กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 411 พระราชวังเปี้ยนพลิกผัน ผู้ใดเป็นเจ้าแผ่นดิน? (2)
สถานการณ์พลิกผัน เหล่าบุรุษชุดดำกลุ่มแรกที่ยังไม่ทันถอยทัพยืนอยู่ในลานบ้านไม่ขยับเขยื้อน แววประหลาดใจพาดผ่านดวงตา ราวกับไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
หยางเจิ้นเองก็สงสัยเช่นกัน แต่กลับไม่มีเวลาคิดมาก ได้แต่ต้านรับไปพร้อมกับซูหลีอย่างสุดความสามารถ หัวหน้าบุรุษชุดดำกลุ่มหลังวรยุทธ์ไม่ธรรมดาอย่างเห็นได้ชัด การโจมตีของเขารุนแรง ไร้ซึ่งความปรานี แม้แต่ซูหลีที่มีวรยุทธ์แข็งแกร่ง ก็ยังไม่กล้าดูเบา
ยามราตรีมาเยือนอย่างรวดเร็ว แสงไฟตามริมถนนของเมืองหลวงแคว้นเปี้ยนค่อยๆ สว่างขึ้น ทว่าจวนเซียวอ๋องกลับถูกปกคลุมไปด้วยพิรุณแห่งเลือด! เสียงการต่อสู้อันดุเดือดทำให้องครักษ์ในจวนตื่นตัวในที่สุด พวกเขาวิ่งกรูเข้ามาในสวนหลัก คนจากสามฝั่งโรมรันพันตู ยากจะแยกแยะมิตรศัตรู
ท่ามกลางการต่อสู้อันชุลมุนวุ่นวาย ซูหลีพลันได้ยินเสียงขานเรียกอันเล็กแหลมของหยางเหยียนดังมาจากข้างหลัง “พี่สาวอาหลี!”
ซูหลีตกใจ รีบหันกลับไป เห็นหยางเหยียนยืนอยู่นอกประตูสวน ก่อนจะยิ้มร่าแล้ววิ่งเข้ามาหานาง คล้ายไม่รับรู้สถานการณ์รอบด้านแม้แต่น้อย บุรุษชุดดำคนหนึ่งยืนอยู่ห่างจากเขาเพียงไม่กี่ก้าวเท่านั้น! นางตกใจร้องเสียงดัง “เหยียนเอ๋อร์ อย่าเข้ามา!”
แต่ทว่า ยังคงช้าไปหนึ่งก้าว
บุรุษชุดดำคนนั้นสัมผัสได้ว่ามีการเคลื่อนไหวด้านหลัง จึงหมุนกายแทงกระบี่ออกไปโดยสัญชาตญาณ ‘ฉึก’ ปลายกระบี่แหลมคมแทงทะลุลำคอของเด็กน้อยทันที!
หัวใจของซูหลีราวกับหยุดเต้นไปด้วยในเสี้ยววินาทีนั้น นางได้แต่มองดูกระบี่เล่มนั้นถูกดึงออกจากร่างกายของหยางเหยียน เลือดสีแดงสดพุ่งกระฉูดกลางอากาศ ย้อมท้องฟ้าสีดำให้แดงฉานไปทั้งผืน
ร่างกายน้อยๆ มิอาจยืนหยัดต่อไป ล้มลงกับพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรง!
นางกรีดร้องออกมาดั่งใจจะขาด “เหยียนเอ๋อร์!”
“ท่านชายน้อย!” เสียงหวีดร้องด้วยความตกใจดังขึ้นจากทั่วทิศ สะท้อนก้องไปทั่วท้องฟ้า
ดวงตาของหยางเจิ้นแดงก่ำ เขาพุ่งตัวเข้าไปอย่างคลุ้มคลั่ง อุ้มร่างกายเล็กๆ ที่ไร้ซึ่งเรี่ยวแรงทว่ายังคงอบอุ่นขึ้นมา เขาเบิกตากว้าง ราวกับไม่อยากเชื่อ นิ้วมือสั่นเทากุมใบหน้าอวบอิ่มของเด็กน้อย แล้วตะโกนเรียกด้วยความหวาดกลัว “เหยียนเอ๋อร์ เหยียนเอ๋อร์? เจ้าฟื้นสิ อย่าทำให้เสด็จพ่อตกใจเช่นนี้”
เพียงแต่ดวงตากลมโตเปล่งประกายคู่นั้น ไม่มีวันลืมขึ้นมาอีกแล้ว
หยางเจิ้นค่อยๆ เงยหน้าขึ้น บุรุษชุดดำคนนั้นราวกับถูกสายตาอันน่ากลัวของเขาตอกตรึง ได้แต่ยืนนิ่งไม่กล้าขยับ ก้มมองกระบี่ในมือตนเอง แล้วมองไปที่หยางเหยียนที่สิ้นลมอยู่ในอ้อมแขนของหยางเจิ้น ท่าทางเหมือนตกใจจนทำอะไรไม่ถูก!
เขาพลันได้สติกลับคืนมา ผงะถอยหลังอย่างหวาดกลัว หมุนกายออกวิ่งทันที เพียงแต่ยังไม่ทันก้าวขา เขาก็พลันรู้สึกเย็นวาบที่หน้าอก ครั้นก้มหน้า กระบี่แหลมคมเล่มหนึ่งก็แทงทะลุร่างกายเขาแล้ว! เขาอ้าปากค้าง แต่กลับไร้ซึ่งเสียงตะโกน ร่างกายล้มลงไปกองกับพื้นทันที ดวงตายังคงจดจ้องมองใบหน้าโกรธแค้นอาฆาตของซูหลี
เหล่าองครักษ์ในจวนล้วนอึ้งงัน ไม่อาจครองสติไว้ได้
พวกเขาพลาดโอกาสสำคัญไปแล้ว หากจะเอาชีวิตหยางเจิ้นคงเป็นเรื่องยาก หัวหน้าบุรุษชุดดำกลุ่มหลังไม่ลังเลอีก รีบส่งสัญญาณออกคำสั่งให้ถอยทัพทันที
สายตาของซูหลีแปรเปลี่ยนเป็นเย็นเยียบ นึกหรือว่านางจะปล่อยให้พวกเขาหนีไปง่ายๆ? จับโจรให้จับหัวหน้า นางตวัดกระบี่เล่มหนึ่งที่หล่นอยู่บนพื้นขึ้นมา ร่างกายโฉบไหว พริบตาเดียวก็ไปปรากฏตัวอยู่ด้านหลังหัวหน้าบุรุษชุดดำ นางแทงกระบี่ออกไปที่แผ่นหลังเขาโดยตรง
หัวหน้าบุรุษชุดดำสัมผัสได้ว่าข้างหลังผิดปกติ จึงหมุนกายหลบหลีกทันที แต่ก็ยังช้าไปหนึ่งก้าว เสียง ‘เคร้ง’ ดังขึ้น ปลายกระบี่แทงเข้าไปในเอว แต่คล้ายแทงโดนวัตถุแข็งๆ ก้อนหนึ่ง ปลายกระบี่จึงไถลลื่นออกไป
ซูหลียกกระบี่ขึ้นหมายจะแทงอีกครั้ง แต่กลับเห็นถุงคาดเอวที่ฉีกขาด มีแสงสีทองส่องประกาย สายตาของนางพิเศษกว่าคนทั่วไป นางมองเห็นของสิ่งนั้นอย่างชัดเจน แต่กลับอดตะลึงงันไม่ได้ เพียงเสี้ยววินาทีเดียว ปมปริศนาอันสลับซับซ้อนในอดีตแล่นผ่านสมองนางอย่างรวดเร็ว นางเหมือนเข้าใจอะไรบางอย่าง
ฉวยโอกาสยามนางอึ้งงัน หัวหน้าบุรุษชุดดำกระโดดขึ้นไปบนกำแพง และหายตัวไปอย่างรวดเร็ว องครักษ์ด้านในรีบวิ่งตามออกไปทันที ทว่าอีกฝ่ายกลับหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว
ในลานกว้างเงียบสงัด สายลมฤดูใบไม้ผลิกรีดพัดผ่าน ใบไม้สีเหลืองนวลค่อยๆ ร่วงโปรยปรายท่ามกลางอากาศ หยางเหยียนยังคงนอนหลับตาอยู่ในอ้อมแขนเสด็จพ่อของเขา ถ้าหากร่างกายเขาไม่ได้อาบไปด้วยเลือด ก็ดูเหมือนเขาแค่หลับไปเท่านั้น
หยางเจิ้นแน่นิ่งเหมือนท่อนไม้ ไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย
การสูญเสียครอบครัว รสชาติที่เหมือนถูกมีดกรีดหัวใจ นางเคยลิ้มลองมาไม่ใช่เพียงหนึ่งหน! ซูหลียืนอยู่ที่เดิม คล้ายสูญเสียความกล้าที่จะเอ่ยปากพูดอะไร
ความเงียบอันน่ากดดัน บางครั้งน่ากลัวยิ่งกว่าระเบิดโทสะออกมาตรงๆ หลายเท่า
ขอบตาของซูหลีร้อนผ่าว ลำคอกลับเหมือนมีอะไรบางอย่างจุกอยู่ จู่ๆ นางก็อยากร้องไห้ แต่กลับไม่มีน้ำตาไหลออกมาสักหยด นางยืนมองน้องชายที่เด็กกว่าตนเองสิบกว่าขวบ ถึงแม้พวกเขาจะเพิ่งรู้จักกันได้ไม่นาน แต่เขากลับเป็นคนแรกที่ทำให้นางรู้สึกถึงความเป็นครอบครอบที่เกี่ยวข้องกันทางสายเลือด!
ผ่านไปเนิ่นนาน นางค่อยๆ เดินไปหยุดตรงหน้าหยางเจิ้น ครั้นเห็นสีหน้าที่เหมือนหัวใจแตกสลายของเขา นางกลับพูดอะไรไม่ออกสักคำ
ไม่นาน ความมืดก็กลืนกินผืนแผ่นดินทั้งหมด
หยางเจิ้นค่อยๆ ก้มหน้าลง แนบใบหน้ากับแก้มนิ่มนวลที่ค่อยๆ เย็นชืดของโอรสอันเป็นที่รัก แล้วกล่าวทีละคำด้วยน้ำเสียงอันแผ่วเบา “เหยียนเอ๋อร์ เสด็จพ่อจะต้องแก้แค้นให้เจ้าอย่างแน่นอน!”
ซูหลีหลับตาอย่างอ่อนแรง การต่อสู้อันยาวนานที่เป็นเสมือนคลื่นใต้น้ำอันป่วนพล่าน ในที่สุดก็เปิดฉากขึ้นด้วยวิธีการที่โหดร้ายที่สุด! การตายอย่างน่าอนาถของหยางเหยียน เด็กตัวน้อยที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวด้วย ทำให้นางแทบจะเห็นภาพพายุฝนที่กำลังจะมาเยือนได้ทันที
ไม่มีผู้ใด หรือวิธีใดที่จะหยุดยั้งสงครามครั้งนี้ได้อีกแล้ว
หากเจ้าไม่ตาย ข้าก็ต้องตาย!
พระราชวังเปี้ยนในยามค่ำคืน แสงไฟสว่างเจิดจ้า ท่ามกลางตำหนักสูงตระหง่านเรียงราย ห้องบรรทมของฮ่องเต้มีองครักษ์รักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวด เงียบสงบผิดปกติ
ซูหลีเพิ่งจะมาถึงด้านนอกตำหนักชินอัน ก็บังเอิญพบหยางเซียวที่เพิ่งเดินออกมาจากห้องบรรทมของฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนพอดี เขายังคงสวมอาภรณ์สีแดงเพลิง ก้าวเท้ารวดเร็ว ใบหน้าหล่อเหลาแลดูเหนื่อยล้าหลายส่วน
ครั้นเห็นซูหลี เท้าของเขาพลันชะงักเล็กน้อย สายตาเป็นประกาย ก่อนจะรีบก้าวเข้ามากุมมือนาง แล้วกล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “ไม่เห็นหน้าเจ้าตั้งหลายวัน ข้าก็นึกว่า…เจ้าไม่สนใจข้าแล้ว”
“จะเป็นเช่นนั้นไปได้อย่างไร” ซูหลีกล่าวเสียงราบเรียบ
สีหน้าของนางแลดูโศกเศร้าเล็กน้อย หยางเซียวอดถามอย่างเป็นห่วงไม่ได้ “เจ้าอารมณ์ไม่ดี? เกิดเรื่องอะไรขึ้นอย่างนั้นหรือ?”
เขาสัมผัสได้ว่ามือนางสั่นเทาเล็กน้อย ก่อนจะได้ยินนางกล่าวเสียงเบาว่า “คืนนี้มีมือสังหารบุกเข้ามาที่จวนเซียวอ๋อง เหยียนเอ๋อร์…ตายแล้ว”
“อะไรนะ?!” หยางเซียวสั่นสะท้านไปทั้งตัว กล่าวด้วยความประหลาดใจ “เจ้าบอกว่าเหยียนเอ๋อร์…ตายแล้ว? เขายังเป็นแค่เด็กตัวเล็กๆ! ผู้ใดกันจิตใจเหี้ยมโหดอำมหิตฆ่าเขา?”
“พวกเขาไม่ได้ต้องการฆ่าเหยียนเอ๋อร์ แต่ต้องการฆ่าเสด็จน้า” สายตาของซูหลีขรึมลง “ถึงแม้พวกเขาสวมผ้าคลุมปิดบัง ทำให้มองไม่เห็นใบหน้า แต่ข้าเห็นของสิ่งหนึ่งบนตัวมือสังหาร”
หยางเซียวถามด้วยความกังวลเล็กน้อย “อะไรหรือ?”
นัยน์ตาดำขาวแยกชัดของซูหลีจ้องหน้าเขาโดยไม่กะพริบแม้แต่น้อย ก่อนจะกล่าวว่า “ป้ายทองคำห้อยเอวของหัวหน้าองครักษ์อวี่หลินเว่ย”
หัวใจของหยางเซียวหนักอึ้งสุดแสน เขาถามขึ้นโดยสัญชาตญาณ “เจ้ามั่นใจหรือว่าดูไม่ผิด?”
“ถึงแม้ข้าจะไม่ได้ป้ายห้อยเอวแผ่นนั้นมา แต่ยามนั้นข้าอยู่ใกล้เขามาก ไม่มีทางดูผิดอย่างแน่นอน” น้ำเสียงของซูหลีดุดันเล็กน้อย นางกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ทุกคนในราชสำนักล้วนรู้ดี นอกจากฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนแล้ว หน่วยองครักษ์อวี่หลินเว่ยก็ไม่ฟังคำสั่งของผู้ใดอีก
หยางเซียวกำหมัดแน่น พูดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ ความหมายในวาจานางชัดเจนมาก ผู้ต้องสงสัยที่บงการการลอบสังหารหยางเจิ้นก็คือ…เสด็จพ่อ! ฉะนั้นนางจึงได้เข้าวังมา
แววตาปวดใจและตกตะลึงของเขาชัดเจนถึงเพียงนั้น ไม่เหมือนเสแสร้งเลยสักนิด เห็นได้ชัดว่าเขาไม่รู้เรื่องนี้แม้แต่น้อย ครั้นซูหลีเห็นเช่นนั้น ไม่รู้เพราะเหตุใดนางกลับถอนใจหายด้วยความโล่งอก
……………………………