กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 444 เป็นฮองเฮาของข้าเถิด (10)
“ที่แท้เจ้า…ก็คิดกับข้าเช่นนี้?” ตงฟางเจ๋อตกตะลึง มือที่กำกล่องหยกสั่นเทาอย่างไม่อาจควบคุม
“หรือข้าพูดผิด? วันนั้นที่ภูเขาซงซานก็เช่นกัน หากมิใช่ข้าไปถึงทันเวลา เกรงว่าท่านคงไม่ทำแค่ทำลายวรยุทธ์เขาทิ้งกระมัง! ไม่มีผู้ใดรู้ว่าวันนั้นท่านกับหยางเซียวทำข้อตกลงอันใดกันในรถม้า ตงฟางเจ๋อ ท่านไม่เคยเปิดเผยอย่างตรงไปตรงมากับข้าเลยสักครั้ง แล้วท่านมีสิทธิ์อะไรมาขอให้ข้าเชื่อท่านอย่างไม่มีข้อแม้?!” นางกล่าววาจาเร็วขึ้นเรื่อยๆ มิอาจปกปิดคลื่นความเจ็บปวดที่ซ่อนอยู่ในใจไว้ได้ ความเคลือบแคลงที่สั่งสมมาตั้งแต่ในอดีต ระเบิดออกมาพร้อมกันทั้งหมดในยามนี้!
ตงฟางเจ๋อหน้าซีด สายตาเริ่มพร่ามัว ไอเย็นที่พยายามข่มกลั้นไว้เมื่อครู่มีวี่แววว่าจะกำเริบอีกครั้ง อวัยวะภายในคล้ายถูกปั่นรวมกัน ร่างกายโอนเอน แทบหยัดยืนไม่อยู่
เห็นเขาเงียบงันไม่พูดจา ซูหลีประชิดเข้าไปอีกหนึ่งก้าว ในดวงตาดำขลับปรากฏแววสิ้นหวังรางๆ นางกล่าวเสียงแข็ง “เหตุใดการตายของคนในครอบครัวข้า จำต้องเกี่ยวข้องกับท่านทุกครั้งไป?! ท่านรู้หรือไม่ เรื่องที่ข้าเสียใจที่สุดในชีวิตนี้ ก็คือการได้รู้จักท่าน ตลอดชีวิตที่เหลือต่อจากนี้ ข้าไม่อยากเห็นหน้าท่านอีก! ไปให้พ้น!”
วาจาตัดขาดอย่างเลือดเย็นหลุดออกจากปาก หัวใจของทั้งสองแหลกสลายไปพร้อมกัน
“ซูซู…ไม่…” ไอเย็นแผ่ลามไปทั่วร่างกาย เขาหลับตา หอบหายใจอย่างยากลำบาก ยื่นมือออกไปหมายจะจับมือนาง แต่กลับถูกนางผลักออกอย่างแรง!
แววตาเย็นชาไร้เยื่อใยของนางทำลายป้อมปราการในหัวใจเขา โดยไม่ทันตั้งตัว เขาเสียหลักเซไปข้างหลัง จ้องมองดวงตาที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดโศกเศร้าอย่างไม่อาจบรรยายของนาง อ้าปากหมายจะพูด แต่กลับเปล่งเสียงไม่ออกแม้แต่น้อย ไอเย็นที่ถูกสะกดไว้ในร่างกายพลันปะทุ เขาทนไม่ไหวอีกต่อไป ภาพตรงหน้ามืดมิดไปทันที เงาร่างสูงใหญ่ล้มตึงไปด้านหลัง
ซูหลีหน้าซีด หมายจะพุ่งเข้าไปดึงเขาไว้โดยสัญชาตญาณ แต่ก้าวออกไปได้ก้าวเดียว ก็จำต้องข่มใจไว้ นางมองดูเขาล้มลงไปต่อหน้าต่อตา รู้สึกราวกับหัวใจของนางกระแทกลงบนพื้นไปพร้อมกับร่างกายของเขา และแตกเป็นเสี่ยงๆ ในวินาทีนั้น!
ตงฟางเจ๋อหน้าซีดเหมือนกระดาษ สายตาไร้จุดหมาย แต่กลับจ้องมองมายังจุดที่นางยืนอยู่ไม่ละสายตา ซูหลีกัดเม้มกลีบปากอย่างแรง เลือดซึมออกมาอย่างไม่รู้ตัว
“ฝ่าบาท!” เซิ่งฉินกับเซิ่งเซียวหน้าถอดสี รีบพุ่งเข้าไปประคองตงฟางเจ๋อ
หลินเทียนเจิ้งเห็นท่าไม่ดี ไม่มีเวลาห่วงอาการบาดเจ็บของตนเอง รีบเข้าไปตรวจชีพจร แล้วหน้าก็เปลี่ยนสีไปทันที เขากล่าวเสียงเบา “ฝ่าบาทบาดเจ็บหนักมาก! ต้องรีบลงเขาเดี๋ยวนี้” เอ่ยจบ ทุกคนไม่รอช้า เซิ่งฉินแบกตงฟางเจ๋อขึ้นหลังแล้วพุ่งทะยานไปทางปากทางเข้าหุบเขาทันที
ขณะอวี๋เชียนจีเดินผ่านซูหลี นางชะงักเท้า กล่าวเสียงเบาหนึ่งประโยค “ไม่ว่าท่านธิดาเทพจะเชื่อหรือไม่ก็ตาม เชียนจีก็จะขอพูดเพื่อความเป็นธรรมประโยคหนึ่ง การตายของเซียวอ๋อง ไม่เกี่ยวกับฝ่าบาทจริงๆ บนโลกนี้ ไม่มีหัวใจของบุรุษใด ที่เทียบได้กับหัวใจของพระองค์ที่มีต่อท่านอีกแล้ว”
กลีบปากของซูหลีสั่นเทา นางพูดไม่ออก ฟังเสียงฝีเท้าที่ห่างออกไปอย่างรีบร้อน นางกลับไม่หันไปมอง แล้วก็ไม่มีแรงหันกลับไปด้วย หัวใจที่เขามีต่อนาง นางไม่เคยสงสัยมัน เพียงแต่ความรู้สึกนี้ มีเรื่องราวสับสนและเจ็บปวดรวมอยู่ด้วยมากมายเหลือเกิน นางไม่มีทางคาดเดาได้ว่าใจเขาคิดสิ่งใดอยู่ ยามนางกล่าวประโยคนั้นออกไป ลึกๆ ในใจนางก็ไม่ได้เจ็บน้อยไปกว่าเขาเลย
อดีตที่ไม่อาจหวนกลับไป นางไม่เคยปล่อยวางมันได้เลยสักครั้ง อนาคตแสนสุข ก็เหมือนกับความคิดของเขา ที่เลือนรางห่างไกลเหมือนอยู่ในม่านหมอก เป็นเพียงภาพลวงตาที่ไม่มีวันเอื้อมถึง
ความรักที่ต้องทรมานเช่นนี้ ยังจะกำแน่นไว้เพื่ออะไรอีก? มิสู้ปล่อยมือเสียดีกว่า
ลมภูเขาพัดผ่าน กลิ่นคาวเลือดริมสระน้ำแข็งไม่รู้จางหายไปตั้งแต่เมื่อใด เหลือไว้เพียงความเจ็บปวดที่เสียดแทงเข้าไปถึงกระดูก เนิ่นนาน ซูหลีจึงค่อยกล่าวด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “พวกเจ้าช่วยส่งเสด็จน้ากลับไปแทนข้าที”
“แล้วคุณหนูล่ะเจ้าคะ?” หวั่นซินมองนางด้วยสายตากังวล
สายตาของซูหลีทอดมองออกไปไกลๆ มีแววเศร้าโศกเจ็บปวดเจือปน “ข้าอยากอยู่คนเดียวเงียบๆ”
หวั่นซินยิ่งเป็นห่วง หมายจะอ้าปากพูดแต่ก็หยุด เซี่ยงหลีส่ายหน้าเงียบๆ เป็นเชิงบอกให้นางไม่ต้องพูดมาก เจียงหยวนถอนหายใจเบาๆ “ถ้าอย่างนั้น พวกข้าจะกลับไปก่อน เจ้าสำนักอยู่ข้างนอกเพียงลำพัง ต้องระวังตัวให้มากนะขอรับ!”
รอบสระน้ำแข็งพลันเงียบงันไร้เสียง ยอดภูเขาที่ปกคลุมไปด้วยหิมะสีเงินส่องประกายเจิดจรัสอยู่ภายใต้แสงตะวัน นางรู้สึกเพียงรอบกายหนาวเหน็บ ค่อยๆ ก้าวเดินไปบนยอดเขา ณ จุดสูงสุดของเมืองเหลียวเฉิง สามารถมองเห็นทหารรักษาการณ์เขตชายแดนของสองแคว้น ชายฝั่งอีกด้านหนึ่งของแม่น้ำกว้างใหญ่สายหนึ่ง เห็นต้นไม้เขียวบุปผางามรางๆ ราวกับเป็นโลกอีกใบ
ซูหลีพลันชะงักเท้า จ้องมองทางแยกด้านหน้า ความคิดหนักอึ้ง ประโยคที่เสด็จน้าพูดก่อนสิ้นใจ เหมือนดั่งมนต์คำสาป ที่วนเวียนอยู่ในใจนางไม่ยอมจางหายไป
หุบเขาอวี๋ชิง…คือที่ใดกัน? บิดาบังเกิดเกล้าของนาง…เป็นผู้ใด?
นางตัดสินใจทันที รีบกระโดดขึ้นหลังม้า สอบถามตลอดทางว่าหุบเขาอวี๋ชิงอยู่ที่ใด กลับพบว่าอยู่ห่างจากที่นี่ไม่ไกล อยู่ในอาณาเขตของแคว้นติ้ง นางตะบึงม้าด้วยความเร็ว เดินทางมาถึงหุบเขาโดยใช้เวลาเพียงวันเดียว หุบเขาอวี๋ชิงคับแคบและคดเคี้ยว ไม่เหมาะกับการขี่ม้า นางทำได้เพียงผูกม้าไว้ที่ปากทางเข้าหุบเขา แล้วเดินเท้าเข้าไปเพียงลำพัง ยามนี้ ผืนฟ้าเริ่มมืดสลัว หุบเขาในยามกลางคืนหนาวเหน็บเหมือนสายน้ำ จุดที่ลมพัดผ่าน ใบไม้เสียดสีดังสวบสาบ โชคดีที่เส้นทางในหุบเขาไม่ได้เดินลำบากมากนัก นางเดินไปพลาง ค้นหาอย่างละเอียดไปพลาง
ขณะที่ท้องฟ้าใกล้สาง นางก็มาถึงจุดที่อยู่ลึกในหุบเขา ภูเขาเขียวเหมือนมรกต หน้าผาด้านหน้าถูกเถาวัลย์ที่เติบโตและแผ่ลามอย่างบ้าคลั่งปกคลุม กลิ่นหอมหวนของดอกกุ้ยฮวากลับลอยมาตามอากาศ ซูหลีสะดุดใจ บริเวณโดยรอบมองไม่เห็นดอกกุ้ยฮวา เหตุใดจึงมีกลิ่นหอมได้? นางแยกแยะกลิ่นอย่างละเอียด ค้นพบว่ากลิ่นนี้กลับลอยออกมาจากด้านหลังหน้าผาที่ถูกเถาวัลย์ปกคลุมจนมิด
นางเดินเข้าไปแหวกเถาวัลย์ออก ด้านหลังหน้าผาที่ถูกปกคลุมไปด้วยกิ่งก้านสาขา พลันปรากฏรอยแยกเส้นหนึ่ง! กลิ่นหอมเข้มข้นขึ้นทันที ซูหลีเพ่งสายตามอง รอยแยกนั้นกว้างประมาณหนึ่งคนผ่าน อีกด้านหนึ่งมองเห็นดอกไม้ใบหญ้าอุดมสมบูรณ์รางๆ นางแทรกตัวเข้าไปในรอยแยกเส้นนั้นอย่างระมัดระวัง ภาพทิวทัศน์ตรงหน้าทำให้นางตะลึงงันไปทันที
ชั่วขณะนั้น แสงอาทิตย์ลอยขึ้นเหนือชั้นเมฆ ประกายแสงเรืองรองส่องลงมายังแดนดอกท้อที่ตัดขาดจากโลกภายนอกแห่งนี้ ดอกกุ้ยฮวาที่บานสะพรั่งไปทั่วผืนป่า ทำให้ผู้มาเยือนรู้สึกเหมือนหลงเข้ามาในทะเลบุปผา ณ จุดสิ้นสุดของป่ากุ้ยฮวา มีบ้านไม้หลังเล็กๆ ตั้งอยู่หนึ่งหลัง เหมือนกับรอคอยอยู่ตรงนั้นมานับพันหมื่นปี
ราวกับถูกพลังงานที่มองไม่เห็นดึงดูด ซูหลีค่อยๆ ก้าวเท้าเดินไปยังบ้านหลังนั้น ไม่มีคนมาเยือนที่นี่นานแล้ว มีคราบฝุ่นเต็มไปหมด ในบ้านตกแต่งอย่างแสนเรียบง่าย ห้องด้านนอกมีโต๊ะหนึ่งตัวเก้าอี้สองตัว ห้องด้านในมีเตียงหนึ่งตัว บนหมอนมีผ้าไหมสีเหลืองอ่อนพับวางไว้ นอกเหนือจากนี้ ก็ไม่มีอะไรอย่างอื่นอีกเลย
ซูหลีค่อยๆ เดินไปเปิดออกดู ขอบตาพลันร้อนผ่าว น้ำตาแทบไหลริน สตรีในภาพดูอายุรุ่นราวคราวเดียวกับซูหลีในยามนี้ นางยืนอยู่ใต้ต้นกุ้ยฮวา สวมอาภรณ์สีขาว บุคลิกงามสง่า พวงแก้มแดงระเรื่อ ในดวงตาดำขลับเต็มไปด้วยรอยยิ้มอิ่มเอม งดงามจนไม่เหมือนมนุษย์ ถึงแม้เวลาจะผ่านมาเนิ่นนานสิบกว่าปี นางก็ยังจำได้ทันทีตั้งแต่แวบแรก สตรีนางนี้ก็คือเสด็จแม่ของนาง ‘หรงซีจิน’!
ในวินาทีนี้ ซูหลีแทบจะมั่นใจได้ทันที คนที่วาดภาพเหมือนคนนี้ จะต้องเป็นบุรุษที่ซ่อนอยู่ในดวงใจของเสด็จแม่มาทั้งชีวิต หรือก็คือบิดาบังเกิดเกล้าของนางอย่างแน่นอน!
เขา เป็นใครกันแน่?
ปลายนิ้วลูบไล้ดวงหน้างดงามของสตรีในภาพ ซูหลีคล้ายสัมผัสได้ถึงความสุขที่เกิดจากใจของคนทั้งสอง ในความทรงจำ น้อยครั้งมากที่เสด็จแม่จะยิ้ม ในดวงตาของนางมักมีแววเศร้าหมองเจือปนอยู่รางๆ ถึงแม้ยิ้ม ก็เป็นรอยยิ้มที่บางเบาเหมือนแมลงปอแตะผิวน้ำ และจางหายไปอย่างรวดเร็ว เสด็จแม่เคยยิ้มสดใสถึงเพียงนี้มาก่อนเสียที่ไหน
……………………………………