กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 403 ยังคงเป็นเขา?! (3)
นัยน์ตาของหยางเซียวเปล่งประกายดั่งหยกล้ำค่า เขาดึงนางให้ลุกขึ้นยืน แล้วกล่าวอย่างเบิกบาน “จะชักช้าไม่ได้แล้ว พวกเรารีบลงจากเขาไปหาเสด็จอากันเถิด!”
จวนเซียวอ๋องตั้งอยู่ทางทิศใต้ของเมืองหลวงแคว้นเปี้ยน
องค์ชายสี่หยางเซียวมาเยือนโดยไม่ได้รับเชิญ จวนเซียวอ๋องพลันชุลมุนวุ่นวายทันที พ่อบ้านหลี่เดินเข้ามาต้อนรับ แล้วกล่าวอย่างนอบน้อม “ถวายบังคมองค์ชายสี่พ่ะย่ะค่ะ”
หยางเซียวมองสำรวจรอบด้าน แล้วเอ่ยถามเสียงขรึม “เสด็จอาอยู่ที่ใด?”
พ่อบ้านหลี่กล่าวอย่างลำบากใจ “ท่านอ๋องกำลังสะสางราชกิจ รับสั่งไม่ให้ผู้ใดเข้าไปรบกวน…”
หยางเซียวเอ่ยเสียงเย็นชาและเด็ดขาด “นำทาง!”
พ่อบ้านหลี่ลังเลครู่หนึ่ง “เอ่อ คือ…เชิญองค์ชายสี่เสด็จไปเสวยพระสุธารสชาที่เรือนรับรองบุปผาก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะรีบไปทูลเซียวอ๋องเดี๋ยวนี้”
“ไม่ต้อง” หยางเซียวกล่าวเสียงเย็นชา “ไปห้องหนังสือเลย!”
พ่อบ้านหลี่จำต้องนำทางอย่างจนใจ เพิ่งจะเดินไปถึงหน้าห้องหนังสือ พ่อบ้านหลี่ก็ตะโกนรายงานเสียงดัง “ท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ องค์ชายสี่เสด็จ…” ยังกล่าวไม่ทันจบประโยค หยางเซียวก็สาวเท้าเดินเข้าไปในห้องหนังสือก่อนแล้ว
หยางเจิ้นที่นั่งอยู่ด้านหลังโต๊ะหนังสือสะดุ้งในใจ เขาค่อยๆ เงยหน้าขึ้น เห็นหยางเซียวยืนอยู่เบื้องหน้า และจ้องเขาด้วยสายตาเย็นชา สตรีที่ยืนอยู่ข้างหลังหยางเซียว กลับเป็นซูหลี! หยางเจิ้นตกใจ แต่สีหน้ายังคงเรียบเฉย สายตาคมปลาบหรี่ลง โบกมือเล็กน้อย พ่อบ้านหลี่ราวกับได้รับการอภัยโทษ รีบถอยออกจากห้องหนังสือทันที
“องค์ชายสี่เสด็จมาเยือนถึงจวน ช่างเป็นเกียรติยิ่งนัก” หยางเจิ้นกระดกคิ้วเล็กน้อย
ครั้นได้ยินน้ำเสียงเสียดสีในวาจา สีหน้าหยางเซียวพลันแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา ยังไม่ทันเปิดปาก หยางเจิ้นก็หันไปพิจารณาสีหน้าซูหลีที่ยืนอยู่ด้านหนึ่ง แล้วถามขึ้น “อาหลี เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้เช่นไร?”
ซูหลีเดินเข้ามาถวายบังคม แล้วตอบเสียงเบา “ฝ่าบาทมีรับสั่งให้หม่อมฉันสืบคดีทูตถูกลอบสังหารร่วมกับองค์ชายสี่เพคะ”
หยางเจิ้นพยักหน้าอย่างครุ่นคิด แล้วจู่ๆ ก็ถามขึ้นอีกว่า “เช่นนั้นพวกเจ้ามาทำอะไรที่นี่?”
หยางเซียวแค่นหัวเราะเย็นชา เขากระแทกป้ายหัวพยัคฆ์ลงบนโต๊ะหนังสือดัง ‘ปัง’ พร้อมกับกล่าวว่า “เสด็จอาจำสิ่งนี้ได้หรือไม่?”
ด้านหลังหัวพยัคฆ์ คำว่า ‘กองทัพรุ่ยเฟิง’ ถูกสลักไว้อย่างชัดเจน
สายตาของหยางเจิ้นแปรเปลี่ยน เขาหยิบป้ายหัวพยัคฆ์ไปพิจารณาอย่างละเอียด แล้วถามด้วยสายตาคมปลาบ “หัวพยัคฆ์คือสัญลักษณ์ที่มีกันเฉพาะทหารในกองทัพรุ่ยเฟิง เหตุใดจึงมาอยู่ในมือเจ้าได้?” สีหน้าของเขาแปรเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม ตั้งคำถามด้วยความสงสัย
หยางเซียวเห็นเขาทำเหมือนไม่รู้เรื่องรู้ราว ก็พลันบันดาลโทสะ ทว่ากลับพยายามข่มกลั้นสุดความสามารถ แล้วกล่าวเสียงแข็ง “เมื่อวานหม่อมฉันเจอมือสังหารที่หลบหนีในวัดหวงผู่ ป้ายหัวพยัคฆ์แผ่นนี้หม่อมฉันค้นเจอจากตัวเขา เพียงแต่คิดอย่างไรหลานก็ไม่เข้าใจ เหตุใดบนตัวมือสังหาร จึงได้เขียนสิ่งที่…เกี่ยวข้องกับเสด็จอาเล่าพ่ะย่ะค่ะ?”
หยางเจิ้นถลึงตาจ้องหยางเซียว แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงดูแคลน “เหมือนว่าเจ้าควรเอาคำถามนี้ไปถามมือสังหารผู้นั้นมากกว่านะ!”
หยางเซียวพลันคลี่ยิ้ม เพียงแต่รอยยิ้มนั้นช่างเย็นชา และคมปลาบดั่งมีดดาบ “มิทราบว่าเสด็จอายังทรงจำได้หรือไม่ หนึ่งปีก่อนเสด็จอาทรงเคยเลือกคนผู้หนึ่งให้โยกย้ายเข้ามาอยู่ในกองทัพรุ่ยเฟิงด้วยตนเอง คนผู้นั้นมีนามว่าจางเจียน!”
“จางเจียน?” หยางเจิ้นขมวดคิ้วกล่าวว่า “เขาเป็นคนของกองทัพรุ่ยเฟิงจริงๆ แต่เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับมือสังหารคนนั้นอย่างไรกัน?”
หยางเซียวกล่าวออกมาทีละคำๆ “มือสังหารก็คือจางเจียน!”
หยางเจิ้นอึ้งไปเล็กน้อยอย่างเห็นได้ชัด จากนั้นก็หันไปมองซูหลี
ซูหลีพยักหน้า “ตัวตนของมือสังหารถูกยืนยันแล้วว่าเป็นจางเจียน เรื่องนี้ไร้ข้อกังขาเพคะ เขาแปลงโฉมแล้วแฝงกายอยู่ในวัดหวงผู่ ฉะนั้นจึงไม่มีใครจำเขาได้”
ใบหน้าของหยางเจิ้นพลันเขียวคล้ำ เขาเอ่ยเสียงลอดไรฟัน “เจ้าจางเจียนคนชั่ว…รู้หรือไม่ว่าผู้ใดเป็นผู้บงการ?”
หยางเซียวแค่นหัวเราะเย็นชา เอ่ยถามอย่างแช่มช้า “เสด็จอาทรงทราบอยู่แล้ว เหตุใดยังต้องถามอีกเล่าพ่ะย่ะค่ะ?”
หยางเจิ้นหน้าเปลี่ยนสีทันที “เจ้าหมายความว่าเช่นไร?”
“เสด็จอาคิดว่าอย่างไรเล่าพ่ะย่ะค่ะ?” หยางเซียวยันแขนทั้งสองข้างบนโต๊ะหนังสือ ค่อยๆ โน้มตัวเข้าไปหาหยางเจิ้น นัยน์ตาแปรเปลี่ยนเป็นคมปลาบ “จางเจียนเป็นทหารตัวเล็กๆ คนหนึ่งในกองทัพรุ่ยเฟิง หากไม่มีผู้ใดบงการ เขาจะอาจหาญลอบฆ่าทูตจากแคว้นเฉิงได้เยี่ยงไร?!”
หยางเจิ้นลุกขึ้นตบโต๊ะเสียงดัง คิ้วเข้มสะท้อนแววโกรธเกรี้ยว แทบสะกดกลั้นเพลิงโทสะไว้ไม่อยู่! นับตั้งแต่ได้รับการแต่งตั้งเป็นอ๋อง เขาก็มีอำนาจทหารอยู่ในมือ แม้แต่ฝ่าบาทยังต้องยำเกรงเขาสามส่วน ไม่เคยมีใครกำเริบเสิบสานต่อหน้าเขาเช่นนี้มาก่อน!
“เจ้าบอกว่าข้าเป็นผู้บงการ มีหลักฐานใดกัน?!”
หยางเซียวชูป้ายหัวพยัคฆ์ขึ้นสูง กล่าวอย่างไม่ยอมอ่อนข้อ “มีทั้งพยานทั้งหลักฐาน ท่านยังคิดจะบ่ายเบี่ยงอีกหรือ?!”
หยางเจิ้นโต้แย้งอย่างเดือดดาล “กองทัพรุ่ยเฟิงมีทหารเป็นหมื่น หัวพยัคฆ์เพียงอันเดียวจะพิสูจน์อันใดได้? จางเจียนอยู่ที่ใด เรียกตัวเขามายืนยันต่อหน้าข้าเดี๋ยวนี้!”
หยางเซียวกล่าวอย่างเคียดแค้น “เขาตายแล้ว” หากมิใช่ว่าพยานตายไปแล้ว วันนี้หยางเจิ้นต้องถูกจับตัวไปสอบสวนอย่างแน่นอน!
“ตายแล้ว?” หยางเจิ้นตกตะลึง คำตอบนี้คล้ายทำให้เขาประหลาดใจ เขารู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากล จึงตวาดถามเสียงเกรี้ยว “ตายได้อย่างไร?”
ซูหลีกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักใจ “หลังทำภารกิจล้มเหลว จางเจียนก็หนีเข้าไปในค่ายกลเจ็ดดาวเหนือ ก่อนจะกินยาพิษฆ่าตัวตายเพคะ”
หยางเจิ้นเดือดดาลจนหัวเราะออกมา กล่าวด้วยน้ำเสียงเสียดสี “องค์ชายสี่สืบคดีไม่ธรรมดาจริงๆ อาศัยเพียงหัวพยัคฆ์อันเดียวกับศพที่พูดไม่ได้ ก็ตั้งข้อสันนิษฐานส่งเดช ใส่ร้ายป้ายสีข้า! สมกับเป็นผู้สืบทอดบัลลังก์ราชวงศ์เปี้ยนจริงๆ!”
น้ำเสียงเสียดสีในวาจาเขาชัดเจนถึงเพียงนี้ หยางเซียวหน้าเปลี่ยนสี ทนไม่ไหวอีกต่อไป ระเบิดความแค้นออกมาทันที “ใช่ฝีมือท่านหรือไม่ ท่านย่อมรู้ดีแก่ใจ! ในราชสำนักผู้ใดไม่รู้บ้าง ว่าท่านโต้เถียงกับเสด็จพ่อด้วยเรื่องเจรจาสงบศึกกี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้ว ครานี้ลงนามสัญญาเจรจาสงบศึกกับแคว้นเฉิง ท่านไม่พอใจ จึงได้ส่งมือสังหารไปลอบฆ่าทูต เพื่อฉวยโอกาสนี้ก่อปัญหาขึ้นมาอีกครั้ง!”
“เหลวไหลทั้งเพ!” หยางเจิ้นตวาดเสียงเกรี้ยว เขาสะบัดแขนเสื้อด้วยความเดือดดาล เครื่องเขียนและฎีกาที่เกี่ยวข้องกับราชกิจบนโต๊ะถูกเขากวาดกระจายทั่วพื้น
ซูหลีเห็นท่าไม่ดี ครั้นเห็นสองอาหลานเผชิญหน้ากันด้วยอารมณ์อันเกรี้ยวกราด บรรยากาศเต็มไปด้วยกลิ่นดินปืนรุนแรงที่ใกล้จะปะทุเต็มที นางอดขมวดคิ้วไม่ได้ ดูท่าทางหยางเซียวแล้ว เห็นชัดว่าเขามั่นใจว่าเสด็จน้าคือผู้บงการเบื้องหลัง แต่ปฏิกิริยาของเสด็จน้า ดูเหมือนจะตกใจมาก คล้ายไม่รู้เรื่องแม้แต่น้อย บางที…หากเป็นอย่างที่นางคิด เรื่องนี้จะต้องมีเงื่อนงำบางอย่างที่พวกนางไม่รู้ซ่อนอยู่แน่นอน แต่หยางเซียวในยามนี้จิตใจเต็มไปด้วยความแค้นในอดีต มีอคติอย่างเห็นได้ชัด ยามทำงานย่อมต้องมีความคิดเห็นที่เอนเอียงอย่างเลี่ยงไม่ได้ หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ไม่เพียงแต่จะไม่เจอเบาะแส สถานการณ์จะยิ่งย่ำแย่ลงไปกว่าเดิม!
ครั้นนึกได้เช่นนี้ ซูหลีก็เดินเข้าไปดึงหยางเซียวออกไปด้านหนึ่ง แล้วกล่าวเสียงเบา “หยางเซียว วันนี้เราเพียงแค่มาถามเรื่องบางอย่างกับเสด็จน้าเท่านั้น หากไม่มีหลักฐานแน่ชัด อย่างไรก็ระวังคำพูดและการกระทำไว้ก่อนดีกว่า”
นางหันหลังให้หยางเจิ้น สีหน้าเยือกเย็นสุขุม สายตากลับลอบส่งสัญญาณเตือนหยางเซียว ห้ามกระทำการวู่วาม
หยางเซียวสะท้านไปทั้งใจ เพลิงแค้นที่สุมอกพลันถูกนางดับมอดในพริบตา เขาย่อมเข้าใจดีว่าหลักฐานที่มีอยู่ในยามนี้ ยากจะพิสูจน์ได้ว่าหยางเจิ้นเป็นผู้บงการเบื้องหลังจริงๆ ฉะนั้นจึงได้แต่ทำหน้าเคร่งเครียด ไม่พูดอะไรอีก
ซูหลีแย้มยิ้มเล็กน้อย “ท่านกลับไปที่กรมอาญาก่อน ลองดูว่าพอจะหาเบาะแสอื่นได้อีกหรือไม่”
หยางเซียวครุ่นคิดครู่หนึ่ง ไม่นานก็แค่นหัวเราะเย็นชา แล้วกล่าวว่า “ได้ เห็นแก่อาหลี ข้าจะให้โอกาสท่านอีกสักครั้ง รอให้ข้าหาหลักฐานได้ก่อนเถิด ท่านไม่มีทางแก้ตัวได้อีกแน่นอน”!
หยางเซียวสาวเท้ายาวๆ เดินจากไป บรรยากาศตึงเครียดในห้องหนังสือค่อยๆ ผ่อนคลายลง สีหน้าเดือดดาลของหยางเจิ้นค่อยๆ สงบลง เขาร้องถามเสียงดัง “อาหลีเองก็เชื่อหรือ ว่าเรื่องนี้เป็นฝีมือน้า?!”
ซูหลีแย้มยิ้มเล็กน้อย “เสด็จน้าเชื่อซูหลีหรือไม่เล่าเพคะ?”
หยางเจิ้นตอบทันที “แน่นอน!”
ซูหลีจ้องหยางเจิ้นด้วยสายตาแน่วแน่ แล้วกล่าวเสียงแผ่วเบา “เช่นนั้นอาหลีใคร่ขอถามเสด็จน้าด้วยความสัตย์จริงเรื่องหนึ่ง จางเจียน เสด็จน้ามิได้เป็นผู้บงการให้เขาไปลอบสังหารทูตจากแคว้นเฉิงจริงหรือเพคะ?”
………………………..