กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 420 พระราชวังเปี้ยนพลิกผัน ผู้ใดเป็นเจ้าแผ่นดิน? (11)
“อาหลี! ข้ารู้ว่าเจ้าไม่อยากเห็นพวกข้าเข่นฆ่ากันเอง แต่เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ข้ากับเขา มิอาจอยู่ร่วมโลกกันได้อีกต่อไป!” หยางเซียวกล่าวอย่างหนักแน่น สายตาเด็ดเดี่ยวไม่มีที่เปรียบ
ซูหลีอยากพูดอะไรอีก แต่ในขณะนั้นเอง มีเสียงตะโกนดังมาจากทางประตูวัง “หยางเจิ้นหนีไปทางประตูจูเชวี่ยแล้ว!”
บนถนนใหญ่ที่มุ่งหน้าออกจากตัวเมือง ปรากฏเงาร่างของหยางเจิ้นที่ควบม้าด้วยความเร็วรางๆ จากนั้นก็หายไปอย่างรวดเร็ว หน่วยองครักษ์อวี่หลินเว่ยติดตามหยางเซียว ไล่ล่าตามไปอย่างไม่ลดละ พวกเขามุ่งหน้าไปยังวัดหวงผู่
ท้องฟ้าค่อยๆ สว่าง วัดหวงผู่ภายใต้แสงยามรุ่งอรุณราวกับถูกแสงสีแดงจางๆ อาบไล้ไปทั่ว เบื้องหน้าไร้หนทาง เห็นเพียงด้านนอกกำแพงสูงตระหง่านมีม้าตัวหนึ่งอยู่ตรงนั้น หยางเจิ้นกลับหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย!
“ทุกคนจงฟัง!” สายตาของหยางเซียวแปรเปลี่ยนเป็นคมปลาบดั่งสายฟ้า เขาออกคำสั่งเสียงดัง “ค้นหาให้ทั่ว ห้ามปล่อยให้คลาดสายตาไปแม้แต่ซอกมุมเดียว! แม้ต้องขุดแผ่นดินวัดหวงผู่ ก็ต้องจับเป็นกบฏหยางเจิ้นมาให้ได้!”
“พ่ะย่ะค่ะ!”
องครักษ์หน่วยอวี่หลินเว่ยหลายร้อยนายรับคำก่อนจะแยกย้ายกันไป ล้อมรอบกำแพงวัดไว้อย่างแน่นหนา หยางเซียวพาคนกลุ่มหนึ่งมุ่งหน้าเข้าไปในวัด ค้นหาวิหารและกุฏิทุกหลังอย่างละเอียด
ซูหลียืนอยู่ด้านหน้าพระอุโบสถ มองดูเหล่าทหารที่วิ่งผ่านไปผ่านมา ความสงสัยพลันบังเกิด ในช่วงเวลาแห่งความเป็นความตาย หยางเจิ้นต้องการหนีเอาชีวิตรอด แต่เหตุใดไม่หนีออกไปนอกเมือง กลับมุ่งหน้ามายังวัดหวงผู่แห่งนี้? ถึงแม้ที่แห่งนี้มีป่าขนาดใหญ่ที่สามารถกลบร่องรอยได้ แต่ด้วยรูปแบบการค้นหาเช่นนี้ เขาไม่มีทางซ่อนตัวได้นาน ช้าเร็วอย่างไรก็ต้องถูกจับ
“ในเมื่อเขาเลือกมาที่นี่ ก็แสดงว่าคงหาทางหนีทีไล่ไว้แล้ว ขอเพียงค้นหาอย่างละเอียด จะต้องพบเบาะแสแน่นอน”
ซูหลีชะงักงันเล็กน้อย เมื่อหันกลับไปมอง สิ่งที่ปรากฏในครรลองสายตาเป็นใบหน้าเปื้อนยิ้มของตงฟางเจ๋อดังคาด ฟังจากน้ำเสียงของเขา เหมือนมั่นใจมาก ราวกับว่าทุกการกระทำของหยางเจิ้นอยู่ในการคาดเดาของเขาทั้งหมด ซูหลีสะดุดใจ อดนึกถึงคำพูดบ่ายเบี่ยงของจางฝู่ตอนอยู่ในตำหนักฉินเจิ้งไม่ได้ นางถามด้วยความสงสัย “พระราชโองการฉบับนั้นมันอะไรกัน?”
ตงฟางเจ๋อกล่าวว่า “หยางเจิ้นมีใจคิดแย่งชิงบัลลังก์ ย่อมต้องเพ่งเล็งพระราชโองการอยู่แล้ว ข้าสั่งคนให้คอยจับตาดูอยู่ตลอดเวลา ไม่กี่วันก่อนพบว่ามีเรื่องผิดปกติเกิดขึ้นดังคาด เขาจ้างกระเรียนเมฆาให้เข้าไปขโมยพระราชโองการในวัง หลังจากกระเรียนเมฆาทำสำเร็จ เขาก็ไปเจรจากับคนของหยางเจิ้น ระหว่างทางถูกคนของข้าขัดขวาง พระราชโองการถูกทำลายขณะต่อสู้”
ถูกทำลายไปแล้ว? ซูหลีตกตะลึง เช่นนั้นพระราชโองการที่อยู่ในตำหนักฉินเจิ้งมาจากที่ใดกัน? จู่ๆ ความคิดหนึ่งก็แล่นผ่านสมองนาง “พระราชโองการที่ถูกทำลายเป็นของปลอม?”
“ถูกต้องแล้ว”
ซูหลีลอบทอดถอนใจ ทำลายพระราชโองการฉบับปลอมต่อหน้ากระเรียนเมฆา หลังจากหนีไปได้ กระเรียนเมฆาก็รายงานหยางเจิ้นไปตามสถานการณ์จริง หยางเจิ้นย่อมต้องคิดว่าพระราชโองการถูกทำลายแล้ว จึงไม่พะวงอันใดอีก และฉวยโอกาสนี้ทำให้หยางเซียวตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก แต่หารู้ไม่ว่าตั๊กแตนจ้องจับจั๊กจั่น นกขมิ้นอยู่ด้านหลัง พระราชโองการฉบับจริงยังอยู่ในมือตงฟางเจ๋อ!
ตงฟางเจ๋อถามว่า “เมื่อคืนเจ้าเข้าวัง เพื่อจะถามฮ่องเต้เรื่องมือสังหารชุดดำที่บุกจวนอ๋องหรือ?”
ครั้นนึกถึงเรื่องนี้ หัวใจของซูหลีก็หนักอึ้งทันที นางกล่าวเสียงขรึม “เมื่อคืนเหตุการณ์ในจวนอ๋องโกลาหลวุ่นวาย ข้าค้นพบว่าในกลุ่มมือสังหารมีคนไม่รู้จักกัน จึงรู้สึกประหลาดใจ หลังจากนั้น ข้าก็เห็นป้ายทองประจำตัวหัวหน้าองครักษ์หน่วยอวี่หลินเว่ยบนตัวผู้นำมือสังหารกลุ่มที่มาทีหลัง”
ตงฟางเจ๋อแสยะยิ้มเย็นชา กล่าวว่า “ฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนมีจิตคิดสังหารคนจริงๆ จึงได้สั่งให้อวี่หลินเว่ยเคลื่อนไหว แต่คนที่ถูกส่งตัวไปกลับไม่รู้จักกัน…หรือว่า มีมือสังหารสองกลุ่ม?”
ใบหน้าของซูหลีแปรเปลี่ยนเป็นขมขื่น สายตาทอดมองออกไปไกล ดวงอาทิตย์ยามรุ่งอรุณโผล่พ้นยอดเขาจวี้หลิง ทอประกายรัศมีไปทั่วทิศ นางยิ้มหยันตนเอง “ถูกต้องแล้ว มือสังหารกลุ่มแรก เป็นเสด็จน้าส่งมาเล่นละครตบตา เขาจงใจทำให้ข้าเห็น ส่วนกลุ่มที่สอง ก็คือหน่วยอวี่หลินเว่ยของฮ่องเต้แคว้นเปี้ยน” ตอนแรกนางก็ยังไม่มั่นใจ แต่เมื่อครู่ตอนที่เห็นไฉฟางองครักษ์ประจำกายของหยางเจิ้น ท่าทางตื่นตระหนกเพียงเสี้ยววินาทีของอีกฝ่าย ได้ยืนยันการคาดเดาของนางเรียบร้อยแล้ว
นางหยุดพูดไปเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครืออย่างห้ามไม่ได้ “เขารีบดึงข้าไปเป็นพวกเพื่อหลอกใช้ข้าให้เป็นปฏิปักษ์กับฮ่องเต้แคว้นเปี้ยน แต่กลับไม่มีทางคาดคิดว่าความผิดพลาดที่เกิดจากความคิดชั่วแล่นจะต้องชดใช้ด้วยชีวิตน้อยๆ ของเหยียนเอ๋อร์! เหยียนเอ๋อร์เพิ่งอายุแค่สามขวบเท่านั้น…เขายังเด็กถึงเพียงนั้น…”
หัวใจของนางเจ็บปวดรวดร้าว นางหลับตาแน่น ภาพที่เหยียนเอ๋อร์ล้มลงและตายอย่างน่าอนาถราวกับปรากฏตรงหน้าอีกครั้ง ทำอย่างไรก็ไม่ลบเลือนไป
สีหน้าของตงฟางเจ๋อแปรเปลี่ยนเล็กน้อย เขารั้งตัวนางเข้ามาเบาๆ แล้วกล่าวปลอบโยนเสียงเบา “นี่ไม่ใช่ความผิดของเจ้า อย่าคิดถึงมันอีกเลย”
อ้อมกอดอันคุ้นเคยยังคงชวนให้คิดถึงความอบอุ่นในอดีต นิ้วมือของเขาวางลงบนเรือนผมนางอย่างอ่อนโยน ดั่งสายลมในฤดูใบไม้ผลิก็ไม่ปาน พัดเอากลิ่นอายอันน่าหลงใหลเข้ามา ทำให้ซูหลีตกอยู่ในห้วงภวังค์ ยกมือกอดเอวเขาตอบอย่างไม่รู้ตัว
รอยยิ้มยินดีอันแสนละมุนปรากฏในดวงตาเขา เขากลับรู้สึกตื้นตันจนมิอาจควบคุมต่อความใกล้ชิดที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันนี้ มือข้างหนึ่งโอบเอวนาง รั้งนางเข้ามาอ้อมแขน แล้วกอดนางไว้อย่างอบอุ่นอ่อนโยน
ซูหลีซบหัวลงบนไหล่เขาเบาๆ กลิ่นอายอันคุ้นเคยทำให้หัวใจนางอ่อนไหว หลังผ่านความเป็นความตาย และเหตุการณ์น่าสะเทือนใจอย่างคนในครอบครัวเข่นฆ่ากันมาหลายต่อหลายครั้ง เดิมทีนางนึกว่าตนเองได้ลืมรสชาติของเจ็ดอารมณ์หกความปรารถนาไปนานแล้ว แต่ในยามที่เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าเช่นนี้ นางกลับรู้สึกได้ว่าลึกๆ ในใจ ตนเองยังต้องการความอบอุ่นอยู่ นางหลับตา คล้ายไม่อยากให้ช่วงเวลานี้ผ่านเลยไป ขอแค่ตอนนี้เท่านั้น เพราะนางเหนื่อย เหนื่อยเหลือเกิน…
เขาโอบกอดนางเงียบๆ ไม่กล้าปริปาก เพราะกลัวว่าจะเป็นการรบกวนความอบอุ่นและสงบสุขในช่วงเวลานี้ แค่นางกอดเขา เขาก็พอใจแล้ว
แสงอาทิตย์ยามเช้าโผล่พ้นเหนือเส้นขอบฟ้าอย่างเงียบเชียบ ราวกับไม่อยากรบกวนคนคู่หนึ่งที่กำลังโอบกอดกันท่ามกลางความเหนื่อยล้า
เสียง ‘โหม่ง’ พลันดังขึ้น เสียงฆ้องดังก้องไปทั่วลานวัด ได้เวลาของชั้นเรียนตอนเช้าแล้ว
นางพลันสะดุ้ง รีบลืมตา นึกขึ้นได้ว่าตนเองอยู่ในสถานที่ใด จึงรีบผลักเขาออกทันที
อ้อมแขนพลันว่างเปล่า แววเจ็บปวดที่ยากจะอธิบายพาดผ่านใบหน้าเขา แต่เขากลับเอาแต่มองนาง ไม่ยอมหดมือกลับไป ถ้าหากเป็นไปได้ เขาขอเลือกที่จะไม่ปล่อยมือไปตลอดชีวิต ขอหยุดเวลาไว้ในช่วงเวลาอันสงบสุขนี้ไปตลอดกาล
“ค้นหามาตั้งนานแล้วก็ยังไม่มีความคืบหน้า ข้าจะออกไปดูหน่อย” นางเบนสายตาหลบ ไม่กล้ามองหน้าเขาอีก ราวกับว่าหากมองต่ออีกแม้เพียงนิด ก็จะจมดิ่งสู่ห้วงภวังค์ จนยากจะควบคุมตนเองอีก
“ซูซู…” เขารั้งนางไว้อย่างอาลัยอาวรณ์ นางจงใจหลบ ทำให้นัยน์ตาของเขาแปรเปลี่ยนเป็นหม่นหมองเศร้าสร้อย
ซูหลีหันหน้าหนี แต่ครั้นได้ยินเสียงขานเรียกนั้น เท้าของนางกลับชะงักเล็กน้อย หัวใจพลันเจ็บแปลบรางๆ นางสูดหายใจลึกๆ แต่กลับไม่อนุญาตให้ตนเองหันหน้ากลับไปง่ายๆ
“ซูซู…” เขาก้าวเข้ามาหานางทีละก้าวๆ กลิ่นอายอันคุ้นเคยจู่โจมเข้ามาหานางอีกครั้ง ซูหลีก้าวขาไม่ออก ความอบอุ่นอ่อนโยนเมื่อครู่ทำให้หัวใจของนางสับสนวุ่นวายเสียแล้ว ในขณะที่นางไม่รู้จะทำเช่นไร หยางเซียวก็เดินเข้ามาด้วยใบหน้าเกรี้ยวโกรธ พร้อมกับตะโกนอย่างเคียดแค้น “ค้นหาจนทั่ววัดแล้ว ก็ยังไม่พบร่องรอยของเขา หรือเขามีวิชาเหาะขึ้นฟ้า มุดลงดินได้?”
ค้นหาทุกที่แล้ว…ซูหลีรู้สึกโล่งใจอย่างไม่รู้สาเหตุ สายตาจดจ้องยอดเขาจวี้หลิง แล้วกล่าวเสียงขรึมว่า “วัดหลวง!”
บนยอดเขาจวี้หลิง ด้านหน้าวัดหลวง ในผืนป่าที่มีค่ายกลเจ็ดดาวเหนืออยู่ เงามืดทับซ้อน กิ่งไม้ไหวไปตามสายลม นอกจากเสียงสวบสาบของใบไม้ที่เสียดสีกัน ก็ไม่มีเสียงอื่นใดอีก
หยางเซียวมุ่งหน้าเข้าไปในค่ายกลทันที แต่จู่ๆ กลับชะงักเท้า เขาสังเกตการณ์เงียบๆ อยู่ครู่หนึ่ง แล้วตะโกนเสียงเครียด “เขาหนีเข้าไปข้างในนี้จริงๆ แต่ค่ายกลเจ็ดดาวเหนือถูกเขาเปลี่ยนแปลงไปแล้ว”
…………………………