กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 414 พระราชวังเปี้ยนพลิกผัน ผู้ใดเป็นเจ้าแผ่นดิน? (5)
ฉีมู่เอ่อร์ก้าวเท้าออกมาเบื้องหน้า แล้วเอ่ยด้วยเสียงน่าเกรงขาม “ทุกท่านอย่างเพิ่งวู่วาม ข้าคิดว่าเรื่องนี้ยังมีจุดน่าสงสัยอยู่ จำต้องสืบสวนอย่างเข้มงวด”
ขุนพลผู้หนึ่งพลันกล่าวสวนขึ้นมาทันที “คนที่เข้ามาในห้องบรรทม มีเพียงองค์ชายสี่ผู้เดียวเท่านั้นที่ใช้วิชาทวนวัฏจักรเป็น ยังมีจุดน่าสงสัยอันใดอีก? ท่านอัครเสนาบดีต้องการปกป้องเขาเช่นนั้นหรือ?!”
ซูหลีร้อนใจ สถานการณ์ในยามนี้ไม่เป็นผลดีต่อหยางเซียวอย่างเห็นได้ชัด แต่หากจะชี้ตัวคนผิดในเวลานี้ ก็มิใช่เรื่องง่ายเช่นกัน ภายนอกหยางเซียวมีนิสัยขี้เล่น แต่แท้จริงเป็นคนปราดเปรื่อง จึงเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะไม่มีผู้สนับสนุนในราชสำนักเลย นางเงยหน้าเล็กน้อย กวาดตามองเหล่าขุนนาง สังเกตสีหน้าท่าทางของพวกเขาเงียบๆ โดยไม่พูดอะไรสักคำ
ฉีมู่เอ่อร์กล่าว “หลักฐานดังกล่าว เป็นเพียงคำบอกเล่าของนางกำนัลกับขันที และการสันนิษฐานของเซียวอ๋องเท่านั้น เมื่อครู่เซียวอ๋องตรัสเองว่า ฝ่าบาททรงรักองค์ชายสี่มาก พวกเขามีความรักและความผูกพันอันลึกซึ้ง องค์ชายสี่มีเหตุผลใดต้องปลงพระชนม์ฝ่าบาทด้วยเล่า!”
สายตาของหยางเจิ้นแปรเปลี่ยนเป็นคมปลาบดั่งใบมีด เขาจ้องหน้าฉีมู่เอ่อร์ แล้วเค้นถามอย่างไม่ยอมอ่อนข้อ “ท่านอัครเสนาบดีกล่าวเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร? ท่านคิดว่าข้าใส่ร้ายเขางั้นหรือ?”
ใบหน้าของฉีมู่เอ่อร์ไร้ซึ่งความกลัว กลับแย้มยิ้มเล็กน้อย แล้วกล่าวว่า “กระหม่อมมิได้หมายความเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเพียงคิดว่าเรื่องนี้จำต้องสืบสวนอย่างละเอียด ต้องหาหลักฐานและพยานให้ครบ จึงจะสามารถให้คำอธิบายแก่ไพร่ฟ้าได้พ่ะย่ะค่ะ!”
สายตาของหยางเจิ้นพลันเคร่งขรึมลง ทว่าเขากลับยิ้มเย็นชา แล้วเอ่ยว่า “ท่านอัครเสนาบดีกล่าวมีเหตุผล จำต้องสืบสวนอย่างละเอียดจริงๆ” เอ่ยจบ เขาก็เอามือไพล่หลังแล้วหมุนกาย ไม่มองหน้าฉีมู่เอ่อร์อีกแม้แต่น้อย ขณะหมุนกาย เขาชำเลืองมองคนผู้หนึ่ง
คนผู้นั้นราวกับตระหนักได้ รีบก้าวออกมากล่าวว่า “สืบหาความจริงจำต้องใช้เวลานาน ทว่าแคว้นเรามิอาจขาดประมุขได้ ยามนี้ฝ่าบาทเสด็จสวรรคตแล้ว สมควรเลือกผู้สืบราชทอดบัลลังก์คนต่อไปทันที เพื่อเป็นการปลอบขวัญไพร่ฟ้า”
เหล่าขุนนางต่างพยักหน้าอย่างเห็นด้วย คนผู้หนึ่งทอดถอนใจ แล้วเอ่ยว่า “ท่านแม่ทัพหงกล่าวถูกต้อง แต่ทว่า…ฝ่าบาททรงมีพระโอรสเพียงสี่พระองค์ องค์ชายสองพระองค์สิ้นพระชนม์ในสนามรบตั้งแต่เมื่อสามสิบปีก่อนแล้ว อีกพระองค์ก็พระวรกายอ่อนแอ จากโลกไปนานแล้ว ยามนี้มีเพียงองค์ชายสี่เพียงพระองค์เดียว แล้วเช่นนี้…”
แม่ทัพหงกลับแย้มยิ้ม แล้วกล่าวขึ้นว่า “ทุกท่านลืมไปแล้วกระมัง หากกล่าวถึงพระโอรสของฮ่องเต้ ยามนี้นอกจากองค์ชายสี่หยางเซียว ยังมีอีกพระองค์หนึ่ง”
เขากล่าวพลางเดินไปยืนข้างกายหยางเจิ้น ทุกคนตื่นตะลึง ก่อนจะได้ยินเขากล่าวเสียงดังต่อว่า “พระบิดาของเซียวอ๋องเป็นองค์รัชทายาทแห่งองค์ปฐมฮ่องเต้ เพียงแต่น่าเสียดายที่รัชทายาทพระองค์นั้นสิ้นพระชนม์ตั้งแต่ยังหนุ่ม องค์ปฐมฮ่องเต้เสียพระทัยยิ่งนัก ไม่นานก็ตรอมพระทัยและเสด็จสวรรคต หลังจากฮ่องเต้เต๋อเจินขึ้นครองราชย์ เพื่อปลอบขวัญพระวิญญาณขององค์ปฐมฮ่องเต้ที่อยู่ในปรโลก เคยมีรับสั่งให้มีราชโองการแต่งตั้งให้รัชทายาทพระองค์นั้นเป็นฮ่องเต้เหรินเจินย้อนหลัง เช่นนี้ เซียวอ๋องก็ถือเป็นพระโอรสของฮ่องเต้ และมีคุณสมบัติสืบทอดราชบัลลังก์ได้เช่นกัน!”
“คำพูดของแม่ทัพหงไม่นับว่าถูกต้องนัก” ขุนนางพลเรือนผู้หนึ่งที่ยืนอยู่ด้านหลังอัครเสนาบดีเสนอความคิดเห็นที่ต่างออกไป “เซียวอ๋องทรงเป็นพระโอรสของฮ่องเต้ก็จริง แต่มิใช่พระโอรสของฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน!”
“แล้วอย่างไรเล่า? ผู้ใดเป็นคนกำหนดว่าผู้สืบทอดราชบัลลังก์จำต้องเป็นพระโอรสของฮ่องเต้พระองค์นี้? เซียวอ๋องทรงขี่ม้าทำศึกมากว่าครึ่งค่อนชีวิต สร้างผลงานด้านการรบเพื่อแคว้นเปี้ยนเรามานับไม่ถ้วน พระองค์มิเพียงองอาจยามอยู่ในสนามรบ แต่ยังชาญฉลาดและชำนาญการวางกลยุทธ์อีกด้วย หากให้เซียวอ๋องขึ้นครองราชย์ ภายภาคหน้า แคว้นเปี้ยนของเราจะต้องชนะแคว้นเฉิงและแคว้นติ้ง กลายเป็นแคว้นอันดับหนึ่งได้อย่างแน่นอน!”
สายตาของหยางเจิ้นไหวระริกเล็กน้อย เผยอกลีบปากเผยรอยยิ้มได้ใจ ทว่ากลับกล่าวอย่างถ่อมตน “การรักษาความสงบสุขของแผ่นดินล้วนเป็นหน้าที่ของไพร่ฟ้าปวงชนทุกผู้ ในฐานะคนของตระกูลหยาง ภาระอันยิ่งใหญ่ที่แบกไว้บนบ่ายิ่งหนักหนากว่าผู้ใด ข้าย่อมต้องพัฒนาแคว้นเปี้ยนของเราให้เจริญรุ่งเรือง ด้วยความสามารถทั้งหมดที่มี!”
ซูหลีลอบตึงเครียด ความทะเยอทะยานของเสด็จน้า คล้ายสูงกว่าที่นางคิดไว้มาก! กระทั่งสูงกว่าฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนที่เพิ่งสวรรคตไปเสียด้วยซ้ำ! ด้วยชื่อเสียงด้านการทำศึกของเขา หากขึ้นครองราชย์จริงๆ เกรงว่าภายหน้าแผ่นดินคงไม่มีสักวันที่จะสงบสุข! ส่วนหยางเซียว ด้วยความผิดฐานลอบปลงพระชนม์พระบิดาของตนเอง อย่างไรก็ต้องมีจุดจบที่เลวร้ายอย่างแน่นอน!
ยามนี้หากต้องการทำให้หยางเซียวพ้นผิด จำต้องหาหลักฐานให้ได้ก่อน คนร้ายลงมืออย่างกระชั้นชิด บางทีอาจทิ้งเบาะแสบางอย่างเอาไว้ ซูหลีใคร่ครวญ พลางเดินมายืนข้างเตียงมังกร เห็นเพียงฝั่งด้านในของเตียงมีหมอนผ้าไหมวางอยู่หนึ่งใบ หมอนนุ่มใบนี้มีลักษณะเรียวยาว หัวใจนางพลันสะดุด หรือฮ่องเต้ถูกปิดใบหน้าด้วยสิ่งนี้จนขาดอากาศหายใจตาย?
นางหยิบหมอนใบนั้นขึ้นมา แล้วตรวจสอบดูอย่างละเอียดซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไม่ยอมให้รายละเอียดใดเล็ดลอดไปได้แม้แต่น้อย ขณะที่สายตามคมปลาบของนางเลื่อนผ่านขอบหมอนด้านหลังที่ดูไม่สะดุดตาแม้แต่น้อย สายตาของนางก็พลันสะดุดกึก
หัวใจของนางเต้นรัว นางค่อยๆ เลื่อนสายตามองไปยังมือที่ทิ้งข้างลำตัวของขันทีสองคนที่ยืนอยู่ข้างนางกำนัลหรูอวิ๋น
ยามนี้ ครั้นฉีมู่เอ่อร์เห็นเหล่าขุนนางยังคงถกเถียงกันเรื่องที่จะให้ใครเป็นผู้สืบทอดราชบัลลังก์ ก็อดเดือดดาลไม่ได้ เขาตะโกนเสียงดัง “ทุกท่านโปรดเงียบ กรุณาฟังข้าพูดสักคำ!”
เสียงเอะอะด้านนอกตำหนักพลันเงียบสนิท ฉีมู่เอ่อร์กล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “ทุกท่านอาจไม่ทราบ เรื่องผู้สืบทอดบัลลังก์นั้น ฝ่าบาทได้ทรงตัดสินพระทัยไปนานแล้ว! ฮ่องเต้ได้เรียกตัวข้ากับใต้เท้าหยางเซิง และใต้เท้าจ้าวหลู่เข้าวังอย่างลับๆ และเขียนพระราชโองการสละราชบัลลังก์ด้วยพระองค์เอง พระราชโองการถูกเก็บไว้ด้านหลังป้ายแขวนประตูของตำหนักฉินเจิ้ง เพียงนำมาดู ก็จะรู้เองว่าฝ่าบาททรงประสงค์ให้ผู้ใดสืบทอดราชบัลลังก์”
ขุนนางสองคนที่ยืนอยู่ด้านหลังเขาก้าวออกมารับคำทันที ด้านซ้ายคือ ‘หยางเซิง’ เสนาบดีกรมข้าราชการพลเรือน รับผิดชอบการแต่งตั้งและปลดขุนนางทั่วทั้งแคว้น ผู้นำของหกกระทรวง ด้านขวาคือ ‘จ้าวหลู่’ ผู้บัญชาการทหารองครักษ์วังหลวง สามคนนี้คือขุนนางที่ฮ่องเต้ไว้วางใจมากที่สุดยามยังมีชีวิตอยู่ พวกเขามีอำนาจบารมีสูงส่ง และทรงอิทธิพลมากในราชสำนัก ครั้นพวกเขาก้าวออกมา ทุกคนต่างตะลึงงัน
หยางเซิงกล่าวเสียงดังกังวาน “ท่านอัครเสนาบดีฉีกล่าวถูกต้องแล้ว ฝ่าบาททรงเขียนราชโองการสละราชบัลลังก์แล้วจริงๆ สวีกงกงเป็นผู้ปิดผนึกพระราชโองการต่อหน้าพระพักตร์ หากต้องการเปิดพระราชโองการจำต้องใช้กุญแจสามดอกที่สั่งทำพิเศษ โดยกุญแจสามดอกนั้นพวกข้าสามคนแบ่งกันเก็บรักษาเอาไว้กับตนเอง ฝ่าบาททรงทิ้งคำสั่งเสียเอาไว้ หากอนาคตเกิดเรื่องใดขึ้น พวกข้าสามคนสามารถใช้กุญแจสามดอกนี้เปิดกล่องไม้ เพื่อประกาศพระราชโองการต่อหน้าธารกำนัลได้” เอ่ยจบ เขาก็ล้วงกุญแจดอกเล็กกระจิริดออกมาจากอกเสื้อ รูปร่างลักษณะพิเศษ ต่างจากกุญแจทั่วไป
ไม่นาน จ้าวหลู่กับฉีมู่เอ่อร์ก็ล้วงกุญแจของตนเองออกมาด้วยเช่นกัน
ฉีมู่เอ่อร์หันไปหาสวีฉาง แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “สวีกงกง ไปหยิบพระราชโองการมา”
“ขอรับ!” สวีฉางรับคำแล้วออกไปทันที ผ่านไปไม่นาน กล่องไม้สี่เหลี่ยมยาวๆ กล่องหนึ่งก็ถูกนำมาวางอยู่ต่อหน้าทุกคน และบนกล่องไม้ใบนั้นก็มีรูกุญแจอยู่สามรูพอดี
ขุนพลหลายคนต่างมองหน้ากัน ที่แท้ก็มีพระราชโองการอยู่จริงๆ! สีหน้าของพวกเขาพลันแปรเปลี่ยนเป็นบึ้งตึง พากันหันไปมองหยางเจิ้น
ยามนี้ สายตาของหยางเจิ้นแปรเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียด ทว่าใบหน้ากลับยังคงเรียบนิ่ง เขาชำเลืองมองกล่องไม้กล่องนั้นเล็กน้อย แล้วกล่าวด้วยความสงสัย “ในเมื่อมีพระราชโองการสละราชบัลลังก์ เหตุใดใต้เท้าทั้งสามท่านจึงไม่บอกแต่แรก?”
แม่ทัพหงผู้นั้นแค่นเสียงเย็นชาทันที “เหอะ! ใครจะไปรู้ว่าพระราชโองการที่อยู่ในนี้เป็นของจริงหรือไม่!” เขากล่าวด้วยความมั่นใจ น้ำเสียงดังกังวานจนก้องอยู่ในหู
ฉีมู่เอ่อร์ชำเลืองมองเขาเล็กน้อย แม้ไม่พอใจนัก แต่กลับไม่ถือสาหาความ เพียงกล่าวเสียงเข้มว่า “เป็นของจริงหรือไม่ อีกประเดี๋ยวพอนำออกมา ทุกท่านก็จะรู้เอง!”
กุญแจทั้งสามดอกถูกนำมาเสียบเข้าไปในรูตามลำดับ ไม่นานเสียง ‘กริ๊ก’ ก็ดังขึ้น ผนึกถูกเปิดแล้ว ทุกคนอดไม่ได้ที่จะตึงเครียด ทำได้เพียงรอกล่องไม้กล่องนั้นเปิดออก
ซูหลีลอบประหลาดใจ ยามนี้คนที่สมควรกังวลมากที่สุดคือเสด็จน้า ถึงแม้เขาจะจ้องกล่องไม้ใบนั้นอย่างไม่ยอมละสายตา แต่สายตากลับไร้ซึ่งวี่แววกังวลใจ ราวกับกำลังรอคอยบางสิ่งเงียบๆ นางพลันไม่สบายใจขึ้นมาทันที
ฉีมู่เอ่อร์ตั้งสติ ก่อนจะก้าวเข้าไปเปิดกล่องไม้ ภายในตำหนักเงียบสงัดไร้เสียง สายตาหลายสิบคู่จับจ้องฝากล่องที่ถูกเปิดออกอย่างช้าๆ
เพียงแต่วินาทีต่อมา ฉีมู่เอ่อร์อึ้งงันไปทันที ราวกับถูกสะกดจุดลมปราณอย่างไรอย่างนั้น
……………………