรีบกลับไปพักผ่อนเถิดเพคะ”
ปฏิกิริยาของซูหลีทำให้หัวใจของหยางเจิ้นเย็นเยียบ เขามองนางครู่หนึ่ง แต่นางกลับยังคงมีใบหน้าที่สงบนิ่งเยือกเย็น ไม่บ่งบอกถึงอารมณ์ใดๆ ทั้งสิ้น เขาปรับสีหน้า ค่อยๆ ปล่อยมือ แล้วกล่าวอย่างทอดถอนใจเสียงเบา “เฮ้อ จู่ๆ ต้องมารับรู้เรื่องราวมากมายขนาดนี้ เจ้าเองก็คงต้องการเวลาใคร่ครวญให้ดี น้าเข้าใจ เอาเถิด เจ้าพักผ่อนเถิด ข้าไปละ”
ครั้นเดินมาส่งเขาด้านนอก มองดูแผ่นหลังของหยางเจิ้นค่อยๆ หายลับไปในท้องฟ้าสีหมึก หัวใจของซูหลีสับสนวุ่นวาย นับตั้งแต่เกิดใหม่ นางเคยเห็นการต่อสู้แย่งชิงอันโหดร้ายมามากมาย การช่วงชิงอำนาจมีแต่จะทำให้นางรู้สึกเหนื่อยล้า นางแหงนหน้ามองฟ้า หรือว่าคนที่เกิดในราชวงศ์ จะถูกลิขิตมาแล้วว่าไม่มีวันได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุข?
ราตรีเงียบสงัด แสงดาวส่องระยิบระยับ กลับไม่มีผู้ใดให้คำตอบนาง
นกพิราบส่งข่าวสีขาวตัวหนึ่งบินแหวกต้นไม้อายุเก่าแก่ที่สูงตระหง่านฟ้า มาเกาะอยู่บนราวทางเดิน ซูหลีเดินเข้าไปหยิบกระบอกจดหมาย เมื่อคลี่กระดาษออกอ่าน สายตาพลันแปรเปลี่ยนไปทันที
ดวงจันทร์ลาลับผืนนภา ดวงตะวันโผล่พ้นขอบฟ้า เวลาหนึ่งวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ท้องฟ้ายามราตรีแผ่ปกคลุมยอดเขาจวี้หลิงอีกครั้ง ลมภูเขาก่อตัว เหมือนมือขนาดใหญ่ที่มองไม่เห็นกำลังลูบไล้ผืนป่าอันรกร้าง เกิดเป็นเสียงสวบสาบไม่ขาดสาย ด้านในสวนเซียนจวี้ ซูหลีถือหนังสือเล่มหนึ่ง เอนหลังอยู่บนเก้าอี้โยก นางพลิกอ่านหนังสืออย่างเหม่อลอย สายลมพัดเข้ามาจากนอกหน้าต่าง หน้าหนังสือกระพือพัดทันใด นางรู้สึกเย็นวาบไปทั้งตัว อดยกมือลูบแขนไม่ได้
หวั่นซินเดินเข้ามา ครั้นเห็นเช่นนั้นก็รีบปิดหน้าต่างให้สนิท ก่อนจะหยิบผ้าคลุมบางๆ มาหุ้มกายนาง แล้วจุดเทียนข้างตั่ง พาให้ภายในห้องสว่างขึ้นทันที
ซูหลีกล่าวอย่างครุ่นคิด “คนพวกนั้นไปแล้วหรือยัง?” คืนก่อนนางได้รับข่าวจากนกพิราบของฉินเหิง วันนี้ทูตจากแคว้นเฉิงจะเดินทางมากราบไหว้พระอาจารย์ฮุ่ยเจวี๋ยที่วัดหวงผู่โดยเฉพาะ
หวั่นซินตอบ “ตั้งแต่เข้าวัดมาก็อยู่ในวิหารหลิงอิน จนถึงตอนนี้ยังไม่กลับเลยเจ้าค่ะ ฉินเหิงได้รับคำสั่งจากคุณหนู ไปตรวจสอบด้วยตนเองแล้ว ยังไม่พบอะไรเจ้าค่ะ ดูท่า ครั้งนี้เขาคงไม่ได้ตามมาด้วย”
ซูหลีถอนหายใจ แล้วเอ่ยว่า “ดาบสั้นในวันนั้นทำร้ายชีพจรหัวใจของเขาจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด ถึงแม้ข้างกายมีหลินเทียนเจิ้งที่มีวิชาแพทย์สูงส่ง ก็จำต้องพักฟื้นสักระยะหนึ่ง ข้าอาจจะคิดมากไปจริงๆ”
หวั่นซินกล่าว “เรื่องเหล่านี้บังเอิญเกินไป ไม่แปลกที่คุณหนูจะกังวล ระหว่างองค์ชายสี่กับฮ่องเต้แคว้นเฉิงมีความแค้นต่อกันเรื่องสังหารน้องสาว หากเขาปลอมตัวแฝงกายเข้ามาในเมืองหลวงแคว้นเปี้ยน แล้วถูกจับได้ ยากจะรับประกันได้ว่าในระหว่างเจรจาสงบศึกจะมีเหตุไม่คาดฝันเกิดขึ้นหรือไม่ แม้เงื่อนไขชดใช้ในสัญญาเจรจาสงบศึกจะยอดเยี่ยมเพียงใด ก็แก้ปัญหาให้แคว้นเปี้ยนได้เพียงชั่วคราวเท่านั้น จะมั่นคงสู้ถอนรากถอนโคนศัตรูให้สิ้นซากได้เสียที่ไหน”
ซูหลีไม่พูดอะไร ตอนแรกนางยืนยันจะส่งตัวตงฟางเจ๋อออกไปให้ได้ หยางเซียวพยายามขัดขวางทุกวิถีทาง นึกไม่ถึงหลังจากตงฟางเจ๋อสนทนากับเขาอย่างลับๆ เขากลับปล่อยตงฟางเจ๋อไป เกรงว่าหยางเซียวจะไม่ได้เห็นแก่นาง ถึงได้กล้าปล่อยตงฟางเจ๋อไปเช่นนั้น ระหว่างพวกเขาสองคนจะต้องมีการแลกเปลี่ยนอะไรซ่อนอยู่อีกแน่นอน เพียงแต่หลังจากเรื่องนั้นฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนพิโรธหนัก นางกับหยางเซียวต่างได้รับโทษ จึงไม่มีโอกาสไถ่ถาม หากครั้งนี้ตงฟางเจ๋อแฝงตัวเข้ามาในแคว้นเปี้ยนอีก เกรงว่าเรื่องราวคงไม่ราบรื่นดังเช่นครั้งก่อนแล้ว
หวั่นซินกล่าวปลอบใจ “ฮ่องเต้แคว้นเฉิงฉลาดปราดเปรื่อง รู้จักแยกแยะสถานการณ์ คุณหนูเพียรพยายามส่งตัวเขาออกจากแคว้นเปี้ยนถึงเพียงนั้น เขาจะต้องเข้าใจความต้องการของคุณหนูแน่นอนเจ้าค่ะ”
ซูหลีปรับสายตาให้เป็นปกติ แล้วกล่าวเสียงเรียบเฉย “ดึกมากแล้ว ข้าเหนื่อย อยากเข้านอนแล้ว เจ้าเองก็รีบไปพักเถิด”
หวั่นซินรู้ใจนาง ทำได้เพียงถอนหายใจเบาๆ แล้วออกจากห้องไป
ซูหลีพลิกอ่านหนังสือต่ออีกครู่หนึ่ง ก็เริ่มรู้สึกว่าดวงตาเหนื่อยล้า นางจึงเป่าเทียนให้ดับ แล้วเตรียมตัวเข้านอน
ในห้องไม่ได้จุดไฟ แสงจันทร์อ่อนๆ นอกหน้าต่างสาดส่องเข้ามา นางนั่งลงหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง ดึงปิ่นปักผมออกอย่างเหม่อลอย ดวงหน้างดงามที่สะท้อนอยู่บนคันฉ่องลายดอกไม้ เรียบเฉยไร้อารมณ์ มีเพียงความอ้างว้างและความโศกเศร้าตรงหัวคิ้วที่สะท้อนให้เห็นถึงเรื่องราวซับซ้อนในใจนาง
นางยกมือสางผมเป็นพักๆ จ้องมองคันฉ่องอย่างเหม่อลอย จู่ๆ ก็นึกถึงวาจาของหวั่นซินเมื่อครู่ เขาเข้าใจความต้องการของนางจริงหรือ? หากเป็นเช่นนั้นจริงๆ เหตุใดยังต้องตามพัวพันไม่เลิก? เรื่องราวในอดีตเหมือนดั่งเหวลึกที่ยากจะก้าวข้ามผ่าน ซึ่งพาดขวางตรงกลางระหว่างพวกเขาทั้งสอง ไม่มีทางหวนกลับไปได้อีกแล้ว
………………………….