กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 429 ชีวิตมักต้องตัดสินใจเลือกเสมอ (7)
“ข้ากลับอยากรู้นัก ว่าพวกเขามีแผนอะไรกันแน่!” หยางเจิ้นใคร่ครวญครู่หนึ่ง ก่อนจะออกคำสั่งเสียงเข้ม กองทัพทหารเคลื่อนพลมุ่งหน้าไปยังหุบเขาอวี้เสียอย่างองอาจยิ่งใหญ่
ห่างออกไปทางทิศใต้ของเมืองหลวงแคว้นเปี้ยนสิบลี้ ณ หุบเขาอวี้เสีย จุดที่ต้องผ่านหากเดินทางจากเนินเขาเจี้ยนหลงไปยังพระราชวัง สองข้างทางรายล้อมไปด้วยภูเขาสูง ภายในหุบเขาเต็มไปด้วยทรายเหลืองก้อนหินประหลาด หมอกหนาปกคลุม หากยืนอยู่ในนั้น สามารถมองเห็นระยะทางที่ห่างออกไปเพียงสิบก้าวเท่านั้น
ในยามปกติสถานที่แห่งนี้เงียบงันผิดปกติ วันนี้ ณ จุดที่ห่างออกไปหลายลี้ เสียงกีบเท้าม้ากระทบพื้นดังกึกก้องไปทั่วทั้งหุบเขา ฟังจากที่ไกลๆ กลับคาดเดาไม่ได้ว่ามีกำลังคนและม้ามากมายขนาดไหน! ยิ่งเข้าใกล้ปากทางเข้าหุบเขา เสียงนั้นก็ยิ่งดังก้องจนน่าตกใจ หมอกควัน ณ ปากทางเข้าหุบเขาก็หนาแน่น ปกคลุมไปทั่วบริเวณ เงาร่างคนทับซ้อน ยากจะแยกแยะจริงหรือลวง
หยางจินเพ่งมองอยู่ครู่หนึ่ง สายตาปรากฏแววสงสัย “เสด็จพ่อ เกรงว่าจะมีกลลวงแฝงอยู่ ตลอดหลายวันมานี้ ทหารสามหมื่นนายในเมืองคอยรักษาการณ์อยู่ในเมืองไม่เคยออกมาแม้แต่คนเดียว ประตูเมืองก็ไม่เคยเปิด จู่ๆ จะมีร่องรอยของกองทัพขนาดใหญ่ปรากฏที่นี่ได้เช่นไร? หรือว่า…ฮูเอ่อร์ตูกลับมาแล้วจริงๆ?”
ใบหน้าของหยางเจิ้นแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา เขาไม่พูดอะไร เพียงยกมือเล็กน้อย กองทัพขนาดใหญ่ด้านหลังพลันเงียบเสียงในบัดดล
หมอกควันหนาแน่นในหุบเขาแผ่กระจายไปทั่ว ซูหลีเพ่งสมาธิเงี่ยหูฟังการเคลื่อนไหวนอกหุบเขา จากแผนการของตงฟางเจ๋อ กำลังคนสี่พันคนของลัทธิธิดาเทพ สั่งให้เคลื่อนพลออกมาสามพันคน โดยแบ่งเป็นกลุ่มละห้าร้อยคน ขี่ม้าวิ่งกลับไปกลับมาในหุบเขา หุบเขาแห่งนี้มีลักษณะภูมิประเทศที่พิเศษ เสียงดังกึกก้อง ดังสะท้อนชัดเจน กอปรกับเสียงควบม้าที่พวกเขาถ่ายเทกำลังภายใน เกิดเป็นเสียงที่เหมือนการเคลื่อนพลของกองทัพขนาดใหญ่
เพียงแต่กลยุทธ์ลวงศัตรูนั้นล้วนต้องอาศัยวันที่มีหมอกหนา ทำได้เพียงประวิงเวลาชั่วคราวเท่านั้น หยางเจิ้นเป็นคนมากระแวง ความคิดรอบคอบ หากเขาไม่ยอมถอยทัพกลับไป หลังบ่ายหากหมอกจาง กลยุทธ์ข่มขวัญนี้ก็มิอาจหลอกลวงเขาได้อีกต่อไป
ซูหลีเงียบงันไม่พูดจา เจียงหยวนกล่าวเสียงเบา “เจ้าสำนักไม่ต้องเป็นห่วง ฮ่องเต้แคว้นเฉิงตรัสไว้ก่อนแล้ว หากสถานการณ์เปลี่ยนแปลง พวกเราเพียงต้องล่าถอยเท่านั้น พระองค์มีกลยุทธ์รับมือ”
ซูหลีถอนหายใจ “ข้าเข้าใจ” ตงฟางเจ๋อส่ง ‘ฟู่เทียนเริ่น’ หัวหน้าสำนักท่องโมราซึ่งชำนาญการใช้อาวุธลับ รวมถึงคนในสำนักอีกห้าร้อยคนออกไป เดาว่าคงมีแผนการอื่นซ่อนอยู่อีกเป็นแน่
นอกหุบเขา กองทัพของหยางเจิ้นคล้ายหยุดนิ่งอยู่ห่างออกไป พวกเขายังคงสังเกตการณ์เงียบๆ ไม่มีทีท่าว่าจะถอยทัพ
ซูหลีโบกธงออกคำสั่ง ทหารม้าหกกองตะโกนเสียงห้ำหั่น ยอดอาชานับพันคำรามเสียงสนั่น สุ้มเสียงดังลั่นสะเทือนขวัญ! เสียงนั้นดังสะท้อนอยู่เนิ่นนาน หลังจากนั้นภายในหุบเขาก็กลับมาเงียบสงบอีกครั้ง ไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมาแม้แต่น้อย
นอกหุบเขา ทหารนำทางที่ถูกส่งตัวออกไปกลับมารายงาน “ทูลท่านอ๋อง หมอกควันในหุบเขาหนาแน่นมาก เงาร่างผู้คนสลับซับซ้อน ยากจะแยกแยะจริงหรือลวง แต่ที่มั่นใจได้คือธงของอีกฝ่ายเป็นสีดำพ่ะย่ะค่ะ!”
ทุกคนตกตะลึง ผู้ใดบ้างไม่รู้ว่าคนที่สามารถเป็นเจ้าของธงสีดำในกองทัพได้ มีแต่ขุนพลอันดับหนึ่งแห่งแคว้นเปี้ยนเท่านั้น
หยางเจิ้นขมวดคิ้ว ขุนพลคนหนึ่งที่อยู่ด้านหลังเขาอดเอ่ยขึ้นไม่ได้ “ท่านอ๋อง ต้องเป็นฮูเอ่อร์ตูแน่พ่ะย่ะค่ะ! เขามีทหารม้าใต้บังคับบัญชามากที่สุด ทุกครั้งที่ฝึกทหาร เสียงกีบเท้าม้ามักดังไกลออกไปถึงหลายลี้”
หยางจินกลับกล่าวอย่างสงสัย “ถ้าหากเป็นฮูเอ่อร์ตูจริง ด้วยนิสัยของเขา หากรู้ว่าพวกเราอยู่ตรงนี้ เหตุใดยังต้องซ่อนตัวไม่ยอมออกมา เรื่องนี้ต้องมีปัญหาอะไรซ่อนอยู่แน่นอน!”
นัยน์ตาของหยางเจิ้นเย็นเฉียบ เขาแค่นเสียงกล่าวว่า “เขาอยู่ในหมอกควัน มองเห็นสถานการณ์นอกหุบเขาได้ไม่ชัดเจนเช่นกัน”
“เสด็จพ่อ ฮูเอ่อร์ตูไม่เคยทำศึกที่ไม่มีโอกาสชนะ ถ้าหากเป็นเขาจริง พวกเรามิอาจบุ่มบ่ามบุกเข้าไปนะพ่ะย่ะค่ะ!” ใบหน้าของหยางจินก็แปรเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดเช่นกัน
หยางเจิ้นขมวดคิ้ว เพ่งมองปากทางเข้าหุบเขาอันเลือนราง ยามนี้สายลมพัดผ่าน หมอกควันสีขาวป่วนพล่านอย่างต่อเนื่อง ยิ่งทำให้ยากจะแยกแยะสถานการณ์ ไอเย็นพาดผ่านดวงตา เขาโบกมือออกคำสั่ง “ถอยทัพ!”
เสียงฝีเท้าม้าดังเลือนรางเข้ามาจากนอกหุบเขา ซูหลีเงี่ยหูฟัง อีกฝ่ายตั้งใจจะถอยทัพแล้ว นางถอนหายใจเบาๆ!
แต่ในตอนนี้เอง หมอกควันที่เคยปกคลุมท้องฟ้าก็พลันจางหาย แสงสว่างสาดส่องลงมา
ท้องฟ้าจะเปิดแล้ว!
หยางเจิ้นดึงบังเหียนม้าทันที เขาแหงนหน้ามองแสงสว่างเจิดจ้า นัยน์ตาหรี่เล็ก กลีบปากเผยอยิ้มเย็นชา
ดวงอาทิตย์โผล่พ้นพยับเมฆ หมอกควันแน่นหนาเพียงใดก็มีวันจางหาย เขาแค่ต้องรอเงียบๆ เท่านั้น อีกไม่นาน กลอุบายทุกอย่างในหุบเขาแห่งนี้ก็จะกระจ่างเอง!
หัวใจของซูหลีหนักอึ้ง คนคำนวณมิสู้ฟ้าลิขิตดังคาด วันนี้หากคิดจะใช้กลลวงตบตาให้ผ่านไปได้ เห็นชัดว่าเป็นไปไม่ได้แล้ว!
นางสูดหายใจลึกๆ หากยังไม่ถึงวินาทีสุดท้าย นางจะไม่มีวันยอมแพ้เด็ดขาด ซูหลีรีบออกคำสั่งให้ทหารม้าออกวิ่งอีกครั้ง เศษฝุ่นลอยตลบอบอวล คละเคล้ากับหมอกบางที่ยังไม่ทันจางหายไป บดบังทัศนียภาพที่แท้จริงในหุบเขาจนมิดชิด
ครั้นเห็นว่ายามบ่ายใกล้เข้ามาแล้ว แสงสว่างเจิดจ้าขึ้นเรื่อยๆ หมอกควันเริ่มจางหายไปมากกว่าครึ่ง สถานการณ์ภายในหุบเขาปรากฏเป็นเค้าโครงเลือนราง
“เสด็จพ่อ หมอกควันจางหายไปแล้ว พวกเรายังรออะไรอีกหรือพ่ะย่ะค่ะ?” หยางจินมองปากทางเข้าหุบเขา ท่าทางพร้อมโจมตีทุกเมื่อ
หยางเจิ้นยังไม่ทันตอบ เสียงสวบสาบก็พลันดังขึ้น ทุกคนเงยหน้ามอง เห็นเพียงธนูแหลมคมมากมายพุ่งแหวกอากาศลงมาจากยอดเขาทั้งสองฝั่ง รวดเร็วไร้ที่ติ ไม่รู้ว่าใช้ธนูชนิดใด กลับยิงได้ไกลกว่าระยะปกติ
หยางเจิ้นหน้าเปลี่ยนสี รีบสั่งการให้ทหารม้าถอยทัพ ทหารราบยกโล่ขึ้นป้องกันด้านหน้า
หลังจากการโจมตีครั้งที่หนึ่งในหุบเขาผ่านไป แสงอาทิตย์ก็ยิ่งสว่างเจิดจ้า หมอกควันตรงปากทางเข้าค่อยๆ เบาบาง มองจากที่ไกลๆ เห็นปากทางเข้าหุบเขาที่ไม่ได้กว้างขวางรางๆ ทหารม้ามากมายยืนรออยู่หน้าปากทางเข้าหุบเขาอย่างเงียบงัน กลับเป็นเสียงกีบเท้าม้าด้านหลังที่ดังอย่างต่อเนื่อง
หยางเจิ้นเงยหน้ามอง เห็นเพียงธนูหน้าไม้ขนาดใหญ่หลายอันวางอยู่บนก้อนหินใหญ่บนยอดเขา แต่กลับมองไม่เห็นเงาคน! ที่แท้ก็ไม่ใช่การซุ่มโจมตีแต่อย่างใด แต่เป็นการใช้อาวุธเพื่อสร้างสถานการณ์ข่มขวัญต่างหาก! เขาพลันแสยะยิ้มเย็นชา ฮูเอ่อร์ตูกล้าหาญชาญชัย แต่ไม่ชำนาญกลยุทธ์ ผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาก็ไม่มีผู้ใดชำนาญเรื่องกลยุทธ์หรือประตูค่ายกลลวงตาเช่นกัน มิเช่นนั้นตอนนั้นเขาคงไม่พลาดท่าให้กับแผนการของหยวนเซี่ยง จนต้องติดอยู่ในป่าควันพิษ!
คนที่อยู่ในหุบเขาต้องไม่ใช่ฮูเอ่อร์ตูอย่างแน่นอน! เขาไม่ลังเลอีก ตะโกนสั่งเสียงเด็ดขาด “ทัพหน้าจงฟัง ส่งทหารห้าพันนายจากกองทัพรุ่ยเฟิงบุกเข้าไปในหุบเขาเดี๋ยวนี้!”
ทัพหน้ารีบรับค่ำสั่งทันที
มองดูกำลังคนที่บุกเข้ามาอย่างรวดเร็ว ซูหลีพลันตึงเครียด นางรีบตะโกนสั่ง “ทุกคนถอย!”
กำลังคนหลายพันคนถอยทัพไปด้านหลังหุบเขาอย่างเป็นระเบียบ ซูหลีที่นั่งอยู่บนหลังม้าพลันม้วนกายขึ้นกลางอากาศ รวบรวมกำลังภายในแล้วซัดฝ่ามือออกไปอย่างรุนแรง กำลังภายในอันแข็งแกร่งปะทะเข้ากับเนินเขาด้านหนึ่ง ฝุ่นควันตลบอบอวล บดบังการมองเห็นของทัพศัตรูได้สำเร็จ
กองทัพศัตรูกลับไม่หยุดชะงัก เสียงกีบเท้าม้าทะยานด้วยความเร็วสูง ยังคงดังกระหึ่มใกล้เข้ามาเรื่อยๆ!
ซูหลีลอบตกตะลึง หยางเจิ้นฝึกฝนทหารได้เยี่ยมยอดมากจริงๆ สถานการณ์เช่นนี้ยังไม่อาจทำให้พวกเขาตื่นกลัวได้! นางหมายจะรวบรวมกำลังภายในไว้บนฝ่ามืออีกครั้ง เสียงม้าเร็วพลันดังมาจากข้างหลังก่อน นางยังไม่ทันหันหลัง ก็ถูกเขารั้งเอวอุ้มขึ้นหลังม้าแล้ว
“ไป!” น้ำเสียงดึงดูดที่ฟังดูคุ้นหูกระทบโสตประสาท ลมหายใจของเขาไล้ผ่านใบหู กลิ่นอายคล้ายไม่ค่อยมั่นคง
ตงฟางเจ๋อส่งเสียงผิวปาก ออกคำสั่งให้ถอยทัพไปด้านหลังหุบเขา
ห่าธนูพุ่งลงมาจากอาวุธบนยอดเขาอีกครั้ง ธนูเหล่านั้นปักลงบนพื้นดิน ม้าศึกพลันแตกตื่น วิ่งวนอยู่ที่เดิม ไม่ยอมวิ่งไปข้างหน้า
ตงฟางเจ๋อพานางขี่ม้าทะยานไปด้วยความเร็ว จนมาถึงเนินเขาที่ค่อนข้างสูงลูกหนึ่ง ม้าค่อยๆ หยุดวิ่ง ซูหลีอดหันกลับไปมองเขาไม่ได้ ใบหน้าหล่อเหลาปิดบังความเหนื่อยล้าไว้ไม่มิด ตั้งแต่เมื่อคืนจนถึงเช้าวันนี้ เขาคุมทหารอยู่ที่นี่ด้วยตนเอง ไม่เกี่ยงความยากลำบาก เหมือนดั่งเป็นเรื่องของตนเอง เขาช่วยเหลือหยางเซียวเช่นนี้ เพื่ออะไรกันแน่? ในใจมีคำตอบหนึ่งผุดขึ้นมาเลือนราง แต่นางกลับไม่กล้าคิดไปมากกว่านั้น และไม่อยากคิดด้วย
………………………