กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 427 ชีวิตมักต้องตัดสินใจเลือกเสมอ (5)
พระบรมศพของอดีตฮ่องเต้ถูกเคลื่อนย้ายเข้าไปในสุสานประจำราชวงศ์ หยางเซียวสั่งให้เหล่าขุนนางแยกย้ายกลับ ส่วนตนเองคุกเข่าแผ่นหลังเหยียดตรงอยู่ด้านหน้าหลุมศพ ผ่านไปเนิ่นนาน ครั้นเห็นว่าพระอาทิตย์ใกล้ตกดิน สวีฉางก็อดเป็นห่วงไม่ได้ จึงกล่าวเตือนเสียงเบาว่า “ฝ่าบาท นี่ก็สายมากแล้ว กลับวังไปพักผ่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
หยางเซียวเหมือนไม่ได้ยิน เพียงเหม่อมองภูเขาสูงต่ำสลับสล้างที่อยู่ห่างออกไป สายตาหม่นหมองคล้ายไร้ซึ่งเป้าหมาย
ผ่านไปครู่หนึ่ง สวีฉางได้แต่ทำหน้ากังวล หันไปมองซูหลีอย่างขอความช่วยเหลือ
ซูหลีลอบถอนหายใจ หลายวันนี้เขาไม่ได้พักผ่อนอย่างเต็มที่สักครั้ง ยามนี้ใบหน้าเหน็ดเหนื่อย ไม่เหลือชีวิตชีวาดังเช่นเมื่อก่อนอีกแล้ว นางหมายจะอ้าปากเกลี้ยกล่อม แต่จู่ๆ กลับเห็นหยางเซียวลุกขึ้นยืน ไม่พูดพร่ำทำเพลง กระโดดขึ้นหลังม้าอย่างรวดเร็ว เขาเหวี่ยงแส้อย่างแรง ม้าตัวนั้นพุ่งทะยานออกไปทันที ซูหลีเห็นท่าไม่ดี รีบกระโดดขึ้นม้าตามไปติดๆ
ทุ่งหญ้าในฤดูใบไม้ร่วง เหลืองเฉาแห้งเหี่ยว สายลมที่พัดปะทะใบหน้าเหมือนดั่งมีดคม ซูหลีเหวี่ยงแส้ไม่หยุด จดจ้องแผ่นหลังของหยางเซียวที่อยู่ตรงหน้าไม่ละสายตา เห็นเขาควบม้าด้วยความเร็วราวกับคลุ้มคลั่งไปแล้ว นางพลันรู้สึกปวดใจ หยางเซียวในยามนี้ เหมือนนางตอนที่ออกจากหลุมศพของเสด็จแม่เพื่อมุ่งหน้าไปยังหลุมศพของหลีซู นางควบม้าด้วยความเร็วอันบ้าคลั่งอย่างไม่อาจควบคุมตนเอง แต่นางเข้าใจดี ถึงแม้ทำอย่างนั้น ก็ยังไม่อาจลบล้างความเจ็บปวดจากการสูญเสียครอบครัวไปได้
หยางเซียวพลันดึงบังเหียนบ้า ม้าล้ำค่าที่อยู่ใต้หว่างขายกเท้าหน้าและคำรามด้วยความเจ็บปวด ก่อนจะสะบัดร่างเขาร่วงจากหลังม้าอย่างไร้ความปรานี จากนั้นก็วิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว หยางเซียวปล่อยให้ร่างกายตนเองร่วงกระแทกพื้น ฝุ่นดินตลบอบอวล ร่างกายเกลือกกลิ้งไปด้านหน้าหลายตลบ สุดท้ายก็นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้นไม่ยอมขยับ
“หยางเซียว!” ซูหลีร้องเรียกด้วยความตกใจ รีบกระโดดลงจากหลังม้าพุ่งเข้าไปหาเขา ขานเรียกอย่างต่อเนื่อง “หยางเซียว! ท่านเป็นอย่างไรบ้าง?”
บนใบหน้าหล่อเหลาที่มักเต็มไปด้วยรอยยิ้มเสมอ กลับเต็มไปด้วยรอยน้ำตา นางอดตะลึงงันไม่ได้
จนถึงตอนนี้ นางเพิ่งเคยเห็นเขาร้องไห้เป็นครั้งแรก
ก่อนหน้านี้ ไม่ว่าเขาจะถูกใส่ร้ายว่าสังหารบิดาตนเอง หรือเผชิญหน้ากับกองทัพศัตรูของหยางเจิ้น กระทั่งเมืองหลวงแคว้นเปี้ยนตกอยู่ในวิกฤติ เขาก็ไม่เคยเผยด้านอ่อนแอให้ผู้อื่นเห็นแม้แต่น้อย ยามนี้กลับหลั่งน้ำตาเงียบๆ เหมือนเด็กน้อยไร้ที่พึ่งพิง หยางเซียวในตอนนี้ กลับทำให้นางรู้สึกปวดใจอย่างบอกไม่ถูก และทำให้นางอดนึกถึงวันเวลาอันยากลำบากหลังจากเกิดใหม่ไม่ได้ นางเองก็เคยข่มกลั้นความเจ็บปวด แสร้งยิ้มทำเหมือนว่าไม่เป็นไรต่อหน้าคนอื่น แต่ความเจ็บปวดจากการสูญเสียมารดากลับเหมือนภูเขาลูกใหญ่ที่กดทับหัวใจ หนักหนาจนทำให้นางหายใจแทบไม่ออก
บางที ทุกคนอาจต้องผ่านความเจ็บปวดสักครั้งหนึ่งในชีวิต จึงจะสามารถเติบโตได้อย่างแท้จริง ครั้นสูญเสียความรักและการปกป้องจากคนที่รักที่สุดไป ความอ่อนแอก็จะกลายเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็นที่สุด นางไม่พูดอะไร เพียงนั่งลงข้างกายเขาเงียบๆ
สุดขอบทุ่งหญ้า แสงสุดท้ายของดวงตะวันที่ใกล้ลาท้องฟ้า คล้ายกำลังปลอบประโลมและบอกลาการปลดปล่อยครั้งสุดท้ายของเขาด้วยเช่นกัน
ผ่านไปเนิ่นนาน หยางเซียวจึงค่อยเอ่ยปากด้วยเสียงแหบพร่า “อาหลี ขอบใจเจ้ามาก”
ซูหลีหันไปมองเขา คราบน้ำตาบนใบหน้าหล่อเหลาเริ่มแห้งเหือด สีหน้าเศร้าสลด แต่สายตากลับหนักแน่นยิ่งนัก
นางส่ายหน้าเงียบๆ บางเวลา คำพูดปลอบประโลมนับพันนับหมื่นก็มิสู้อยู่เคียงข้างกันอย่างเงียบๆ หัวใจของเขาสั่นไหว ลุกขึ้นนั่ง แล้วโอบนางเบาๆ
หัวใจของซูหลีขมฝาด ยกมือลูบหลังเขาเบาๆ หยางเซียวชะงักเล็กน้อย ก่อนจะกอดนางแน่นขึ้นกว่าเดิม
“เจ้ารู้หรือไม่? บางครั้งข้าก็เคืองขุ่นเจ้ามากจริงๆ” เสียงแหบพร่าของเขาดังข้างหู มีแววกังวลแฝงอยู่เล็กน้อย “ไม่ว่าข้าจะทำอย่างไร จะพยายามทำให้เจ้ามีความสุขมากแค่ไหน เจ้าก็เหมือนจะไม่สนใจข้าแม้แต่น้อย ในช่วงเวลาสำคัญ เจ้าก็มักเลือกยืนอยู่ฝั่งคนอื่นเสมอ แต่ครั้งนี้…ข้าดีใจเหลือเกิน ในเวลาที่ข้าต้องการเจ้าที่สุด เจ้าไม่ได้จากข้าไปไหน!”
“หยางเซียว ข้าไม่ใช่คนที่ไม่รู้จักแยกแยะผิดถูกชั่วดี” ซูหลีกล่าวเสียงราบเรียบ ประโยคนี้ฟังดูเรียบง่าย แต่แท้จริงกลับแฝงไว้ด้วยความรู้สึกอันท่วมท้น มีเพียงนางเท่านั้นที่รู้ดีว่าการตัดสินใจเช่นนี้เป็นเรื่องที่ยากถึงเพียงใด!
“ค่ำมากแล้ว พวกเราควรกลับได้แล้ว” ซูหลีไม่พูดมากความอีก นางผลักเขาออกเบาๆ ลุกขึ้นหมายจะออกเดิน แต่กลับถูกเขารั้งมือไว้แน่น หยางเซียวเงยหน้าขึ้น ในดวงตาเปล่งประกายที่จ้องมองนางเต็มไปด้วยความรู้สึกมากมาย จู่ๆ เขาก็ถามขึ้นเสียงเบาว่า “อาหลี เจ้าจะอยู่ข้างกายข้าไปตลอดกาลกระมัง?” เสียงของเขาเบามาก แต่กลับแสดงออกถึงความจริงจังและมุ่งมั่น
หัวใจของนางสั่นสะท้านไปทั้งดวง เขากำลังขอให้นางสัญญางั้นหรือ?
เขาเอ่ยต่ออีกว่า “อนาคตจะเป็นเช่นไร ข้าไม่อาจมั่นใจได้ ข้ารู้เพียงว่า มีเจ้าอยู่ข้างกายข้า ไม่ว่าคลื่นลมจะใหญ่เพียงใด ข้าก็จะผ่านมันไปได้ ข้า ขาดเจ้าไม่ได้”
ซูหลีเงียบงันไม่พูดจา ตอนแรก การมาเยือนแคว้นเปี้ยนไม่ได้อยู่ในแผนการของนาง และนางก็ไม่เคยคิดว่าจะรั้งอยู่นานถึงเพียงนี้ด้วย ส่วนอนาคตจะเป็นเช่นไร นางเองก็ยังไม่เคยคิดเช่นกัน คำถามที่มาอย่างกะทันหันของเขา กลับทำให้นางไม่รู้ว่าควรตอบเช่นไรดี
เสียงถอนหายใจเบาๆ คล้ายลอยมากับสายลม เขาไม่ได้บีบคั้นนาง เพียงลุกขึ้นยืน แล้วกล่าวว่า “ไปกันเถิด”
แสงอาทิตย์อัสดงสาดส่องไปทั่วหล้า บรรยากาศในพระราชวังเปี้ยนที่ถูกแสงยามเย็นปกคลุม กลับดูหดหู่อย่างบอกไม่ถูก สายลมพัดผ่าน กระดิ่งทองแดงที่ห้อยอยู่ใต้ชายคาสั่นไหวไปตามแรงลม เกิดเป็นเสียงแหลมใส พาให้หัวใจสับสนวุ่นวาย
ตงฟางเจ๋อยืนเอามือไพล่หลังอยู่บนมุมหอสังเกตการณ์สูงๆ ชายอาภรณ์สีดำโบกสะบัดไปตามสายลมในฤดูใบไม้ผลิ เขายืนเงียบๆ มองดูซูหลีกับหยางเซียวที่ขี่ม้าตัวเดียวกันกลับมา ใบหน้ากลับดูเศร้าสร้อยอย่างบอกไม่ถูก
แสงอาทิตย์ยามเย็นสาดส่องบนตัวของพวกเขาสองคน อาภรณ์ไว้ทุกข์สีขาวสะอาดอาบไล้ด้วยรัศมีแสงจางๆ หนึ่งชั้น ภาพที่ดูกลมกลืนและใกล้ชิดนี้ ช่างบาดตายิ่งนัก
เมื่อนานมาแล้ว นางก็เคยนั่งอยู่ข้างหน้าเขาอย่างใกล้ชิดสนิทสนมเช่นนี้เหมือนกัน กลิ่นหอมจางๆ ในความทรงจำ ยังคงติดตรึงในใจไม่จางหาย ทั้งที่เป็นคนรักที่จริงใจต่อกัน เชื่อใจซึ่งกันและกัน ใกล้ชิดจนไม่มีช่องว่างระหว่างกัน เหตุใดยามนี้นางถึงได้อยู่ห่างไกลจากเขานัก?!
เสียงฝีเท้าดังมาจากข้างหลัง หลินเทียนเจิ้งถอนหายใจ แล้วกล่าวว่า “ที่นี่ลมแรง ฝ่าบาทกลับไปพักผ่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
ตงฟางเจ๋อราวกับไม่ได้ยิน จู่ๆ ก็ถามขึ้นโดยไม่หันหน้ากลับมา “หลินเทียนเจิ้ง เจ้าเคยอิจฉาผู้ใดหรือไม่?”
หลินเทียนเจิ้งชะงักงัน มองเขาด้วยสายตาประหลาดใจเล็กน้อย บุรุษที่สูงส่งถึงเพียงนี้ กลับถามคำถามเช่นนี้ออกมา?! เขายังไม่ทันเอ่ยปาก ก็ได้ยินตงฟางเจ๋อกล่าวต่อว่า “ตอนนั้นที่ข้าส่งพระบรมศพของอดีตฮ่องเต้เข้าสุสาน ขบวนแห่พระบรมศพที่เดินตามหลังข้าเหยียดยาวกว่านี้มากนัก แต่ว่า…แม้มีคนมากมายอีกเพียงใด ก็ไม่มีใครเข้าใจความรู้สึกของข้า!”
ผู้ที่เข้าใจเขาได้โดยปราศจากคำพูด เพียงมองตาก็รู้ใจ ยามนี้ คนผู้นั้นได้ทอดทิ้งเขาไปแล้ว
หัวใจของหลินเทียนเจิ้งสะดุด เขาทอดสายตามองสตรีที่อยู่ไกลออกไป ถอนหายใจ แล้วกล่าวว่า “บนโลกใบนี้สิ่งที่ควบคุมยากที่สุดก็คือหัวใจคน ทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่กับชะตาลิขิต ฝ่าบาทไยต้องทุกข์ตรมถึงเพียงนี้ด้วยเล่า?”
หัวใจของตงฟางเจ๋อสั่นสะท้าน หลักสัจธรรมอันง่ายดายเช่นนี้ เขากลับต้องให้ผู้อื่นย้ำเตือนตนเอง เขารู้ดีเสียยิ่งกว่าใคร ชาตินี้ภพนี้เขาไม่มีทางตัดขาดความรักครั้งนี้ได้ ถึงแม้ต้องแลกด้วยทุกอย่าง เขาก็จะไขว่คว้าหัวใจของนางกลับคืนมา! เพียงแต่ความพยายามของเขา ความหนักแน่นของเขา จะทำให้เขาได้นางกลับคืนมาจริงหรือ?
เขาเหม่อลอยไปชั่วขณะ เพียงยืนมองเงาร่างของคนคู่หนึ่งค่อยๆ ใกล้เข้ามา
สายตาที่จดจ้องมองมา ทำให้ซูหลีรู้สึกได้ในทันที นางเงยหน้าโดยสัญชาตญาณ สบเข้ากับดวงตาอันลึกล้ำของเขาพอดี หัวใจสั่นสะท้าน ตอนที่นางเดินตามขบวนแห่พระบรมศพออกไปในยามเช้าตรู่ เหมือนเขาก็ยืนอยู่ตรงนั้น ตอนนี้กลับยังคงอยู่ที่เดิม…
หยางเซียวดึงบังเหียนม้า สายตาเย็นชาเล็กน้อย เห็นตงฟางเจ๋อสาวเท้าเร็วๆ ลงมาจากหอสังเกตการณ์ และเดินตรงมาทางพวกเขา
………………………