กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 441 เป็นฮองเฮาของข้าเถิด (7)
ตงฟางเจ๋อกัดฟันกล่าว “ไป!”
ทั้งสองไม่ชักช้าอีก คนหนึ่งประคองซ้าย คนหนึ่งประคองขวา พากันเดินออกไปข้างนอก ผ่านไปหนึ่งเค่อ พวกเขาสามคนพยายามดำน้ำผ่านปากถ้ำ และว่ายกลับไปยังริมฝั่งอย่างรวดเร็ว
เพิ่งจะขึ้นบก อวี๋เชียนจีก็ร้องเรียกด้วยความร้อนใจ “เทียนเจิ้ง ท่านรีบมานี่เร็ว! ฝ่าบาทถูกหญ้าหานซิน…เทียนเจิ้ง!” เสียงพูดร้อนรนของนางพลันชะงักหยุด เมื่อเอ่ยถึงประโยคสุดท้ายน้ำเสียงของนางก็เปลี่ยนไป เพราะภาพที่เห็นตรงหน้าทำให้นางตกตะลึง!
หลินเทียนเจิ้งถูกมัดมือไพล่หลัง และจับกุมโดยชายร่างสูงใหญ่สองคน ซ้ำยังมีกระบี่คมเล่มหนึ่งพาดไว้ตรงลำคออีกด้วย! มุมปากของเขามีเลือดไหลออกมา อ้าปากเหมือนจะพูดอะไร สายตาอ่อนโยนแลดูร้อนรน แต่กลับเปล่งเสียงไม่ออก เห็นได้ชัดว่าถูกสกัดจุดลมปราณ
ตงฟางเจ๋อหน้าเปลี่ยนสี วรยุทธ์ของหลินเทียนเจิ้งถือว่าไม่เลว แต่เขากลับถูกสองคนนี้จับกุม เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายก็ไม่ธรรมดาเช่นกัน
“พวกเจ้าเป็นใคร?! ปล่อยเขาเดี๋ยวนี้นะ มิเช่นนั้นอย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจพวกเจ้า!” ใบหน้างดงามของอวี๋เชียนจีเต็มไปด้วยไอพิฆาต นิ้วมือทั้งห้าที่อยู่ข้างลำตัวกางออกเล็กน้อย ยาพิษที่ถูกซ่อนไว้ตรงกลางนิ้วพร้อมจู่โจม ปลิดชีพอีกฝ่ายได้ทุกเมื่อ เดิมนางก็เป็นคนของลัทธิธิดาเทพอยู่แล้ว มีนิสัยใจคอโหดเหี้ยม เห็นชีวิตคนเป็นเหมือนผักปลา หลังจากบังเกิดความรักด้วยใจจริงกับหลินเทียนเจิ้ง นิสัยโหดเหี้ยมจึงลดลงไปมาก ยามนี้ครั้นเห็นคนรักถูกจับ หัวใจของนางร้อนรุ่มดั่งไฟแผดเผา มิอาจควบคุมไอสังหารที่พลุ่งพล่านอยู่ในสายเลือดได้อีกต่อไป?
“ดี! ข้ากลับอยากรู้นัก ว่าคนทรยศเช่นเจ้าจะทำอะไรได้บ้าง?” พลันนั้น เสียงอันคุ้นเคยของคนผู้หนึ่งก็ดังมาจากด้านหลังหลินเทียนเจิ้ง คนผู้นั้นเยื้องย่างออกมาอย่างแช่มช้า เครื่องหน้าทั้งห้าของเขาหล่อเหลา สีหน้าเคร่งขรึมเย็นชา ในปลายฤดูใบไม้ร่วง เขากลับสวมเสื้อคลุมขนสัตว์หนาๆ เขาก็คือ ‘หยางเจิ้น’ เจ้าแห่งเมืองเหลียวเฉิงในยามนี้นั่นเอง!
ใบหน้าของอวี๋เชียนจีแปรเปลี่ยนเป็นซีดเผือด แววหวาดกลัวพาดผ่านดวงตาโดยสัญชาตญาณ หยางเจิ้นกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “บุรุษเพียงคนเดียวก็ทำให้เจ้าทรยศข้าได้ เสียแรงที่ข้าสู้อุตส่าห์ฝึกฝนเจ้ามาหลายปี! วันนี้ข้าจะทำให้เจ้ารู้ซึ้งว่าการทรยศข้าต้องพบกับจุดจบเช่นใด!”
สายตาของเขาแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา จู่ๆ ก็พลิกข้อมือคว้าออกไป หลินเทียนเจิ้งถูกกระชากเข้าไปตรงหน้าเขา ลำคอถูกเขาบีบแน่น ศัตรูที่ทำให้แผนการนานนับหลายปีของเขาล้มเหลวไม่เป็นท่าอยู่ตรงหน้าแล้ว ความเคียดแค้นที่ไร้หนทางระบายพลันปะทุ นิ้วมือออกแรง ใบหน้าซีดขาวของหลินเทียนเจิ้งแปรเปลี่ยนเป็นแดงก่ำไปทั้งดวง เขาหายใจไม่ออก แทบประคองสติไม่อยู่
อวี๋เชียนจีหน้าถอดสีไปทันที นางตะโกนเสียงลนลาน “อย่าทำร้ายเขา!”
“เจ้าก็กลัวเป็นด้วยหรือ?”
ครั้นเห็นใบหน้าทรมานของหลินเทียนเจิ้ง หัวใจของอวี๋เชียนจีเจ็บปวดเหมือนถูกมีดกรีด นางยืนอยู่ที่เดิมไม่กล้าขยับเขยื้อน น้ำเสียงสั่นเครือราวกับไม่อาจควบคุมตนเองได้อีก “เชียนจีทรยศท่านอ๋อง เชียนจีสมควรตาย ขอเพียงท่านอ๋องปล่อยตัวเขาไป เชียนจียอมรับผิดทุกอย่างแล้ว!”
“อย่างเจ้าน่ะหรือ?” หยางเจิ้นแค่นหัวเราะชั่วร้าย
อวี๋เชียนจีร้อนใจ หมายจะพุ่งเข้าไป แต่กลับได้ยินตงฟางเจ๋อกล่าวเสียงเย็นชาขึ้นว่า “เชียนจี ถอยไป” ใบหน้าเขาซีดเผือดไร้สีเลือด สายตากลับคมปลาบน่าเกรงขาม แผ่นหลังเหยียดตรง เงาร่างสูงใหญ่ดั่งขุนเขา แทบมองไม่เห็นร่องรอยของความอ่อนแอ
อวี๋เชียนจีตะลึงงัน แต่กลับจำต้องข่มกลั้นความร้อนรุ่มในใจ และถอยไปยืนหลังตงฟางเจ๋อตามคำสั่ง
“สมแล้วที่เป็นประมุขแห่งแคว้นเฉิง” หยางเจิ้นแสยะยิ้มชั่วร้าย รอยยิ้มดูย่ามใจอย่างบอกไม่ถูก “ผู้มีอารยะไม่กล่าวอ้อมค้อม รีบส่งของมาแต่โดยดี ข้าอาจไว้ชีวิตเขาสักครั้ง!”
ตงฟางเจ๋อใบหน้าเคร่งขรึมไม่พูดอะไร นับตั้งแต่พวกเขาเข้ามาในอาณาเขตเมืองเหลียวเฉิง พวกเขาก็เคลื่อนไหวอย่างระมัดระวังเป็นพิเศษ นึกไม่ถึงว่าจะถูกหยางเจิ้นรู้เข้า จนเลยเถิดมาถึงขั้นนี้
ครั้นเห็นตงฟางเจ๋อไม่พูดอะไร อวี๋เชียนจีก็เบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจ “ท่านหมายความว่าอย่างไร!”
หยางเจิ้นแค่นยิ้ม แล้วกล่าวว่า “พวกเจ้าเสี่ยงอันตรายดำน้ำลงไปในสระน้ำแข็ง เพื่อหญ้าหานซินพันปีมิใช่หรือ? ไม่ต้องพูดมาก หากไม่อยากให้เจ้าเด็กนี่ตาย ก็จงรีบส่งของมา! ความอดทนของข้ามีขีดจำกัด ไม่มีเวลามาพูดจาไร้สาระกับพวกเจ้าอีก!” พูดจบ ก็บีบคอหลินเทียนเจิ้งแรงขึ้นอีกหลายส่วน ใบหน้าหล่อเหลาหมดจดของหลินเทียนเจิ้งบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด สายตาร้อนรนของเขาคล้ายกำลังบอกว่า อย่ามอบหญ้าหานซินให้หยางเจิ้นเด็ดขาด
ครั้นเห็นบุรุษในดวงใจถูกทรมานเช่นนั้น อวี๋เชียนจีแทบคุมสติไม่อยู่ ตะโกนออกไปด้วยน้ำเสียงเล็กแหลม “อย่านะ!”
“ทาสผู้จงรักภักดี น่าเสียดายเลือกติดตามผิดคน!” หยางเจิ้นแค่นยิ้มเย็น “ดูท่าทางเจ้าไม่แยแสชีวิตของเขาแม้แต่น้อย เช่นนั้นข้าจะจัดการแทนเจ้าเอง!”
สายตาตงฟางเจ๋อขรึมลง เขากล่าวเสียงเย็น “หยุดเดี๋ยวนี้! ข้ามอบหญ้าหานซินให้เจ้าได้ แต่ต้องปล่อยคนก่อน”
หยางเจิ้นหรี่ตา ไอสังหารพาดผ่านดวงตาอย่างรวดเร็ว ครั้นนึกถึงกับดักที่ตงฟางเจ๋อวางไว้ที่ภูเขาซงซานเพื่อจับตัวเขา ซ้ำยังกำจัดวรยุทธ์ของเขาจนสิ้น ยามนี้กรรมตามสนอง ตงฟางเจ๋อได้กลายเป็นลูกไก่ในมือเขาแล้ว! หยางเจิ้นค่อยๆ หดมือกลับ แล้วหัวเราะอย่างหยิ่งผยอง “ตงฟางเจ๋อ ที่นี่คือเหลียวเฉิง เจ้าได้กลายเป็นเนื้อที่วางอยู่บนเขียงของข้าแล้ว เจ้าคิดว่าตนเองมีสิทธิ์อะไรมาต่อรองกับข้างั้นหรือ?”
ตงฟางเจ๋อแค่นยิ้ม แล้วกล่าวเสียงเข้มว่า “เจ้าอยากได้หญ้าหานซิน มิใช่เพราะต้องการใช้มันฟื้นฟูวรยุทธ์หรอกหรือ บอกเจ้าตามตรง ใต้สระน้ำแข็งนี้ ไม่มีหญ้าหานซินต้นที่สองอีกแล้ว!” เขาหยิบกล่องหยกไปจากมืออวี๋เชียนจี ค่อยๆ เปิดฝากล่องออก ในกล่องหยกมีหญ้าลักษณะคล้ายผลึกน้ำแข็งอยู่หนึ่งต้นดังคาด
ดวงตาของหยางเจิ้นเป็นประกายขึ้นมาทันที เขาตวาดเสียงเข้ม “เอามาให้ข้า!”
“ปล่อยคน แล้วมันจะกลายเป็นของเจ้า”
หยางเจิ้นหรี่ตา ตงฟางเจ๋อกลับกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงไม่ยี่หระ “หญ้าหานซินขึ้นบนผนังน้ำแข็ง ทันทีที่สัมผัสวัตถุที่มีอุณหภูมิอุ่น จะแห้งเหี่ยวทันที เจ้าอยากลองหรือไม่เล่า?” นิ้วมือของเขาไล้ผ่านกล่องหยกเบาๆ อยู่ห่างจากหญ้าหานซินต้นนั้นเพียงครึ่งนิ้ว
ใบหน้าของหยางเจิ้นสับสน คล้ายกำลังชั่งใจ ตงฟางเจ๋อสังเกตเห็นเช่นนั้น ก็แค่นหัวเราะเย็นชา “หญ้าหานซินพันปีมีแค่หนึ่งต้น แล้วมันก็เป็นเพียงโอกาสเดียวของเจ้า หากทำลายมัน เจ้าก็ทำอะไรข้าไม่ได้!”
กล้ามเนื้อบนใบหน้าหยางเจิ้นกระตุกสั่น เขาจ้องหน้าตงฟางเจ๋อด้วยสายตาเคร่งเครียด ความสามารถและกลอุบายของตงฟางเจ๋อ เขาล้วนเคยสัมผัสมาด้วยตนเอง ย่อมมิกล้าดูเบา แต่ครั้นคิดดูอีกที อาศัยแค่คนเหล่านี้ไม่กี่คน อีกทั้งยามนี้พวกเขายังอยู่ในเมืองเหลียวเฉิง คงไม่กล้าเล่นตุกติกอันใดอีก!
ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจได้ รอยยิ้มเย็นชาพาดผ่านกลีบปากอย่างรวดเร็วจนแทบสังเกตไม่เห็น “ได้! คนแลกของ ของแลกคน”
สายตาของตงฟางเจ๋อไหวระริก เขาชี้ไปที่ก้อนหินก้อนหนึ่งที่อยู่ห่างออกไปยี่สิบก้าวด้านหน้า แล้วกล่าวเสียงขรึม “เจ้าปล่อยให้เขาเดินไปจนถึงตรงนั้น แล้วข้าจะมอบหญ้าหานซินให้เจ้า!”
หยางเจิ้นโบกมือเล็กน้อย องครักษ์คลายจุดลมปราณให้หลินเทียนเจิ้งทันที หลินเทียนเจิ้งส่งเสียงไอสองสามครั้ง ลมหายใจจึงค่อยกลับมาเป็นปกติ สายตาที่ทอดมองมาร้อนใจสุดแสน เขารีบออกเดินไปที่ก้อนหินก้อนนั้น ขณะก้าวเดินก็ส่งสายตาให้ตงฟางเจ๋อไปด้วย
อวี๋เชียนจีตึงเครียดทันที แต่กลับเดาไม่ออกว่าเขาต้องการสื่ออะไร เพียงจ้องมองเขาไม่วางตา เตรียมพร้อมจู่โจมเต็มที่
ชั่วขณะหนึ่ง ริมสระน้ำแข็งเงียบงันไร้สรรพเสียง ทุกคนต่างจดจ้องทุกอิริยาบถของอีกฝ่ายอย่างไม่ยอมละสายตา ด้วยกลัวว่าหากเผลอไผลแม้แต่น้อยจะเป็นเหตุให้เกิดความผิดพลาด
ฝีเท้าของหลินเทียนเจิ้งแผ่วเบา เขาเพิ่งจะเดินโซซัดโซเซไปถึงข้างก้อนหินก้อนนั้น หยางเจิ้นก็พลันตะโกนเสียงดัง “ตงฟางเจ๋อ!”
ตงฟางเจ๋อก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว แย้มยิ้มเย็นชา แล้วกล่าวว่า “เจ้ากลัวอะไรกัน?” เอ่ยจบ เขาก็ขว้างกล่องหยกในมือออกไปสุดแรง กล่องหยกใบนั้นพุ่งแหวกอากาศออกไปเป็นเส้นโค้ง องครักษ์คนหนึ่งเหินทะยานขึ้นไปรับกลางอากาศ เท้าเพิ่งสัมผัสพื้น หยางเจิ้นก็รีบพุ่งเข้าไปฉกชิงกล่องหยกมาจากมือเขาทันที!
ขณะเดียวกัน อวี๋เชียนจีกับเซิ่งฉินก็รีบวิ่งเข้าไปประคองหลินเทียนเจิ้ง แล้วพากลับมายังพื้นที่ปลอดภัยริมสระ ดวงตาของอวี๋เชียนจีเอ่อล้นไปด้วยน้ำตา นางถามด้วยความร้อนใจ “เทียนเจิ้ง เจ้าเป็นอะไรหรือเปล่า?”
……………………