กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 437 เป็นฮองเฮาของข้าเถิด (3)
บ้าน สำหรับนางในยามนี้ คำนี้ช่างห่างไกลเหลือเกิน
ซูหลียืนอยู่ตรงปากทางเนิ่นนาน ชั่วขณะหนึ่งไม่รู้ว่าตนเองควรไปที่ใด สายลมในช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วงพัดผ่านระลอกแล้วระลอกเล่า พาเอาความหนาวเหน็บและความหดหู่เข้ามาด้วย พลันนั้น ผู้คนบนท้องถนนเริ่มออกวิ่งทันที เม็ดฝนขนาดเท่าเมล็ดถั่วตกกระทบใบหน้าแรงๆ จนรู้สึกเจ็บแก้มไปหมด ซูหลีชะงักงัน ยามนี้เองนางจึงเพิ่งรู้ตัวว่าท้องฟ้ามืดแล้ว
เพียงชั่วพริบตา พายุฝนพลันโหมกระหน่ำเข้ามาทั่วบริเวณ นางไม่มีเวลาคิดมาก รีบวิ่งเข้าไปในประตูบานหนึ่งที่อยู่ข้างหน้าทางฝั่งขวาของถนน ดูท่าแล้ว ไม่นานฝนก็คงหยุดตก
ขณะกวาดมองรอบทิศด้วยความเบื่อหน่าย ก็พบว่าประตูใหญ่บานนี้ดูน่าเกรงขามและน่าดึงดูดมาก ไม่เหมือนบ้านเรือนของคนธรรมดา ใต้ชายคาสูงมีโคมไฟมังกรสีแดงสะดุดตาห้อยไว้สองดวง แสงจากโคมไฟส่องให้เห็นอักษรขนาดใหญ่ด้านบน ‘เรือนรับรอง’ ซูหลีสะดุดกึกเล็กน้อย ที่แท้นางเดินมาถึงที่พักของทูตจากแคว้นเฉิงโดยไม่รู้ตัว เพียงแต่ ประตูใหญ่สีแดงสดกลับปิดแน่น เรือนรับรองมีไว้สำหรับทูตจากแคว้นต่างๆ เท่านั้น ยามปกติจะปิดประตูเฉพาะเวลาที่ไม่มีคนเข้าพัก แต่พวกตงฟางเจ๋อยังไม่ได้ไปจากเมืองหลวงแคว้นเปี้ยน เหตุใดประตูจึงปิดไว้เล่า?
นางลังเลครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ยกมือเคาะห่วงเคาะประตูสองสามครั้ง ผ่านไปไม่นาน ประตูใหญ่ก็เปิดออกเป็นช่องเล็กๆ เด็กหนุ่มคนหนึ่งชะโงกหน้าออกมา แล้วตะโกนถามอย่างหงุดหงิด “ใครน่ะ? รู้หรือไม่ว่าที่นี่คือที่ไหน?”
ครั้นเห็นใบหน้าซูหลี เขาก็อดตะลึงงันไม่ได้ เห็นได้ชัดว่านึกไม่ถึงว่าผู้มาจะเป็นหญิงสาวรูปงามนางหนึ่งเช่นนี้ หลังจากมองพิจารณาขึ้นลงครู่หนึ่ง เห็นนางบุคลิกสูงสง่า สวมอาภรณ์ไม่ธรรมดา จึงสงวนท่าที แล้วถามอย่างระมัดระวัง “แม่นางมีเรื่องใดงั้นหรือ?”
ซูหลีกล่าวว่า “เรียนถามสักนิด ใต้เท้าหลินเทียนเจิ้งคณะทูตจากแคว้นเฉิงอยู่หรือไม่?”
เด็กหนุ่มคนนั้นกล่าวว่า “แม่นางมาช้าไปแล้ว พวกเขาเพิ่งไปบ่ายวันนี้เอง”
ซูหลีชะงักงันไปครู่หนึ่ง แล้วถามต่อว่า “ไปแล้วหรือ? ไปที่ใด?”
เด็กหนุ่มตอบ “ข้าเป็นเพียงบ่าวรับใช้ ใต้เท้าจะไปที่ใด พวกข้ามีหรือจะกล้าถาม? ยามนี้เมืองหลวงแคว้นเปี้ยนปัญหาคลี่คลายแล้ว คงกลับแคว้นเฉิงไปแล้วกระมัง!”
ตงฟางเจ๋อไปแล้ว? เหตุใดจึงจากไปกะทันหันเช่นนี้? มิน่าเล่าอวี๋เชียนจีจึงยังไม่ยอมกลับสำนักจันทร์เสี้ยว ที่แท้หลินเทียนเจิ้งก็จะจากไปแล้ว…
เด็กหนุ่มคนนั้นเห็นนางเหม่อลอยไม่พูดอะไร สายตาของเขาฉายแววงุนงงขึ้นมาวูบหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยถามว่า “แม่นางยังมีเรื่องใดอีกหรือไม่?”
ซูหลีพลันได้สติ “อ้อ ไม่มีแล้ว ขอบใจมาก”
เสียง ‘ปึง’ ดังขึ้น ประตูบานนั้น ปิดลงอีกครั้ง
ยามนี้สายฝนที่โหมกระหน่ำได้กลายเป็นเม็ดฝนปรอยๆ ละอองฝนตกใส่ศีรษะนาง เกิดเป็นเสียงดังเปาะแปะ ซูหลีชะงักงันไปครู่หนึ่ง จู่ๆ ก็เหยียดยิ้มหยัน เขาไปแล้ว นี่เป็นความปรารถนาของนางมิใช่หรือ? เหตุใดยังต้องไปคิดหาเหตุผลให้ลำบากด้วยเล่า?
นางสะกดความคิดทั้งหมด บังคับให้ตนเองไม่คิดอีก ก่อนจะสาวเท้าลงบันไดไปอย่างรวดเร็ว แล้วเดินกลับไปยังเส้นทางเดิมโดยไม่หันกลับมาอีก ฝีเท้าของนางเร็วขึ้นเรื่อยๆ ร้อนรนขึ้นเรื่อยๆ ราวกับต้องการทิ้งเรื่องวุ่นวายทุกอย่างไว้ข้างหลัง…
เพิ่งจะกลับถึงที่พัก หวั่นซินก็เดินเข้ามาหานาง “คุณหนูกลับมาแล้วหรือเจ้าคะ?”
“มีแขกหรือ?” ซูหลีถามคล้ายไม่ใส่ใจ เมื่อครู่ตอนเดินเข้ามา ด้านนอกมีรถม้าจอดอยู่หนึ่งคัน ลวดลายประณีตงดงาม แต่กลับดูไม่ออกว่าผู้มาเป็นใคร
หวั่นซินกล่าวเสียงเบา “ฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนรออยู่นานแล้วเจ้าค่ะ”
ที่แท้ก็เป็นเขา ซูหลีชะงักงัน สายตาผิดหวังพาดผ่านใบหน้า
เงาร่างสูงเพรียวสายหนึ่งปรากฏตัวตรงประตู หยางเซียวสาวเท้ายาวๆ เดินเข้ามาหา เขาสวมชุดฉางเผาสีดำทั้งตัว ช่อผมเปียเล็กๆ ที่มักมีอยู่เต็มหัวในยามปกติถูกรวบตึงเป็นมวยผม และครอบไว้ด้วยรัดเกล้า ซูหลีลอบถอนหายใจ ยามนี้เขาขึ้นเป็นฮ่องเต้แล้ว บุคลิกก็ดูสง่างามและสุขุมขึ้นไม่น้อย
“ท่านมาได้อย่างไร?” ซูหลีถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ตั้งแต่กลับจากภูเขาซงซานพวกเขาต่างคนต่างงานยุ่ง ไม่ได้พบหน้ากันตั้งแต่นั้น
หยางเซียวกล่าวอย่างไม่พอใจเล็กน้อย “เหตุใดข้าจึงมาไม่ได้เล่า?” เขาเดินเข้ามากุมมือนาง ครั้นสัมผัสได้ว่ามือนางเย็นเฉียบ ก็พลันปวดใจ ขมวดคิ้วแล้วกล่าวว่า “อากาศเมืองหลวงแคว้นเปี้ยนไม่เหมือนที่เมืองหลวงแคว้นเฉิง เจ้าออกจากเรือนต้องสวมเสื้อผ้ามากชิ้นหน่อย” กล่าวจบ เขาก็ยกมือนางขึ้น แล้วเป่าลมอุ่นให้นาง
กลิ่นอายอบอุ่นทำให้นิ้วมือที่เย็นเยียบค่อยๆ อุ่นขึ้นมา กระทั่งอุ่นลามไปถึงหัวใจ เหตุการณ์ที่คล้ายคลึงกันนี้ ทำให้ซูหลีอดนึกถึงเรื่องในอดีตไม่ได้ หัวใจของนางเจ็บแปลบอย่างบอกไม่ถูก นางดึงมือกลับเงียบๆ แล้วกล่าวเสียงราบเรียบ “พอแล้ว ข้าไม่เป็นไร พวกเราเข้าไปคุยกันข้างในเถิด”
ทั้งสองเดินเข้าไปในเรือน ซูหลีนั่งลง เทน้ำชาแล้วยื่นให้หยางเซียว “ท่านมาหาข้าดึกขนาดนี้…มีเรื่องใดงั้นหรือ?”
หยางเซียวรับถ้วยชาจากมือนาง คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันแน่น ปากก็บ่น “พักนี้ข้ายุ่งมาก แต่ละวันได้นอนไม่ถึงสองชั่วยาม ในใจก็เอาแต่คิดถึงเจ้า ไม่ง่ายเลยกว่าจะมีเวลาว่างสักอึดใจเช่นนี้ ข้าจึงรีบมาเยี่ยมเจ้า เจ้ากลับถามคำถามประเภทนี้กับข้า อาหลี ข้าช่างปวดใจยิ่งนัก!” ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ ราวกับได้รับความอยุติธรรมอันใหญ่หลวง แต่สายตาที่มองนาง กลับเต็มไปด้วยความจริงจังอย่างไม่มีที่เปรียบ
เมื่อครู่ตอนอยู่ในสวนท้องฟ้ามืดมิด จึงมองเห็นได้ไม่ชัดเจนนัก ยามนี้ทั้งสองนั่งหันหน้าเข้าหากัน ซูหลีจึงค่อยค้นพบว่า ใต้ตาเขาดำคล้ำไปหมดแล้ว ซ้ำดวงตายังแดงก่ำ หน้าตาดูเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้ามากจริงๆ
หัวใจของนางพลันอ่อนยวบ น้ำเสียงอ่อนลงอย่างไม่รู้ตัว นางกล่าวเสียงเบา “ในเมื่อเหนื่อย เหตุใดไม่ไปพักผ่อนดีๆ เล่า? มีเรื่องใดให้คนส่งข่าวมาบอกก็ได้แล้ว”
“จะทำเช่นนั้นได้อย่างไร?” ครั้นเห็นสีหน้านางอ่อนลง หยางเซียวก็ยิ้มร่า แล้วกล่าวว่า “ข้าไม่เห็นหน้าเจ้าจะวางใจได้อย่างไร? ถ้าเกิด…มีคนแย่งเจ้าไป ข้าก็แย่น่ะสิ”
พูดได้ไม่กี่ประโยคก็หมดความจริงจัง ซูหลีกลอกตาใส่เขา แล้วเปลี่ยนเรื่อง “พิธีขึ้นครองราชย์เตรียมการไปถึงไหนแล้ว? กำหนดวันแล้วหรือยัง?”
หยางเซียวจิบชาคำหนึ่ง แล้วกล่าวอย่างเกียจคร้าน “กำหนดแล้ว วันที่แปดเดือนหน้า”
ซูหลีคำนวณในใจ ยังเหลือเวลาอีกหนึ่งเดือน
หยางเซียวนวดคลึงขมับ หลับตาแล้วถอนหายใจ ก่อนจะกล่าวว่า “เฮ้อ เมื่อก่อนตอนเสด็จพ่ออยู่ดีที่สุดแล้ว อยากทำอะไรก็ทำ ยามนี้เมื่อเป็นฮ่องเต้ มีเรื่องน้อยใหญ่เข้ามาไม่เว้นแต่ละวัน แม้แต่ยามกินข้าวก็ยังต้องอ่านฎีกาไปด้วย แล้วยังมีพิธีขึ้นครองราชย์นี่อีก น่าปวดหัวจริงๆ”
“ทำไมหรือ?”
“ปีนี้มีสงครามเกิดขึ้นบ่อย ท้องพระคลังขาดแคลน ข้าอยากจัดพิธีแบบเรียบง่าย นึกไม่ถึงว่าขุนนางเก่าแก่พวกนั้นจะไม่เห็นด้วย บอกว่านี่เป็นกฎเกณฑ์ที่บรรพบุรุษตั้งไว้ จะเปลี่ยนแปลงไม่ได้เด็ดขาด มิเช่นนั้นจะถูกแคว้นอื่นดูแคลนเอาได้ เข้าท้องพระโรงเมื่อใดก็เอาแต่พูดร่ำไรไม่ยอมหยุด ช่างน่ารำคาญยิ่งนัก! หากเป็นเมื่อก่อน ข้าต้องหาทางเล่นงานพวกเขาให้เข็ดหลาบแน่นอน แต่ตอนนี้…”
ใบหน้าหยางเซียวเต็มไปด้วยความจนใจ ซูหลีอดไม่ได้ที่จะแย้มยิ้มเบาๆ แล้วกล่าวปลอบใจเขา “พิธีขึ้นครองราชย์เป็นเรื่องใหญ่ มิอาจละเลย ท่านหารือกับพวกเขาดีๆ จะต้องมีวิธีประนีประนอมกันได้แน่ เหตุใดจึงต้องหาเรื่องกลุ้มใจเองด้วยเล่า?”
หยางเซียวไม่พูดอะไร เขาแหงนหน้ามองเพดานอย่างเหม่อลอย ไม่รู้กำลังคิดสิ่งใดอยู่ ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็หันมายิ้มให้ซูหลีเล็กน้อย “ที่เจ้าพูดมาข้าล้วนเข้าใจ แต่ข้ามักควบคุมความหงุดหงิดใจไม่ได้ หลายวันมานี้เวลานอนไม่หลับ ข้ามักคิดเสมอว่า ในวังหลวงยามนี้ ดูเหมือนว่าคนที่ข้าสามารถปรึกษาหารือกันได้ทุกเรื่อง…จะไม่มีเลยสักคน”
ถึงแม้เขากำลังแย้มยิ้ม แต่อารมณ์ที่ไหลเวียนอยู่ในดวงตาดำขลับคู่นั้นกลับเป็นความอ้างว้าง และความเจ็บปวดรางๆ ที่ไม่อาจบรรยายเป็นคำพูดได้ ครั้นนึกถึงพระราชวังอันเงียบเหงา และเวิ้งว้างมืดมิดแห่งนั้น หัวใจของซูหลีก็พลันบีบรัดเล็กน้อย จู่ๆ ก็พูดอะไรไม่ออก
…………………