กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 447 เป็นฮองเฮาของข้าเถิด (13)
ซูหลียืนอยู่หน้าประตูทางเข้าลานกว้าง ภาพของสตรีชุดแดงท่าทางกล้าหาญเยี่ยงบุรุษเหมือนยังชัดเจนอยู่ตรงหน้า นางกำลังฝึกยิงธนูอยู่ในสนาม สายตาของซูหลีพลันเย็นชา
หยางเซียวค่อยๆ กวาดมองไปรอบๆ เขาเดินไปที่ชั้นวางอาวุธ ลูบธนูยาวที่หยางเสวียนมักใช้เป็นประจำในอดีต สายตาแฝงแววเศร้าโศกรางๆ เขาถอนหายใจยาวๆ แล้วกล่าวว่า “ยามยังมีชีวิตอยู่เสวียนเอ๋อร์ชอบขี่ม้ายิงธนูเป็นที่สุด ที่นี่ไม่เคยเปลี่ยนไปเลย ยังคงเหมือนตอนที่นางจากไปทุกอย่าง”
ใบหน้าของซูหลีแปรเปลี่ยนเป็นเฉยชา สตรีนางหนึ่งกลับมีความคิดซับซ้อน และใช้วิธีการอันเหี้ยมโหดถึงเพียงนั้น แม้แต่บุรุษหลายคนก็ยังไม่อาจเทียบเคียง หากเปรียบเทียบกัน ถึงแม้หยางเซียวจะเป็นองค์ชาย มีนิสัยชอบเยาะเย้ยถากถางสังคม เหลาะแหละไม่เอาจริงเอาจัง แต่กลับอำมหิตสู้หยางเสวียนไม่ได้! ซูหลีกล่าวเสียงเรียบ “องค์หญิงเจาหวาเป็นยอดสตรีจริงๆ”
ครั้นสัมผัสได้ถึงไอเย็นในน้ำเสียงนาง หยางเซียวก็เดินไปหานาง ถอนหายใจ แล้วเอ่ยเสียงเบาๆ ว่า “ถึงแม้แคว้นเปี้ยนมีผืนดินอันกว้างใหญ่ไพศาล และเป็นหนึ่งในสามแคว้นใหญ่ร่วมกับแคว้นเฉิง แคว้นติ้ง แต่แท้จริงแล้วขาดแคลนประชากรและทรัพยากรมาก หลายปีมานี้เกิดภัยธรรมชาติติดต่อกันหลายครั้งมาก ชาวบ้านมากมายต้องตายเพราะอดอยาก เสวียนเอ๋อร์เห็นสถานการณ์ข้าวยากหมากแพง พวกชาวบ้านขายลูกหลานแลกอาหาร จึงได้ตัดสินใจมุ่งหน้าไปยังแคว้นเฉิง”
ซูหลีกล่าวเสียงเย็น “สิ่งที่ตนเองไม่ต้องการ จงอย่ายัดเยียดให้ผู้อื่น! หากผู้อื่นล้วนใช้เหตุผลที่ตนเองขาดแคลนอาหาร แล้วหันไปแย่งของของผู้อื่น เช่นนั้นจะต่างอะไรกับปล้นชิง?”
สายตาของหยางเซียวแปรเปลี่ยนเล็กน้อย ได้ยินนางตำหนิหยางเสวียนเช่นนี้ ลึกๆ ในใจก็อดรู้สึกหงอยเหงาไม่ได้ เขาถอนหายใจยาวๆ แล้วกล่าวว่า “เจ้าพูดถูก แต่นางสละชีวิตตนเองเพื่อแว่นแคว้น ในฐานะพี่ชายของนาง ข้ามีสิทธิ์อะไรไปตัดสินว่าการกระทำของนางถูกหรือผิด? ข้าเพียงเสียใจที่ตนเองรู้ช้าไป ตอนที่นางไปแคว้นเฉิง ข้าคิดว่านางแค่ไปเที่ยวเล่น ยังกำชับนางซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าต้องไปหาเจ้า…ต่อมา ข้าจึงเพิ่งมารู้ภายหลังว่าเสด็จพ่อมีแผนการซ่อนอยู่ ยามเกลี้ยกล่อมให้นางกลับมา ก็สายไปเสียแล้ว…”
หัวใจของเขาเจ็บปวด ความรู้สึกผิดจู่โจมเข้ามา หากเขารู้เร็วกว่านั้น บางทีโศกนาฏกรรมอาจไม่เกิดขึ้น
หยางเซียวนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวอย่างโศกเศร้าขึ้นมาอีกครั้ง “ข้าได้ยินเรื่องที่นางทำกับเจ้าที่แคว้นเฉิงแล้ว แต่ตอนนี้…เสวียนเอ๋อร์ก็ไม่อยู่แล้ว คนตายก็เหมือนโคมไฟที่ดับมอด ข้าหวังว่าเจ้าจะไม่นึกโทษนางอีก ได้หรือไม่?”
เขากล่าวด้วยน้ำเสียงอ้อนวอน ทอดมองมาด้วยสายตาขอร้อง แสงจันทร์สีเงินยวงส่องทะลุชั้นเมฆ อาบไล้ใบหน้าหล่อเหลาของจางๆ ยิ่งทำให้ดูเศร้าหมองลงไปอีกหลายส่วน
ซูหลีเพียงมองหน้าเขาเงียบๆ ถ้าหากไม่มีหยางเสวียนสักคน เช่นนั้นนางกับเขา จะได้อยู่ร่วมกันไปจนแก่เฒ่า และเป็นคู่สามีภรรยาที่รู้ใจกันหรือไม่?! แต่เวลาได้ล่วงเลยไปแล้ว ไม่มีทางหวนคืนอีก เงียบงันเนิ่นนาน นางก็ถอนหายใจเสียงเบา แล้วกล่าวว่า “ทุกอย่างได้ผ่านไปแล้ว”
ยังมีเวลาอีกครึ่งเดือนกว่าจะถึงวันพิธีขึ้นครองราชย์ ซูหลีพักอยู่ในตำหนักข้างชั่วคราว กำชับให้พวกหวั่นซินเคลื่อนย้ายกำลังคนของเฉินเหมินอย่างลับๆ ส่วนเรื่องราวต่างๆ ในลัทธิธิดาเทพล้วนมอบหมายให้เสวียนฟงเป็นคนจัดการ ฉินเหิงมารายงานว่าสถานการณ์ในเรือนรับรองปกติดีทุกอย่าง เงียบสงบมาก คณะทูตแคว้นเฉิงแสดงเจตจำนงว่าจะอยู่ร่วมแสดงความยินดีในพิธีขึ้นครองราชย์ของฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนก่อน แล้วจึงค่อยเดินทางกลับแคว้นเฉิง ไม่รู้เพราะเหตุใด ซูหลีรู้สึกไม่สบายใจ ตงฟางเจ๋อจะยอมกลับแคว้นไปแต่โดยดีจริงหรือ
เวลาครึ่งเดือนผ่านไปอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวก็ถึงวันพิธีขึ้นครองราชย์ของหยางเซียวแล้ว คณะทูตจากแต่ละแคว้นตบเท้าเรียงแถวเดินทางมาถึงเมืองหลวงแคว้นเปี้ยน มีเพียงหลางฉ่างคนเดียวที่ยังมาไม่ถึงสักที ซูหลีรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีรางๆ
วันพิธี ทั่วทั้งพระราชวังเปี้ยนจมอยู่ท่ามกลางบรรยากาศอันเคร่งขรึมจริงจัง
หยางเซียวสวมอาภรณ์ลวดลายมังกรห้ากรงเล็บ นั่งผึ่งผายอยู่บนบัลลังก์มังกร ทอดมองลงไปยังเหล่าขุนนางที่คุกเข่าอยู่ในตำหนัก ซูหลีตอบรับคำร้องขอของเขาด้วยการยืนเคียงข้างเขาในฐานะธิดาเทพ ในตำหนักใหญ่ นอกจากนางและสี่ทูต แม้แต่เสวียนฟงซึ่งเป็นผู้อาวุโสเพียงหนึ่งเดียวของลัทธิธิดาเทพก็ยังถูกเชิญให้มาร่วมงามด้วย
พิธีขึ้นครองราชย์ดำเนินไปยังราบรื่น หยางเซียวมอบรางวัลให้แก่ขุนนางที่มีผลงานตามลำดับพิธีการ และรับคำอวยพรจากคณะทูตแคว้นต่างๆ
ที่น่าประหลาดใจคือ แม้พิธีจะดำเนินไปจนถึงช่วงท้ายแล้ว แต่หลางฉ่างก็ยังคงไม่ปรากฏตัว และคณะทูตจากแคว้นเฉิงที่พักอยู่ในเมืองหลวงแคว้นเปี้ยนมาโดยตลอด ก็ไม่โผล่มาให้เห็นแม้แต่เงาเช่นกัน
“นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น?” ขุนนางคนหนึ่งกล่าวด้วยความสงสัย คล้ายไม่พอใจเล็กน้อย “องค์รัชทายาทแคว้นติ้งอาจเดินทางล่าช้าเพราะเกิดเรื่องระหว่างทาง แต่เหตุใดคณะทูตที่พักอยู่ในเมืองหลวงแคว้นเปี้ยนก็ไม่มาด้วยเล่า?”
เหล่าขุนนางต่างวิพากษ์วิจารณ์กัน หยางเซียวกวาดมองเบื้องล่างด้วยสายตาเย็นชา เหล่าขุนนางต่างพากันหุบปากสนิททันที หลังจากทุกคนเงียบ เขาจึงค่อยกล่าวเสียงเนิบนาบว่า “ข้าทำตามพระประสงค์ของอดีตฮ่องเต้ สืบทอดราชบัลลังก์ เป็นเกียรติยิ่งนักที่กษัตริย์ของทุกท่านไม่ทอดทิ้งแคว้นของเรา จึงได้ส่งท่านทูตทั้งหลายมาร่วมแสดงความยินดี ข้ารู้สึกซาบซึ้งจากใจ นับจากวันนี้ หวังว่าทุกแคว้นจะอยู่ร่วมกันอย่างปรองดองเป็นสุข ร่วมสร้างโลกที่มีแต่ความสันติภาพและเจริญรุ่งเรืองไปด้วยกัน!”
ครั้นเขาเอ่ยวาจานี้ เหล่าขุนนางต่างพากันยินดีปรีดา สิบกว่าปีมานี้ แคว้นเปี้ยนขยายอำนาจทางทหารอย่างรวดเร็ว พวกเขายึดแคว้นเล็กๆ รอบชายแดนมาได้หลายแคว้น ยามนี้เกิดปัญหาความขัดแย้งภายใน ถึงแม้ความแข็งแกร่งจะลดลง แต่สำหรับแคว้นเล็กๆ ที่มีกำลังทหารน้อย แคว้นเปี้ยนยังคงถือเป็นแคว้นที่แข็งแกร่งจนไม่สามารถเอาชนะได้ ทำให้จำต้องก้มหัวให้อย่างเสียมิได้
พิธีขึ้นครองราชย์ในครั้งนี้ เหล่าทูตจากต่างแคว้นไม่ได้มาแสดงความยินดีกับฮ่องเต้พระองค์ใหม่เพียงอย่างเดียว แต่มาเพื่อสอดแนมแนวโน้มในการปกครองแคว้นของฮ่องเต้พระองค์ใหม่ที่เพิ่งขึ้นครองราชย์ด้วย ยามนี้ จากที่เหล่าคณะทูตสังเกตท่าทีของหยางเซียว อย่างน้อยในระยะอันใกล้นี้ หากไม่จำเป็น แคว้นเปี้ยนคงไม่เคลื่อนพลทหารส่งเดช พวกเขาจึงพากันโล่งใจไปไม่น้อย
ทูตสวมชุดสีแดงผู้หนึ่งก้าวออกมา ยิ้มแล้วกล่าวว่า “ฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนทรงมีเมตตา เป็นบารมีของใต้หล้า!”
ทูตสวมเสื้อสีฟ้าอีกคนหนึ่งกล่าวเสริมตามมาติดๆ เขายิ้มประจบ แล้วกล่าวว่า “ฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนสูงส่งกล้าหาญ ไม่รู้ว่าคนเช่นใด จึงจะเหมาะสมเป็นมารดาแห่งแผ่นดินเปี้ยนพ่ะย่ะค่ะ?” วาจาของเขาแฝงแววหยั่งเชิงเป็นส่วนใหญ่ ในฐานะทูต หากสามารถส่งเสริมงานแต่งเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างสองแคว้นได้ กลับแคว้นไปต้องกลายเป็นผลงานชิ้นใหญ่อย่างแน่นอน!
ทูตคนอื่นได้ยินเช่นนั้น ก็พลันร้อนใจ จะปล่อยให้เขาฉวยเรื่องดีๆ เช่นนี้ไปคนเดียวได้อย่างไร พวกเขารีบพากันออกหน้าออกตาทันที
ทูตที่สวมชุดสีแดงคนเมื่อครู่กล่าวว่า “องค์หญิงเจ็ดของแคว้นกระหม่อมถึงวัยออกเรือนแล้ว งดงามดังเทพธิดา ยินดีร่วมทุกข์ร่วมสุขกับฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนไปจนแก่เฒ่าพ่ะย่ะค่ะ”
ทูตสวมชุดสีฟ้ารีบร้องบอกทันที “องค์หญิงทั้งสามแห่งราชวงศ์ของกระหม่อมเติบใหญ่แล้ว ล้วนมีรูปโฉมงดงามจนมวลบุปผาไม่กล้าบานแข่งรัศมี มีความสามารถทั้งดีดพิณ เดินหมาก เขียนกลอน ฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนบุคลิกสูงส่งดังเทพเซียน สมเป็นคู่สวรรค์สร้างกับองค์หญิงยิ่งนักพ่ะย่ะค่ะ!”
หยางเซียวแย้มยิ้มเล็กน้อย เขาหันมามองซูหลี นัยน์ตาแฝงรอยยิ้มคล้ายมีความหมายแอบแฝง ซูหลีแสร้งทำเป็นไม่เห็น เพียงเบนสายตาไปทางอื่นเงียบๆ
หยางเซียวหุบรอยยิ้ม แล้วกล่าวด้วยท่าทางจริงจัง “ความปรารถนาดีของใต้เท้าทั้งหลาย ข้าขอรับไว้ด้วยใจ จนใจที่หัวใจของข้ามีเจ้าของแล้ว มิอาจถูกคนอื่นจับจองได้อีก ขอใต้เท้าทุกท่านโปรดอภัย”
ครั้นเหล่าทูตได้ยินเช่นนั้น ก็พากันแสดงสีหน้าผิดหวัง ขณะที่เหล่าขุนนางในราชสำนักต่างมีสีหน้าที่แตกต่างกันไป ทูตชุดฟ้าคล้ายเสียดายมาก เขาถอนหายใจ กล่าวว่า “ผู้ที่ได้ครอบครองพระทัยของฮ่องเต้แคว้นเปี้ยน จะต้องเป็นโฉมสะคราญที่งดงามปานเทพธิดาอย่างแน่นอน ไม่ทราบว่าพวกกระหม่อมจะมีโอกาสได้ยลโฉมสักครั้งหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
หยางเซียวอมยิ้มแล้วมองซูหลีแวบหนึ่ง ก่อนจะลุกขึ้นแล้วกล่าวเสียงแช่มช้า “วันนี้เป็นวันขึ้นครองราชย์ของข้า มีเรื่องหนึ่งที่ข้าต้องการประกาศให้ทราบโดยทั่วกัน จากการก่อกบฏของหยางเจิ้น คิดว่าทุกท่านคงทราบแล้ว แท้จริงแล้วลัทธิธิดาเทพไม่ใช่กองกำลังในยุทธภพ แต่อยู่ใต้บังคับบัญชาของราชวงศ์เปี้ยนของเรา หลายปีที่ผ่านมา ธิดาเทพในทุกยุคทุกสมัยล้วนภักดีต่อราชวงศ์ของเราเสมอมา พวกนางยอมถวายทั้งชีวิต ซ้ำยังต้องทำตามกฎเกณฑ์ในลัทธิ คือห้ามแต่งงานตลอดชีวิต อยู่อย่างเดียวดายไปจนแก่เฒ่า! และการที่แคว้นเปี้ยนของเราอยู่อย่างมั่นคงและมั่งคั่งมาได้จนถึงทุกวันนี้ พวกนางมีความดีความชอบอย่างไม่อาจปฏิเสธได้!”
เสียงทุ้มต่ำของบุรุษดังก้องอยู่ในตำหนักใหญ่ หยางเซียวมีสีหน้าเคร่งขรึมจริงจัง ในวาจาเต็มไปด้วยการระลึกถึงอย่างจริงใจ
ซูหลีนั่งฟังเงียบๆ นึกถึงเรื่องที่เสด็จแม่ตั้งครรภ์นางจนเป็นเหตุให้จำใจต้องทรยศบ้านเมือง และจากบ้านเกิดไปไกลอย่างเสียไม่ได้ หัวใจก็พลันขมฝาด ขอบตาร้อนผ่าว
หยางเซียวพลันสาวเท้าเดินมาหานาง นัยน์ตาที่มักเต็มไปด้วยแววหยอกเย้าขี้เล่นกลับสะท้อนความหนักแน่นและมั่นคงในยามนี้ เขาจูงมือนางเดินไปที่ด้านหน้าบัลลังก์มังกรอย่างไม่เปิดโอกาสให้ปฏิเสธ จากนั้นก็กล่าวด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง “ธิดาเทพซูหลี ในการก่อกบฏครั้งที่แล้ว มีผลงานในการปราบปรามความไม่สงบเช่นเดียวกับแม่ทัพฮูเอ่อร์ตู และแม่ทัพจ้าวหลู่ วันนี้ข้าขอประกาศ ยกเลิกกฎห้ามแต่งงานตลอดชีวิตของธิดาเทพ นับจากนี้ไป ลัทธิธิดาเทพมีตำแหน่งเท่าเทียมกับหน่วยองครักษ์อวี่หลินเว่ยในราชสำนัก!
………………….