กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 407 ก่อนพายุฝนจะมาเยือน (4)
หยางเซียวเอ่ยเสียงเกรี้ยว “ข้าทำตัวลับๆ ล่อๆ ตั้งแต่เมื่อใดกัน? ความจริงยังไม่กระจ่าง ย่อมมิอาจปล่อยให้หลักฐานรั่วไหลสู่สายตาคนนอก!”
หยางเจิ้นแหงนหน้าหัวเราะเสียงดัง เขาหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง และไม่ไว้หน้าผู้ใด
ฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนพิโรธหนัก สีหน้าเคร่งเครียดถึงขีดสุด ในใจซูหลีพลันตกตะลึง หมายจะก้าวเข้าไปเกลี้ยกล่อม แต่จู่ๆ หยางเจิ้นกลับหยุดหัวเราะ
เขาตวัดมองหยางเซียวกับฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนด้วยสายตาเย็นชา ใบหน้าเกรี้ยวโกรธ กล่าวเสียงลอดไรฟัน “สืบหาความจริง? เกรงว่าจะปิดบังความจริงเสียมากกว่ากระมัง?! ข้าเห็นเต็มสองตา ผู้ใดกล้าสาบานว่าในนั้นไม่มีคำว่าหยางเจิ้นอยู่!”
“เสด็จน้าเพคะ!”
ซูหลีตื่นตะลึง นางไม่เข้าใจว่าเหตุใดหยางเจิ้นที่เป็นคนมีความคิดรอบคอบลึกซึ้งมาโดยตลอด ยามนี้กลับทำตัววู่วามเช่นนี้ ราวกับไม่เกรงกลัวสิ่งใดอีกแล้ว! หากความสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่ายแย่ลงอีก เกรงว่ายังไม่ทันสืบหาความจริง ฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนจะต้องลงมือทำอะไรสักอย่าง และไม่ออมมือดังเช่นครั้งก่อนอย่างแน่นอน
หยางเจิ้นกลับตวัดมองมาที่นาง ในดวงตาคู่นั้นเต็มไปด้วยเปลวเพลิงแห่งความโกรธแค้น เขาจ้องตรงเข้าไปในดวงตานาง พลางตวาดเสียงเกรี้ยว “อาหลี! เจ้ารับผิดชอบสืบคดีร่วมกับเขา จงตอบน้ามา! นั่นใช่หลักฐานที่แสดงความบริสุทธิ์ของน้าหรือไม่?!”
หยางเจิ้นตวาดถามเสียงเกรี้ยว หยางเซียวหน้าเปลี่ยนสี อดไม่ได้ที่จะกำกระดาษหิมะในมือแน่นๆ แล้วหันไปมองซูหลี
ภายในตำหนักฉินเจิ้ง พลันเงียบสงัดไปชั่วขณะ สายตาสามคู่จ้องตรงไปที่ซูหลี นางสูดหายใจลึกๆ แล้วพยักหน้าเงียบๆ
หยางเจิ้นหน้าเปลี่ยนสี หมายจะระเบิดโทสะ แต่กลับได้ยินนางกล่าวด้วยเสียงเคร่งขรึมขึ้นมาก่อน “คดีนี้มีเบาะแสใหม่ แต่พยานได้ตายไปแล้ว ยังจำเป็นต้องสืบต่อไปเพคะ หากเสด็จน้าเชื่อใจซูหลี ได้โปรดวางใจให้ซูหลีจัดการเรื่องนี้ อาหลีรับปากเสด็จน้า จะสืบคดีนี้อย่างละเอียดถี่ถ้วน ไม่ให้เล็ดลอดไปได้แม้แต่น้อยเพคะ!”
หยางเจิ้นพลันหัวเราะเสียงต่ำ สายตาขุ่นแค้นและเจ็บใจของเขาเสียดแทงหัวใจของซูหลีอย่างบอกไม่ถูก ไม่มีใครเข้าใจเขาได้ดีเท่านางแล้ว ในอดีต นางเองก็เคยถูกคนใส่ร้ายและปรักปรำ!
“อาหลี ไม่ใช่น้าไม่เชื่อใจเจ้า เพียงแต่จิตใจคนยากแท้หยั่งถึง! เจ้าซื่อสัตย์จริงใจ แต่ผลตอบแทนที่ได้รับกลับแตกต่างกัน!” หยางเจิ้นชำเลืองมองฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนกับหยางเซียวเล็กน้อย กระดกมุมปากยิ้มเย็นชา แล้วกล่าวว่า “ในเมื่อเป็นหลักฐาน เหตุใดจึงต้องทำลับๆ ล่อๆ? เหตุใดไม่นำมาแสดงอย่างเปิดเผย ให้ทุกคนพิจารณาร่วมกัน และหาตัวคนร้ายตัวจริงให้เจอโดยเร็ว?”
หยางเซียวปั้นหน้าเย็นชาไม่พูดอะไร กระดาษหิมะในมือถูกกำไว้แน่น
“เจ้าไม่กล้าแสดงหลักฐาน เพราะมีเหตุผลอื่นอย่างเห็นได้ชัด!” หยางเจิ้นบีบคั้น ชี้หน้าเขาแล้วกล่าวว่า “นี่เป็นกระดาษหิมะที่แคว้นเฉินนำมาถวายเป็นเครื่องบรรณาการ! ของล้ำค่าถึงเพียงนี้ ในวังหลวงนอกจากฝ่าบาทแล้วก็ไม่มีผู้ใดกล้าใช้อีก!” เขาหันไปมองฮ่องเต้แคว้นเปี้ยน สายตาเย็นชาดั่งน้ำแข็ง เห็นได้ชัดว่าต้องการสื่ออะไรบางอย่าง
หยางเจิ้นมีท่าทางบีบคั้นผู้คน หยางเซียวไม่อาจข่มกลั้นเพลิงโทสะในใจได้อีกต่อไป เขาคำรามเสียงดัง “กระดาษหิมะแล้วอย่างไรเล่า? มันมิอาจใช้ยืนยันอะไรได้ทั้งสิ้น! เป็นเพียงการคาดเดาปากเปล่าของท่านเท่านั้น!”
“คาดเดาปากเปล่า? เจ้าเองก็เหมือนกันไม่ใช่หรือ? วันนั้นเจ้ามีป้ายหัวพยัคฆ์ของกองทัพรุ่ยเฟิงเพียงอย่างเดียว ก็มาร้องโวยวายในจวนเซียวอ๋องของข้า พร้อมกับพูดเรื่องเหลวไหล! กล่าวหาว่าข้าเป็นผู้บงการการลอบสังหารทูตจากแคว้นเฉิง!” หยางเจิ้นไล่บี้อย่างไม่ลดละ สายตาเป็นประกายเจิดจ้าจนน่ากลัว ไม่ยอมถอยแม้เพียงครึ่งก้าว “ยามนี้เบาะแสชี้ไปที่ผู้อื่น เหตุใดท่าทีขององค์ชายสี่จึงเปลี่ยนไปเล่า?”
หยางเซียวนิ่งเงียบ ใบหน้าหล่อเหลาแดงก่ำ ถูกเขาโต้กลับจนพูดไม่ออก
หยางเจิ้นเดือดดาล ราวกับปวดใจยิ่งนัก เขาจ้องหน้าฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนแล้วกล่าวเสียงสั่น “ข้าหยางเจิ้น ออกศึกเพื่อแคว้นเปี้ยนมานานกว่าสิบปี เสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย ไม่เคยท้อถอย จดจำคำสั่งสอนของบรรพบุรุษขึ้นใจเสมอ เตือนตนเองว่าไม่อาจเย่อหยิ่งเพราะมีผลงาน และรับใช้ฝ่าบาทด้วยใจภักดีเสมอ น้องขอถามฝ่าบาทเพียงคำเดียว เพราะเรื่องใดกันแน่ พระองค์ถึงได้ส่งจางเจียนผู้นั้นมาอยู่ข้างกาย และจับตาดูพฤติกรรมของน้อง?” เอ่ยถึงประโยคสุดท้าย น้ำเสียงของเขาแปรเปลี่ยนเป็นเฉียมคม
“หยางเจิ้น ผู้ใดกันแน่ที่ทำเกินไป! อุบายสกปรกเหล่านั้นที่ท่านทำกับข้า ท่านลืมไปหมดแล้วหรือ?” หยางเซียวตวาดเสียงเกรี้ยว
หยางเจิ้นหัวเราะเสียงดัง แล้วเอ่ยด้วยเสียงดูแคลน “หลักฐาน?”
สายตาของฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนเย็นชา นิ่งเงียบมาตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ จางเจียนกลายเป็นคนของหยางเจิ้นตั้งนานแล้ว เขาคัดลอกสำเนาจดหมายทั้งหมดเอาไว้ ก็เพื่อสร้างหลักฐานว่าตนเองถูกให้ร้ายเช่นในวันนี้มิใช่หรือ? ทั้งหมดล้วนเป็นแผนการของเขา แต่เขากลับแสร้งทำเป็นปวดใจเหมือนถูกใส่ร้ายเช่นนี้! ความคิดของคนผู้นี้ลึกล้ำจนมิอาจคาดเดาได้!
ฮ่องเต้แสยะยิ้มเย็นชา กล่าวอย่างแช่มช้า “หยางเจิ้น เจ้าเป็นผู้ใด จึงกล้าตั้งคำถามกับข้า?” ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยไอเหี้ยมเกรียม
สถานการณ์ไม่สู้ดี ซูหลีเริ่มร้อนใจ รีบกล่าวเสียงขรึม “เสด็จน้าเพียงเป็นห่วงเรื่องคดี จึงได้ร้อนรนจนลืมตัว! ฝ่าบาทโปรดระงับโทสะด้วยเพคะ”
ฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนยืนอยู่ด้านหลังโต๊ะทรงงาน ยืนมองลงมาจากที่สูง หยางเจิ้นยืนอยู่กลางตำหนัก แหงนหน้ายืดอก ทั้งสองมองหน้ากันอย่างไม่มีใครยอมใคร
“เสด็จน้า เรื่องราวยังสืบไม่กระจ่าง ต่อหน้าฮ่องเต้มิอาจกล่าววาจาส่งเดชได้นะเพคะ” นางยืนขวางอยู่ด้านหน้าหยางเจิ้น กุมไหล่ทั้งสองข้างของเขา สีหน้าท่าทางเต็มไปด้วยความห่วงใย คล้ายกำลังส่งสัญญาณให้หยางเจิ้นว่ามิอาจกระทำการวู่วามได้เด็ดขาด
“อาหลี เจ้าไม่เข้าใจ! น้าดำรงตนอยู่ในครรลองครองธรรมเสมอมา ไม่เคยถูกป้ายสีเช่นนี้มาก่อน! วันนี้น้องจะต้องร้องขอความเป็นธรรมจากฝ่าบาทให้จงได้!” หยางเจิ้นคล้ายตัดสินใจแน่วแน่แล้ว เขาตะโกนอย่างไม่ยอมแพ้ “หยางเซียว หากเจ้ายังไม่ยอมส่งมอบหลักฐาน อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจเจ้าก็แล้วกัน!”
ซูหลีรู้ว่าเสด็จน้าคิดว่าตนเองมีป้ายทองคำละเว้นโทษตายอยู่ในมือ ฮ่องเต้ไม่กล้าทำอะไรเขาแน่นอน แต่กลับไม่รู้ว่าจิตใจของฮ่องเต้นั้นยากแท้หยั่งถึง แม้เลี่ยงโทษตายได้ แต่โทษเป็นจะเลี่ยงได้เช่นไรเล่า?
เป็นไปดังคาด เสียง ‘ปึง’ ดังสนั่น จานฝนหมึกบนโต๊ะทรงงานถูกฮ่องเต้ที่กำลังพิโรธขว้างกระแทกพื้นอย่างแรง จนแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยทันที
“หยางเจิ้น เจ้าอย่าคิดว่ามีคำสั่งของบรรพบุรุษค้ำหัวอยู่ แล้วข้าจะทำอะไรเจ้าไม่ได้!” ฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนตวาดเสียงเกรี้ยว ตะโกนเสียงดัง “ลบหลู่เบื้องสูง ตามหลักแล้วสมควรถูกประหาร! ทหาร! จับตัวเซียวอ๋องไว้บัดเดี๋ยวนี้!”
ด้านนอกตำหนักฉินเจิ้ง ทหารวิ่งกรูกันเข้ามา แต่ละนายถืออาวุธแหลมคม ตรงเข้าไปล้อมรอบเซียวอ๋องที่กำลังยืนเชิดหน้าอยู่กลางตำหนักเอาไว้
หยางเจิ้นแค่นเสียงเบาๆ แววเหี้ยมเกรียมพาดผ่านดวงตา อดกัดฟันกล่าวเสียงเย็นชาไม่ได้ “ที่แท้ก็เตรียมการไว้แต่แรกแล้ว! ฝ่าบาทจะทรงลงโทษหยางเจิ้นด้วยความผิดที่ไม่มีอยู่จริงเช่นนี้หรือพ่ะย่ะค่ะ?”
สถานการณ์แปรเปลี่ยนเป็นตึงเครียดทันที ราวกับเส้นด้ายที่ถูกขึงจนตึงสุดขีด และพร้อมจะขาดในวินาทีถัดไป!
ซูหลีร้อนใจดั่งไฟสุมอก รีบกล่าวเสียงขรึม “ฝ่าบาทโปรดระงับโทสะด้วยเถิดเพคะ เสด็จน้าประพฤติตนไม่เหมาะสมต่อหน้าพระพักตร์ เป็นเรื่องไม่ถูกต้อง แต่หากทรงทำเช่นนี้ มีแต่จะทำลายความสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่ายนะเพคะ เรื่องนี้ยังมีจุดน่าสงสัยอีกมากมาย…”
นางยังกล่าวไม่ทันจบประโยค ฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนก็ตัดบทด้วยเสียงตวาดอย่างไร้ความปรานี “ไม่ต้องพูดมาก! เจ้าหลีกไปเสีย มิเช่นนั้นอย่าหาว่าข้าไม่เห็นแก่ความเป็นญาติ…” กล่าวถึงขั้นนี้แล้ว สัญญาณเตือนในวาจาชัดเจนแจ่มแจ้ง หากซูหลียังไม่ฟังคำเตือน แล้วขอร้องแทนหยางเจิ้นอีก เขาไม่มีทางปรานีนางอีกแน่นอน!
ซูหลีตื่นตะลึง แววสังหารอันเยือกเย็นในดวงตาของฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนในยามนี้ทำให้นางตื่นกลัว เห็นได้ชัดว่าบังเกิดจิตสังหารแล้ว หรือเขามีจุดประสงค์อื่นแอบแฝง และต้องการฉวยโอกาสนี้กำจัดเสด็จน้า?
ครั้นเห็นนางยืนนิ่งไม่ยอมขยับ หยางเซียวพลันร้อนใจ ขานเรียกนางเสียงดัง “อาหลี!”
“อาหลี!” หยางเจิ้นตะโกนเสียงดัง “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเจ้า ไม่จำเป็นต้องเอาตนเองเข้ามาข้องเกี่ยว! ข้ามั่นใจว่าตนเองไม่ได้กระทำผิด! คนพวกนี้ทำอะไรข้าหยางเจิ้นไม่ได้แน่นอน!” วาจาและน้ำเสียงของเขาเดือดพล่าน ทุกคำหนักแน่นทรงพลัง แต่กลับแฝงไว้ด้วยความหมายเชิงเสียดสีอย่างเผ็ดร้อนเจ็บแสบและความโกรธแค้น
……………………………………