กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 425 ชีวิตมักต้องตัดสินใจเลือกเสมอ (3)
ตงฟางเจ๋อคว้าตัวทหารคนหนึ่งในกลุ่มนั้นมา คลายจุดให้เขา แล้วถามเสียงต่ำ “บอกมา จุดปล่อยควันพิษมีทั้งหมดกี่แห่ง?”
บุรุษตรงหน้ามีใบหน้าที่หล่อเหลางดงามจนน่าทึ่ง ทว่าดวงตากลับเยือกเย็นไร้ความปรานี ไอเย็นแผ่ลามในใจทหารคนนั้น เขาตอบด้วยน้ำเสียงสั่นๆ “ทั้ง ทั้งหมดมีสามแห่ง อีกสองแห่งอยู่ทางนั้น” เขายกมือชี้ไปทางทิศเหนือ
ตงฟางเจ๋อแย้มยิ้มเล็กน้อย ออกแรงที่ปลายนิ้ว ลำคอของทหารคนนั้นคดเอียง ก่อนจะล้มลงไปอย่างอ่อนแรง
ทั้งสองเคลื่อนที่ด้วยวิชาตัวเบา ไม่นานก็มาถึงจุดปล่อยควันจุดที่สอง เงาร่างสองสายไหวผ่านอย่างรวดเร็ว ทหารที่รับหน้าที่เฝ้ากองไฟรู้สึกเย็นวาบที่ต้นคอ ก่อนจะล้มลงไปพร้อมกัน หมอกควันสีขาวค่อยๆ ถูกลมพัดจางหายไป ท้องฟ้ายามค่ำคืนกลับมาเหมือนเดิม จุดปล่อยควันจุดสุดท้ายถูกทำลายอย่างราบรื่น ซูหลีอดถอนหายใจยาวๆ ไม่ได้
จู่ๆ ตงฟางเจ๋อก็ร้องบอกเสียงเบา “มีคนมา!” เขาดึงซูหลีโฉบขึ้นไปบนต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งที่มีกิ่งก้านหนาแน่น ช่องว่างระหว่างกิ่งไม้ค่อนข้างคับแคบ ซูหลีถูกเขาโอบแน่นไว้ในอ้อมอก แผ่นหลังแนบชิดกับกิ่งไม้ นางกระอักกระอ่วนใจ พยายามขัดขืนและดันเขาออก แต่กลับถูกเขาโอบแน่นยิ่งขึ้น
“ท่านจะทำอะไร?” นางรู้สึกขุ่นเคืองอย่างไม่ทราบสาเหตุ
“ชู่ว!” เขาลดเสียงให้เบาลง “ศัตรูมีมากกว่าเราจะแย่! ดูสถานการณ์ก่อนแล้วค่อยว่ากัน”
ซูหลีนึกโมโห แต่กลับจนใจทำอะไรไม่ได้ ต้นไม้ต้นนี้มีกิ่งไม้แน่นหนามาก พวกเขาซ่อนตัวอยู่ในนี้ เงาร่างถูกเงามืดของกิ่งไม้บดบังจนมิด เป็นที่ซ่อนตัวชั้นดีอย่างปฏิเสธไม่ได้ นางถมึงตาจ้องหน้าเขา ท่ามกลางความมืดมองเห็นเพียงดวงตาเปล่งประกายของเขา ซึ่งเจิดจรัสดั่งดวงดารา หัวใจของซูหลีสั่นสะท้าน นางรีบเบนสายตาหนี
ใต้ต้นไม้ เสียงกีบเท้าม้ากระทบพื้นดังขึ้น ทหารม้ากลุ่มหนึ่งมาถึงในไม่ช้า ผู้นำของคนกลุ่มนี้เงาร่างสูงเพรียว เสื้อเกราะสีเงินสว่างสะดุดตาเป็นพิเศษ คนผู้นั้นนั่งอยู่บนหลังม้า มองเห็นรูปร่างหน้าตาไม่ชัดเจน สัญลักษณ์บนหมวกเหล็กคือหัวพยัคฆ์อันน่าเกรงขามประจำกองทัพรุ่ยเฟิง
“สมควรตายนัก! ถูกลอบโจมตีแล้วยังไม่รู้ตัวอีก?” หัวหน้าทหารกลุ่มนั้นเดือดดาล เหวี่ยงแส้ม้า ตวัดร่างรองหัวหน้าที่อยู่ข้างกายให้ร่วงจากหลังม้า
รองหัวหน้าข่มกลั้นต่อความเจ็บ คุกเข่าข้างเดียว รายงานด้วยเสียงแตกตื่น “ทูลท่านอ๋องน้อย ผู้ที่มีฝีมือเช่นนี้ จะต้องไม่ใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอน กระหม่อมสงสัยว่าจะเป็นธิดาเทพแห่งลัทธิธิดาเทพพ่ะย่ะค่ะ ได้ยินมาว่านางมีวรยุทธ์สูงส่ง ในร่างกายมีสองสุดยอดวิชาผสานรวมกันอยู่!”
ซูหลีสะดุดใจ ท่านอ๋องน้อย? หรือจะเป็นหยางจิน โอรสองค์โตของหยางเจิ้น? เสียงของเขาฟังดูเหมือนยังอ่อนเยาว์นัก ทว่านางไปเยือนจวนอ๋องหลายครั้ง ก็ยังไม่เคยเห็นหยางจินสักครั้ง ได้ยินว่าเขาถูกหยางเจิ้นปล่อยให้ใช้ชีวิตและฝึกฝนความกล้าอยู่ในกองทัพ
“เป็นนางงั้นหรือ?” หัวหน้าทหารแค่นเสียงเย็นชา กล่าวด้วยน้ำเสียงดูแคลน “ควันเพิ่งดับ พวกเขาจะต้องยังอยู่แถวๆ นี้แน่นอน ถ่ายทอดคำสั่งออกไป ตามหาให้ทั่ว ฆ่าไม่เว้น!”
เสียงฝีเท้าม้าค่อยๆ ห่างไกลออกไป ร่างกายที่ตึงเกร็งของซูหลีผ่อนคลายลงหลายส่วน นางเงี่ยหูฟังครู่หนึ่ง แล้วจึงค่อยทอดถอนใจ “พวกเขาค้นหาบริเวณใกล้ๆ อยู่ตลอด เกรงว่าพวกเราจะยังไปไม่ได้ในเร็วๆ นี้”
“ใครบอกเล่าว่าเราจะไป?” เขากระตุกมุมปากเล็กน้อย
ซูหลีจ้องหน้าเขา “ท่านอยากอาศัยอยู่บนต้นไม้สิบวันครึ่งเดือนก็แล้วแต่ท่าน ข้าจะไปแล้ว”
เอ่ยจบ นางก็กระโดดลงจากต้นไม้โดยใช้วิชาตัวเบา เพิ่งจะก้าวเท้าได้ก้าวเดียวก็ถูกรั้งมือไว้ ซูหลีขมวดคิ้วเล็กน้อย “ปล่อยข้า!”
“อย่าเพิ่งใจร้อน พวกเรายังมีเรื่องต้องทำ” เขาไม่สนใจการปฏิเสธของนาง เพียงดึงมือนาง แล้วใช้วิชาตัวเบาเคลื่อนที่ด้วยความเร็วท่ามกลางค่ำคืนอันมืดมิด ซูหลีอยากจะสะบัดมือเขาออกหลายครั้ง ติดตรงที่อยู่ในกองทัพศัตรู จะกระทำการเอิกเกริกไม่ได้ จึงทำได้เพียงข่มกลั้นไว้ ผ่านไปไม่นาน ทั้งสองก็มาถึงด้านหลังก้อนหินขนาดใหญ่ก้อนหนึ่งบนเนินเขาเจี้ยนหลง ครั้นเห็นกองทัพทหารหนึ่งแสนนายของหยางเจิ้นซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่ไกลทางด้านล่าง ซูหลีก็ถอนหายใจ แล้วกล่าวว่า “ที่แท้ท่านก็มีจุดประสงค์นี้นี่เอง”
เขากระดกคิ้วยิ้ม แล้วกล่าวว่า “ในเมื่อมาแล้ว ย่อมไม่อาจกลับไปมือเปล่า”
ซูหลีถอนหายใจยาวๆ เขาก็ช่างรอบคอบเหลือเกิน กองทัพทหารหนึ่งแสนนายบุกโจมตีไม่ขาดสาย เพียงดับควันพิษ ทหารข้าศึกก็ยังสามารถบุกโจมตีเมืองต่อได้ หากกองทัพที่อยู่ข้างหลังเกิดเหตุไม่คาดฝัน ฝ่ายที่บุกโจมตีเมืองย่อมสับสน ไม่นานก็จำต้องสั่งถอยทัพแน่นอน
ตงฟางเจ๋อล้วงเม็ดขี้ผึ้งกลมๆ หลายเม็ดออกมาจากอกเสื้อ หยิบเม็ดหนึ่งมาเสียบไว้ตรงปลายธนู แล้วเล็งไปที่คบเพลิงข้างกระโจม ก่อนจะง้างสุดวงแขนและปล่อยออกไป
ฝีมือการยิงของเขาแม่นยำ กำลังภายในเยี่ยมยอด ธนูแหลมพุ่งออกไปดั่งฝนดาวตก ยิงโดนคบเพลิงอย่างแม่นยำ เสียง ‘บึ้ม’ ดังสนั่น คบเพลิงระเบิดเป็นวงกว้าง จุดกระโจมด้านข้างให้ลุกไหม้ทันที ยามนี้ลมเหนือยังคงพัดกระโชกไม่หยุด เปลวไฟลุกลามอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวกระโจมก็ไหม้ไปกว่าครึ่งส่วนแล้ว
ภายในกองทัพพลันโกลาหลวุ่นวาย เหล่าทหารพากันตักน้ำมาดับไฟ แต่กลับนึกไม่ถึงว่าเมื่อราดน้ำลงไป ก็มีควันสีขาวลอยคลุ้งขึ้นมา เสียงกรีดร้องดังไม่ขาดสาย ทหารที่อยู่ด้านหน้าสุดยกมือปิดตาอย่างเจ็บปวดทรมาน ล้มลงเกลือกกลิ้งกับพื้นทันที
เม็ดขี้ผึ้งถูกเสียบไว้ตรงปลายธนูและยิงออกไปอีกครั้ง พริบตาเดียว ก็มีกระโจมอีกหนึ่งหลังถูกไฟไหม้! เม็ดขี้ผึ้งถูกยิงเข้าไปในกองทัพศัตรูอย่างต่อเนื่อง กองทัพศัตรูกลายสภาพเป็นดั่งทะเลเพลิง เสียงกรีดร้องและวิ่งหนีดังไปทั่วกองทัพ ชั่วขณะหนึ่งกลับไม่มีผู้ใดกล้าวิ่งเข้าไปช่วยเหลือ
เขาไปได้ขี้ผึ้งยาพิษอันร้ายกาจเช่นนี้มาจากที่ใดกัน? ซูหลีสะดุดใจ พลันนึกถึงเรื่องยาแก้พิษขึ้นมาได้ “ท่านรู้แต่แรกแล้วว่าหยางเจิ้นจะโจมตีเมืองโดยใช้ควันพิษ?”
เขาส่ายหน้า “ข้าแค่เดา ไม่ได้มั่นใจ อวี๋เชียนจีมอบควันพิษให้หยางเจิ้นเมื่อนานมาแล้ว”
อวี๋เชียนจีคือไส้ศึกของหยางเจิ้นที่แฝงตัวอยู่ในลัทธิธิดาเทพ เรื่องลับเช่นนี้ เขาไปรู้มาจากที่ใดกัน? ซูหลีพลันกระจ่างทันใด “ท่านส่งหลินเทียนเจิ้งให้แฝงตัวเข้าไปในสำนักจันทร์เสี้ยว?”
ประกายรอยยิ้มพาดผ่านดวงตาเขา เขาไม่พูดอะไร
ซูหลียิ้มเย็น แล้วกล่าวว่า “ท่านช่างใส่ใจลัทธิธิดาเทพยิ่งนัก แม้แต่สตรีเช่นอวี๋เชียนจี ก็ยังยอมเสี่ยงชีวิตเพื่อท่าน!” ครั้นนึกถึงเรื่องในลัทธิธิดาเทพในครั้งก่อน อวี๋เชียนจีพยายามสานสัมพันธ์กับเขาที่ปลอมตัวเป็นเซี่ยฝูอันอย่างสุดความสามารถ จู่ๆ นางก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ
ตงฟางเจ๋อถอนหายใจ เอื้อมมือไปกุมมือนางไว้ แต่กลับถูกนางสะบัดออกอย่างแรง
“สตรีเช่นอวี๋เชียนจียอมทำอะไรเพื่อข้า ย่อมต้องเป็นเพราะมีเหตุผล” เขาจ้องนางด้วยดวงตาเป็นประกาย ราวกับหยั่งรู้ว่านางไม่พอใจด้วยเหตุใด
“ย่อมมีเหตุผลแน่นอนอยู่แล้ว นางเป็นหัวหน้าสำนักในลัทธิธิดาเทพ กลับยอมช่วยคนนอก แม้แต่ข้าที่เป็นธิดาเทพยังไม่รู้เรื่อง นอกเสียจากถูกความรักบังตายังมีเหตุผลใดได้อีก!” นางเองก็จ้องหน้าเขา ฮ่องเต้ที่มีอำนาจล้นฟ้า หล่อเหลาสง่างาม ฉลาดปราดเปรื่อง มีสตรีใดบ้างที่ไม่ยินยอมพร้อมใจวิ่งเข้ากองไฟเพื่อเขา?!
“เจ้าพูดถูก” เขากลับแย้มยิ้ม คิ้วเข้มดั่งสายลมและหยาดพิรุณในวสันตฤดู เปล่งประกายดั่งดวงดาว “เป็นเพราะความรักบังตาจริงๆ ไม่มีผู้ใดในโลกนี้ ที่สามารถหลุดพ้นจากคำว่ารักได้”
หัวใจของซูหลีสั่นไหว นางเบือนหน้าหนี กล่าวเสียงเย็นชา “เช่นนั้นข้าควรยินดีกับท่านด้วยหรือไม่ แม้แต่คนของข้า ยังยอมจำนนต่อท่าน ในเมื่อท่านเห็นความสำคัญของนางถึงเพียงนี้ ภายหน้าให้นางติดตามท่านก็สิ้นเรื่อง คนเช่นนี้ ลัทธิธิดาเทพของเราคงรั้งไว้ไม่อยู่”
ใบหน้าเขาขรึมลงเล็กน้อย แต่กลับไม่พูดอะไร จู่ๆ ก็ยื่นมือรั้งนางเข้าไปในอ้อมแขน ซูหลีสะดุ้ง ยกฝ่ามือซัดออกไปโดยสัญชาตญาณ เสียง ‘ปึ้ก’ ดังสนั่น ร่างกายเขาโอนเอนเล็กน้อย มือข้างหนึ่งกลับโอบรัดเอวนางไว้แน่น ไม่มีทีท่าว่าจะปล่อย
ซูหลีเคืองขุ่น ตวาดเสียงเกรี้ยว “ปล่อยข้า!” ขณะหมายจะซัดฝ่ามือออกไปอีกครั้ง นางกลับค้นพบว่าใบหน้าเขาซีดเผือดเล็กน้อย สองมือกำแน่น หลับตาเบาๆ คล้ายรู้แต่แรกแล้วว่านางจะต้องใช้กำลัง แต่กลับเต็มใจรับไว้ ครั้นนึกได้ว่าเขาเคยได้รับบาดเจ็บหนัก ร่างกายยังไม่ฟื้นตัวดีก็มาเสี่ยงตายเคียงข้างนาง ฝ่ามือนั้นก็พลันหยุดชะงักข้างแก้มของเขาทันที ซูหลีถมึงตาจ้องเขาที่ได้แต่หอบหายใจ วินาทีต่อมาเขากลับช้อนใบหน้านางขึ้น แล้วประทับจูบลงบนกลีบปากอ่อนนิ่มของนางอย่างแม่นยำ
…………………………