กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 443 เป็นฮองเฮาของข้าเถิด (9)
ซูหลีขอบตาร้อนผ่าว นางพยายามข่มกลั้นความเศร้าในใจ นางแค่อยากให้เขามีชีวิตอยู่ต่อไปอย่างสงบสุข แต่ความปรารถนาอันเรียบง่ายนี้ กลับกลายเป็นความหวังลมๆ แล้งๆ
“เสด็จน้า…”
มองดูดวงตาแดงก่ำ คล้ายมีประกายน้ำตาอาบรื้น ถึงแม้ลมหายใจของหยางเจิ้นจะรวยริน แต่ราศีอันน่าเกรงขามของเขากลับไม่จางลงแม้แต่น้อย เขาสั่งนาง “ห้าม…ร้องไห้!”
ร่างกายของหยางเจิ้นโอนเอน ซูหลีรีบเข้าไปประคอง เขาผลักนางออกอีกครั้ง หอบหายใจถี่ๆ แล้วจ้องหน้าตงฟางเจ๋อเขม็ง ปากก็พึมพำ “ดี ดีเหลือเกิน! ข้าหยางเจิ้นฉลาดปราดเปรื่องมาทั้งชีวิต วางแผนมานานนับสิบปี กลับล้มเหลวไม่เป็นท่าด้วยน้ำมือเจ้าครั้งแล้วครั้งเล่า! ดี! ตงฟางเจ๋อเจ้าร้ายกาจมาก!”
ตงฟางเจ๋อก้าวเข้ามาหนึ่งก้าว แล้วกล่าวเสียงขรึม “เจ้าวางใจเถิด ข้าได้หญ้าหานซินมาแล้ว จะไม่มีวันทำอะไรทายาทของเจ้าแน่ ข้า เดิมทีมิได้อยากเป็นศัตรูกับเจ้า เพียงแต่…”
“เพียงแต่เพื่อนางในดวงใจ เจ้ายอมทุ่มเทความคิดและกำลังทั้งหมด! ไม่ลังเลที่จะทำผิดกฎซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไม่เกรงกลัวใครหน้าไหนทั้งสิ้น!” เขาหัวเราะเสียงดัง ก่อนจะกระอักเลือดออกมาคำใหญ่!
ซูหลีประคองเขาด้วยความร้อนใจ พลางร้องบอกเขา “เสด็จน้าอย่ารับสั่งอะไรอีกเลยเพคะ อาหลีจะส่งท่านไปลัทธิธิดาเทพ ต้องมีหนทางรักษาท่านได้แน่!”
“ไม่ต้อง ชีวิตของข้าขึ้นอยู่กับฟ้าลิขิต ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเจ้า” เขาคำรามเสียงดัง ใบหน้าเขียวคล้ำ เลือดไหลเป็นสาย ดูน่ากลัวและน่าสังเวชอย่างบอกไม่ถูก มีเพียงนัยน์ตาคู่นั้น ที่ยังคงมีแววเคียดแค้นและทะนงตนไม่จางหาย เขาหันมามองซูหลี แล้วพึมพำว่า “เหมือนเหลือเกิน เหตุใดจึงเหมือนถึงเพียงนี้?!”
ซูหลีอึ้งงัน “เสด็จน้ารับสั่งอะไรหรือเพคะ?”
“พี่สาว เจิ้น จะไปอยู่กับท่านแล้ว” รอยยิ้มพาดผ่านใบหน้าหยางเจิ้น พลันนั้น จู่ๆ เขาก็คล้ายนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ กุมมือนางแน่น โน้มกายลงไปข้างหูนาง แล้วกล่าวอย่างยากลำบาก “อาหลี…บิดาบังเกิดเกล้าของเจ้า…เคยอยู่ที่หุบเขาอวี๋ชิง…ไปหา…”
น้ำเสียงของเขาอ่อนแรงลงเรื่อยๆ ศีรษะเอียงเล็กน้อย สิ้นลมไปทั้งอย่างนั้น! ดวงตาของเขาเบิกกว้าง คล้ายไม่ยินยอม ร่างกายแข็งทื่ออยู่ในท่ายืนหลังเหยียดตรง ราวกับก้อนหินใหญ่กลางขุนเขา ที่ไม่ยอมล้มลงแม้ในช่วงชีวิตสุดท้าย
“ท่านอ๋อง!” องครักษ์ประจำกายสองคนของหยางเจิ้นขานเรียกด้วยความเศร้าโศก ก่อนจะคุกเข่าลงอย่างพร้อมเพรียง กลุ่มทหารด้านหลังเองก็พากันคุกเข่าอย่างเงียบๆ
ซูหลีประคองร่างของหยางเจิ้น เงียบงันเหมือนหินสลัก ยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับเขยื้อน เนิ่นนานก็ยังไม่ยอมปล่อยมือ
สายลมปลายฤดูใบไม้ร่วงพัดผ่าน ผิวน้ำสีฟ้าครามในสระน้ำแข็งก่อตัวเป็นระลอกคลื่นเล็กๆ ต้นไม้ใบหญ้าบนภูเขาเหมือนดั่งคลื่นที่กำลังป่วนพล่าน รอบด้านเงียบสงัด มีเพียงเสียงหวีดหวิวของสายลม ที่ดังสะท้อนอยู่ในหุบเขา
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใดแล้ว ตงฟางเจ๋อเดินเข้าไปตรงหน้าซูหลีเงียบๆ สายตาสงบนิ่งผิดปกติของนาง ทำให้หัวใจของเขาบีบรัดอย่างบอกไม่ถูก เขายื่นมือไปลูบหัวไหล่นาง พลางกล่าวเสียงเบา “คนตายแล้วไม่อาจฟื้นคืน ซูซู เจ้าต้อง…ระงับความเศร้า”
ซูหลีตัวสั่นเล็กน้อย นางปัดมือเขาออก ก่อนจะค่อยๆ เงยหน้าขึ้น นัยน์ตาดำขลับดั่งน้ำหมึกบนใบหน้าซีดขาว ลึกล้ำจนมองไม่เห็นจุดสิ้นสุด มองไม่เห็นร่องรอยของอารมณ์ความรู้สึกแม้แต่น้อย นางเพียงจ้องมองเขาอยู่อย่างนั้น คล้ายต้องการมองไปถึงสิ่งที่ซ่อนอยู่ในส่วนลึกของหัวใจเขามาโดยตลอด ผ่านไปครู่หนึ่ง นางก็เอ่ยปากออกมาทีละคำๆ ด้วยน้ำเสียงแช่มช้า “เหตุใดท่านจึงไม่ยอมปล่อยเขาไป?”
หัวใจของตงฟางเจ๋อหนักอึ้ง ขมวดคิ้วกล่าวว่า “มิใช่ว่าข้าตั้งใจเป็นศัตรูกับเขา! เพียงแต่เขายังไม่ยอมละทิ้งความทะเยอทะยาน ไม่ยอมกลับตัวกลับใจ!”
“งั้นหรือ? เช่นนั้นข้าขอถามท่าน เหตุใดท่านจึงมาอยู่ที่นี่?” น้ำเสียงของซูหลีแฝงแววบีบคั้นรางๆ ลมหายใจของตงฟางเจ๋อสะดุด กลีบปากขยับเล็กน้อย ความรู้สึกขมฝาดประดังเข้ามา
“ที่แห่งนี้เต็มไปด้วยหิมะและน้ำแข็ง ไม่มีทางที่คนมีพิษเย็นในร่างกายเช่นท่านจะมาอยู่ที่นี่โดยไร้เหตุผลแน่นอน! ท่านมีจุดประสงค์ใดกันแน่?!” ซูหลีก้าวเข้ามา เขากลับถอยหลังหนึ่งก้าว สายตาสองคู่สานประสบ ไร้ซึ่งความหวานละมุน และไม่อาจสื่อถึงกันดังเช่นในอดีตอีก เหลือก็เพียงความเคลือบแคลงและความเจ็บปวดไม่มีที่สิ้นสุด
เขาสับสนลังเล สายตาเจ็บปวดยากจะทานทน “เจ้าคิดว่า ข้ามาที่นี่เพราะหยางเจิ้น?”
“ไม่เช่นนั้นเพื่ออะไรเล่า?” นางบีบคั้นไม่ยอมลดละ คล้ายต้องการหาความลับที่ซ่อนอยู่ในใจเขาให้ได้
ตงฟางเจ๋อสูดหายใจลึกๆ แล้วกล่าวกับนางทีละคำๆ อย่างชัดเจน “ถ้าหากข้าบอกว่า ข้ามาที่นี่ เพียงเพื่อมาเอาของที่จำเป็นมากอย่างหนึ่งเท่านั้น นอกเหนือจากนี้ ก็ไม่มีความคิดอื่นใดอีก เจ้า จะเชื่อหรือไม่?” น้ำเสียงของเขาหนักแน่นและแช่มช้า แต่กลับแฝงความตึงเครียดไว้รางๆ
“ของอะไรสำคัญถึงเพียงนี้? สำคัญจนถึงขั้นที่ท่านไม่สนใจร่างกายตนเอง?” ซูหลีไม่ยอมลดราวาศอกแม้แต่น้อย น้ำเสียงแฝงแววเสียดสีรางๆ จับจ้องการเปลี่ยนแปลงทางสีหน้าของเขาไม่ยอมวางตา
สายตาเคลือบแคลงสงสัยของนางชัดเจนถึงเพียงนี้ นางไม่เชื่อเขาแม้แต่น้อย นางสงสัยเขามาโดยตลอด!
ตงฟางเจ๋อกำกล่องหยกในมือแน่น หัวใจบีบรัดเจ็บปวด ความผิดหวังอย่างรุนแรงกลืนกินเขาทั้งตัว เงียบงันอยู่ครู่หนึ่ง ก็ถอนหายใจแล้วกล่าวว่า “ของในกล่องนี้ สำคัญกว่าร่างกายข้าจริงๆ เพราะมันเกี่ยวข้องกับคนรักของข้า!”
ซูหลีตะลึงงันไปกับคำพูดของเขา ในดวงตาลึกล้ำคู่นั้นเต็มไปด้วยความรักอันลึกซึ้งที่ไม่คิดปิดบัง คล้ายคลื่นทะเลที่ซัดสาดเข้ามากลืนกินนางในพริบตา ลมหายใจของนางสะดุดไปทันที ผ่านไปครู่หนึ่ง จึงค่อยตั้งสติได้ นางหันหน้าหนีไม่กล้ามองเขา เพียงถามเสียงเบา “ถึงแม้ท่านจะมาเพื่อสิ่งนี้ แล้วเสด็จน้าจะถูกพิษได้เช่นไร?”
ตงฟางเจ๋อขมวดคิ้ว กลับตอบคำถามนางไม่ได้ หยางเจิ้นตายเพราะยาพิษ เรื่องนี้อยู่นอกเหนือความคาดหมายของเขาโดยสิ้นเชิง เกรงว่าละครยืมดาบฆ่าคนฉากนี้ จะไม่ได้ง่ายดายดังเช่นที่เห็นภายนอก
“ของที่อยู่ในกล่องคือสิ่งใด?” สายตาของซูหลีจับจ้องอยู่ที่กล่องหยกในมือเขา นางไม่ลืมว่าเมื่อครู่เสด็จน้าถือของสิ่งนั้นไว้ในมือ และสีหน้าแตกตื่นเช่นนั้นของเขา ก็ทำให้นางอดสงสัยไม่ได้
“หญ้าหานซินพันปี”
เขาตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย แต่กลับเหมือนสายฟ้าฟาดลงมา ซูหลีหน้าซีด ที่แท้ของวิเศษในตำนานที่เล่าขานกันว่าสามารถฟื้นคืนวรยุทธ์ให้แก่คนที่ถูกทำลายวรยุทธ์ได้กลับมีอยู่จริงงั้นหรือ! นางยื่นมืออกไป กล่าวด้วยน้ำเสียงใจเย็น “เอามาให้ข้า”
ตงฟางเจ๋อหน้าเปลี่ยนสี “เจ้าจะเอามันไปทำอะไร?” จู่ๆ สีหน้านางก็เยือกเย็นลงเช่นนี้ ทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจนัก
“เมื่อครู่เสด็จน้าบอกว่า ท่านวางอุบายไว้บนกล่อง เขาบอกว่าท่านทำร้ายเขา ข้าย่อมมีเหตุผลให้สงสัยว่าของสิ่งนั้นมีปัญหา”
“เจ้าไม่เชื่อข้า?” ลมหายใจของตงฟางเจ๋อสะดุด แววเจ็บปวดพรั่งพรูในสายตา
แววตาเจ็บปวดของเขาจู่โจมหัวใจนาง ซูหลีหลบตา กล่าวเสียงเย็นชา “หากอยากให้ข้าเชื่อ ท่านก็ต้องมอบของสิ่งนั้นให้ข้า”
“ไม่ได้!” ตงฟางเจ๋อปฏิเสธเสียงเข้ม “หญ้าหานซินมีเพียงต้นเดียว มันสำคัญกับข้ามาก ข้ามอบมันให้เจ้าไม่ได้จริงๆ ซูซู เจ้าเชื่อข้าเถิด ข้ารับรองได้ว่าของสิ่งนี้ไม่มีปัญหาใดจริงๆ!”
“ท่านเอาอะไรมามั่นใจขนาดนี้? หรือว่า…เป็นเพราะท่านร้อนตัวจึงไม่กล้ามอบมันให้ข้า?” ครั้นเห็นเขาปฏิเสธทันควันเช่นนั้น หัวใจของซูหลีเย็นเยียบ เอ่ยวาจาเสียดแทงหัวใจ
แววเจ็บปวดพาดผ่านใบหน้าตงฟางเจ๋อ เขากัดฟันกล่าวว่า “ข้าไม่ได้เป็นคนฆ่าหยางเจิ้นจริงๆ! เหตุใดเจ้าจึงไม่ยอมเชื่อข้า?”
“ข้าเชื่อสายตาตนเอง!” นางเองก็อยากเชื่อเขา แต่ท่าทางน่าสงสัยของเขาทำให้หัวใจนางจมดิ่งสู่ก้นบ่อ ผิดหวังอย่างถึงที่สุด ไม่รอให้เขาเอ่ยปาก นางก้าวเข้ามาประชิดตัวเขา แล้วกล่าวเสียงเย็นชา “ท่านรู้แต่แรกแล้วว่าเสด็จน้าต้องการหญ้าหานซิน ฉะนั้นจึงได้ชิงหามันให้เจอก่อนเขาหนึ่งก้าว จากนั้นก็วางอุบายไว้บนกล่องหยกใบนี้ แล้วลวงให้เขาช่วงชิงไป! ตงฟางเจ๋อ ความคิดของท่านไม่มีผู้ใดเทียบได้จริงๆ! หมากกระดานนี้ช่างวางได้อย่างแยบคายไร้ที่ติยิ่งนัก!”
…………………….