กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 449 สองฮ่องเต้ชิงหญิงงาม (2)
ซูหลีสะท้านไปทั้งใจ นางกล่าวค้าน “บางทีฮองเฮาอาจตั้งใจตายแต่แรก และเตรียมการทุกอย่างเพื่อคนรอบกายแล้ว”
“เจ้าพูดถูก” เขาก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว เข้าใกล้นางแล้วกล่าวว่า “แต่ข้ารู้จักนาง นิสัยแข็งกร้าว ถึงแม้เผชิญหน้ากับความล้มเหลวใหญ่หลวงเพียงใด นางก็จะเผชิญหน้ากับมันอย่างกล้าหาญ ไม่มีทางยอมแพ้ง่ายๆ!”
ใบหน้าซูหลีสะดุด สายตาคล้ายถูกความบ้าคลั่งของเขาดึงดูด มิอาจละออกไปได้แม้แต่น้อย เขามองนาง แล้วกล่าวต่อว่า “ข้าเชื่ออย่างถึงที่สุดว่านางยังมีชีวิตอยู่ จึงไปตรวจสอบศพอย่างละเอียด”
หัวใจของซูหลีบีบรัด ถามโดยสัญชาตญาณ “ท่านตรวจเจอสิ่งใด?”
“ด้านหลังของศพศพนั้น ผ่านการแช่น้ำมานาน ถึงแม้ผิวจะอืดพองจนขาวซีด แต่รอยสักนกนางแอ่นที่เหมือนกับรอยสักที่อยู่บนหลังของเยวี่ยจั้นเกอกลับโผล่ขึ้นมา เห็นได้ชัดว่าผู้ตายเป็นสาวรับใช้ที่แฝงตัวอยู่ในจวนเซ่อเจิ้งอ๋อง เยวี่ยเหลียนอี!”
ซูหลีก้มหน้าทันที สีหน้าสับสน นางนึกว่าหลังจากที่ตงฟางเจ๋อคิดว่านางตายไปแล้ว จะรีบนำศพไปฝัง และไม่ตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้ง
สายตาของหยางเซียวเคร่งขรึม เขาย้อนถามเสียงเย็นชา “ในเมื่อท่านคิดว่าศพนั้นเป็นศพปลอม เหตุใดจึงต้องแต่งตั้งนางเป็นฮองเฮา แล้วนำร่างนางไปฝังในสุสานราชวงศ์ด้วยเล่า?”
“ใครบอกว่าศพนั้นถูกนำไปฝังในสุสานราชวงศ์?!” ตงฟางเจ๋อจ้องหน้าเขาตรงๆ นัยน์ตาคมปลาบเย็นชาบีบคั้นผู้คน “ฮองเฮาที่ข้าแต่งตั้ง มิใช่ศพศพนั้น แต่เป็นคนที่ยังมีชีวิตอยู่ผู้นั้นต่างหาก! สุสานฮองเฮาที่ข้าสั่งให้ทำเป็นสุสานเปล่า เป็นสุสานที่ข้ากับนางจะนอนเคียงข้างกันหลังจากนี้อีกร้อยปี!”
เขาหันไปมองนาง แววตาเย็นชาคมปลาบแปรเปลี่ยนเป็นอบอุ่นอ่อนโยน จดจ้องดวงตานางแน่นิ่ง ถึงแม้จะเกิดเรื่องอะไรขึ้นมากมาย ถึงแม้นางจะตัดสินใจจากไปอย่างไร้เยื่อใย แต่เขากลับไม่เคยลืมแม้แต่วันเดียว สัญญาที่เคยให้ไว้ ณ สระน้ำพุร้อน สัญญาที่บอกว่าจะไม่มีวันทอดทิ้ง แม้จะเป็นหรือตายก็จะอยู่เคียงข้างกัน!
หัวใจของซูหลีสั่นสะท้าน เสี้ยววินาทีหนึ่ง ความรู้สึกที่กดทับอยู่ในหัวใจแทบจะพรั่งพรูออกมาอย่างควบคุมไม่ไหว! นางสูดหายใจลึกๆ พร่ำบอกตนเองไม่หยุดว่าระหว่างพวกเขามีเหวลึกที่ยากจะข้ามผ่านกั้นขวางอยู่ ไม่มีทางกลับไปเป็นเหมือนก่อนได้อีกแล้ว!
นางพยายามควบคุมให้ตนเองใจเย็นลง แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “เรื่องราวในชีวิตคนเรา ยากจะคาดเดา ยามนี้ฮ่องเต้แคว้นเฉิงยังพระชนมายุน้อย อนาคตจะฝังพระศพร่วมกับผู้ใด คล้ายจะยังเป็นการด่วนตัดสินไป!”
นับแต่อดีตเป็นต้นมา สตรีในวังหลังของฮ่องเต้มีมากมายเหมือนขนวัว แต่สตรีที่สามารถนอนเคียงข้างกับฮ่องเต้หลังจากสิ้นลมได้นั้นมีน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย เขาจะมั่นใจได้อย่างไรว่าทั้งชีวิตนี้เขาจะรักสตรีเพียงคนเดียว?
น้ำเสียงของนางแสดงออกถึงความสงสัย นั่นทำให้ตงฟางเจ๋อลอบดีใจเล็กน้อย เขารีบก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว สายตาไม่ได้ละออกจากใบหน้านาง หากนางใส่ใจเรื่องนี้ แสดงว่าเขายังมีความหวังใช่หรือไม่?
“ขอเพียงเจ้ายอมให้โอกาสข้า ข้าจะพิสูจน์ให้เจ้าเห็นอย่างแน่นอน!” ด้วยความดีใจ เขากลับเปลี่ยนสรรพนามตนเองอย่างลืมตัว
สายตาของเขา คาดหวังถึงเพียงนี้ บีบคั้นถึงเพียงนี้ ซูหลีรู้สึกราวกับไม่มีแรงแม้แต่จะหายใจ
ไม่รอให้นางเอ่ยปาก หยางเซียวสาวเท้ามายืนตรงหน้านาง ยืนขวางระหว่างนางกับเขา แล้วกล่าวเสียงเย็นชา “ท่านไม่จำเป็นต้องพูดอะไรอีกแล้ว นางไม่ใช่ฮองเฮาของท่าน!”
ตงฟางเจ๋อหน้าเปลี่ยนสี สายตาคมปลาบดั่งมีดดาบ จ้องหน้าเขาแล้วกล่าวว่า “นางจะใช่ฮองเฮาของข้าหรือไม่นั้น ใจท่านรู้ดีที่สุด! หยางเซียว ท่านคิดว่าเมื่อขึ้นครองบัลลังก์แล้วนับจากนี้จะไม่ต้องห่วงอะไรอีกแล้วใช่หรือไม่?”
วาจานี้กล่าวอย่างจองหองยิ่งนัก ทุกคนในตำหนักหน้าเปลี่ยนสีไปทันที ต่างพากันสูดหายใจด้วยความอกสั่นขวัญแขวน
สายตาของหยางเซียวแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา สายตาคมปลาบเหมือนมีดดาบตวัดไปยังบุรุษที่ยืนอยู่ตรงหน้า หัวหน้าองครักษ์ปาต๋าที่อยู่ในตำหนักเอื้อมมือจับด้ามดาบตรงเอว ถ่ายเทชี่แท้ไปที่กลางฝ่ามือ เตรียมพร้อมลงมือทุกเมื่อ
เหล่าขุนนางแคว้นเปี้ยนตกตะลึง ฮูเอ่อร์ตูนิสัยตรงไปตรงมา เขาตะโกนเสียงดังอย่างไม่พอใจขึ้นมาทันที “อยู่ในเมืองหลวงแคว้นเปี้ยน ฮ่องเต้แคว้นเฉิงกลับล่วงเกินฮ่องเต้ของเราอย่างไร้มารยาทเช่นนี้ ไม่เห็นแคว้นเปี้ยนอยู่ในสายตาเกินไปแล้ว!” พูดไปพลาง เขาก็โบกมือ องครักษ์นอกตำหนักล้อมประตูตำหนักด้วยท่าทางขึงขังจริงจังทันที
พวกเซิ่งฉินรีบวิ่งเข้าไปปกป้องตงฟางเจ๋อด้านหน้า ตั้งท่าเตรียมพร้อมสู้ทุกเมื่อ
บรรยากาศในตำหนักตึงเครียด ตงฟางเจ๋อกลับยิ้มเย็นชา “ข้าได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของแม่ทัพฮูเอ่อร์ตูมานาน แต่เหมือนท่านแม่ทัพจะลืมเรื่องหนึ่งไป หยางเจิ้นก่อกบฏนำกองทัพล้อมเมือง หากมิใช่ข้าคาดการณ์ล่วงหน้า ส่งคนไปรายงานข่าว เกรงว่ากว่าพวกท่านจะกลับมา เมืองหลวงแห่งนี้คงกลายเป็นของหยางเจิ้นไปแล้ว!”
ทุกคนตะลึงงัน สายตาของเหล่าคณะทูตจากต่างแคว้นตวัดมองมาที่ฮูเอ่อร์ตู ใบหน้าของฮูเอ่อร์ตูแปรเปลี่ยนเป็นเขียวคล้ำ ถูกวาจาของเขาโต้กลับจนพูดไม่ออก ทำได้เพียงหุบปาก และไม่พอใจเงียบๆ
ซูหลีตึงเครียด เป็นอย่างที่นางคาดไว้จริงๆ เป็นตงฟางเจ๋อที่คอยช่วยเหลืออย่างเงียบๆ จริงๆ! แต่เพราะเหตุผลใดกันแน่ ที่สามารถทำให้คนเช่นตงฟางเจ๋อยอมสละโอกาสครั้งใหญ่ในการยึดครองแคว้นศัตรูไปเช่นนั้น แล้วยังยื่นมือเข้ามาช่วยเหลืออย่างเต็มที่อีก?
ทูตชุดแดงกล่าวอย่างครุ่นคิด “ถ้าเช่นนั้น ฮ่องเต้แคว้นเฉิงก็เป็นผู้มีพระคุณของแคว้นเปี้ยน! ฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนสู่ขอฮองเฮาแคว้นเฉิงต่อหน้าธารกำนัล คล้ายดูเป็นการผิดหลักคุณธรรมไปหรือไม่?”
ทูตจากแคว้นอื่นต่างกล่าวเสริมอย่างเห็นด้วย พวกเขาเริ่มกระซิบกระซาบกัน
อัครเสนาบดีฉีมู่เอ่อร์พลันก้าวออกจากแถว กล่าวด้วยน้ำเสียงกังวล “ธิดาเทพคือท่านหญิงหมิงซีแห่งแคว้นเฉิงจริงๆ หรือ?” เดิมทีเพราะเรื่องพระราชโองการ เขาชื่นชมซูหลีมาก หากนางกับฝ่าบาทเป็นทองแผ่นเดียวกันได้ ย่อมเป็นเรื่องดีทีเดียว แต่นึกไม่ถึงว่าตัวตนของนางจะมีเงื่อนงำซ่อนอยู่
ซูหลีลอบขมวดคิ้ว ต่อหน้าตงฟางเจ๋อ ไม่ว่าอย่างไรนางก็ไม่อาจยอมรับตัวตนของตนเองได้ นางจึงเพียงส่ายหน้า
ฉีมู่เอ่อร์ขมวดคิ้ว หันไปถามฮูเอ่อร์ตู “แม่ทัพฮูเอ่อร์ตูเคยไปเยือนแคว้นเฉิงในฐานะทูตมาแล้ว คงเคยพบท่านหญิงหมิงซี นางเป็นคนคนเดียวกับธิดาเทพหรือไม่กันแน่?”
ฮูเอ่อร์ตูมองซูหลีอย่างสับสน ยามนั้นที่เขายกทัพกลับมาช่วย แล้วเจอธิดาเทพเป็นครั้งแรก ก็อดตกใจไม่ได้ แต่จะบอกว่าเป็นคนคนเดียวกัน ก็คล้ายจะพูดเต็มปากไม่ได้ นึกอยู่นาน จึงทำได้เพียงกล่าวว่า “พวกนางทั้งสองคนหน้าตาคล้ายกันมากจริงๆ ชื่อก็เหมือนกัน แต่…ท่านหญิงหมิงซีมีปานสีแดงขนาดเท่าเหรียญเงินอยู่บนใบหน้า ท่านธิดาเทพไม่มี”
รอยยิ้มบางเบาพาดผ่านกลีบปากหยางเซียวไปอย่างรวดเร็วจนแทบสังเกตไม่เห็น “นางจะมีปานได้อย่างไรกัน? ในเมื่อไม่ใช่คนคนเดียวกัน!”
ตงฟางเจ๋อกลับกล่าวเสียงเข้ม “ปาน เดิมเกิดจากพิษ ครั้นพิษปานถูกแก้ ปานย่อมจางหายไปด้วย!”
หยางเซียวแค่นเสียง “ไม่มีหลักฐาน ท่านจะพิสูจน์อย่างไร?”
ตงฟางเจ๋อกล่าวเสียงเกรี้ยว “ข้าไม่จำเป็นต้องพิสูจน์ เพราะข้า ไม่มีทางจำนางผิดแน่นอน!”
พวกเขาสองคนประจันหน้ากัน ต่างคนต่างไม่ยอมกัน ซูหลีอดว้าวุ่นใจไม่ได้ รู้ว่าหากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไป สถานการณ์จะต้องย่ำแย่ลงเรื่อยๆ แน่นอน ครั้นคิดได้เช่นนี้ สายตานางก็ขรึมลง ก่อนจะกล่าวเสียงเข้มว่า “ฮ่องเต้แคว้นเฉิงทรงจำผิดคนแล้ว! หม่อมฉันไม่ใช่ท่านหญิงหมิงซี ย่อมมิใช่ฮองเฮาของพระองค์ด้วยเช่นกัน!”
ตงฟางเจ๋อสะท้านไปทั้งใจ ไม่ว่าเขาจะพยายามแสดงความรู้สึกออกมาขนาดไหน ก็คล้ายจะไม่มีประโยชน์เลยแม้แต่น้อย! หยางเซียวดูประหลาดใจระคนดีใจไม่น้อย คล้ายกำชัยชนะไว้ในมือแล้ว ทำให้เขายิ่งรู้สึกเจ็บปวดกว่าเดิม
หยางเซียวหัวเราะอย่างเบิกบานใจยิ่งนัก สาวเท้ามายืนตรงหน้าเขา แล้วกล่าวว่า “คราวนี้ท่านคงตัดใจได้แล้วกระมัง!”
สายตาของตงฟางเจ๋อแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา เขาเอื้อมมือออกไปด้วยความเร็วเหมือนสายฟ้า เพื่อคว้ามือซูหลี! แววเจ็บปวดสะท้อนชัดในดวงตา กัดฟันคำรามเสียงต่ำ “เจ้าจะไม่ยอมรับตำแหน่งฮองเฮาก็ได้ แล้วเจ้าจะบอกว่าตนเองไม่ใช่ซูหลีก็ได้เช่นกัน! แต่กลับไม่อาจปฏิเสธได้ว่าที่ริมสระน้ำพุร้อน เจ้าเคยรับปากข้าว่าจะไม่ทอดทิ้งกันไปชั่วชีวิต!”
………………………………