กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 451 สองฮ่องเต้ชิงหญิงงาม (4)
“ระหว่างข้ากับเขา มีเพียงความแค้นที่เขาสังหารน้องสาวข้าเท่านั้น มีพระคุณใดมาจากที่ใดกัน?” ครั้นนึกถึงว่าหยางเสวียนต้องตายอย่างอนาถด้วยน้ำมือตงฟางเจ๋อ หยางเซียวก็มิอาจข่มเพลิงแค้นในใจ และมิอาจปกปิดความชิงชังเอาไว้ได้
ตงฟางเจ๋อยิ้มเย็นชา กล่าวเสียงเกรี้ยว “ระหว่างข้ากับท่านไม่มีบุญคุณให้พูดถึงก็จริง แต่หยางเสวียนรนหาที่ตายเองทั้งนั้น! เมืองหลวงแคว้นเปี้ยนแห่งนี้ ในเมื่อข้ากล้ามา ก็แสดงว่าไม่เกรงกลัวท่านแล้ว!” สายตาเย็นชากวาดมององครักษ์ในตำหนักอย่างไม่แยแสแม้แต่น้อย เขากล่าวเสียงเย็นอีกว่า “มิสู้จะบอกท่านให้เอาบุญ ข้าส่งคำสั่งลับไปยังเทียนเหมินทุกวัน หากวันใดพวกเขาไม่ได้รับจดหมายลายมือข้า หยวนเซี่ยงกับเซ่อเจิ้งอ๋องจะนำทัพบุกแคว้นเปี้ยนของท่านให้ราบเป็นหน้ากลองทันที!”
เหล่าขุนนางได้ยินก็หน้าเปลี่ยนสีไปทันที แม้แต่ฮูเอ่อร์ตูก็ยังอดตกตะลึงไม่ได้ หยางเซียวจ้องหน้าเขา พลันหัวเราะเสียงดัง “ตงฟางเจ๋อ รู้หรือไม่ว่าจุดอ่อนที่ร้ายแรงที่สุดของท่าน ก็คือความเย่อหยิ่งจองหอง! ยามนี้ท่านอยู่ในกำมือข้า ขอเพียงท่านอยู่ในมือข้า ข้ายังต้องกลัวหยวนเซี่ยงกับหลีเฟิ่งเซียนไม่ก้มหัวยอมจำนนอีกหรือ?!”
ไอสังหารพาดผ่านดวงตาเขา สายตาโหดเหี้ยมเช่นนั้น ซูหลีเคยเห็นยามเขามองหยางเจิ้นเพียงครั้งเดียว หัวใจนางพลันหนักอึ้ง
สายตาของตงฟางเจ๋อเย็นชาคมปลาบ พาให้ผู้คนอกสั่นขวัญหายไม่ต่างกัน เขายิ้มและกล่าวถากถาง “ข้ากลับอยากรู้นัก ว่าท่านจะมีปัญญาใดมาจับตัวข้า!”
“ดี!” ไอพิฆาตพาดผ่านดวงตาหยางเซียว เขาสาวเท้ายาวๆ เดินไปตรงหน้าปาต๋า แล้วชักดาบออกมาชี้หน้าตงฟางเจ๋อ “อย่าหาว่าข้ารังแกคนน้อยด้วยคนหมู่มาก วันนี้ท่านกับข้าหนึ่งต่อหนึ่ง ตัดสินแพ้ชนะ!”
ประกายดาบเยือกเย็นไร้เงาพาดผ่านไปอย่างรวดเร็ว
เหล่าขุนนางตื่นตกใจ ฉีมู่เอ่อร์รีบก้าวเข้าไปเอ่ยห้ามหยางเซียวด้วยความตกใจ “ฝ่าบาทอย่าทรงวู่วาม ไตร่ตรองให้ดีก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”
ซูหลีขมวดคิ้วแน่น หากสองคนนี้สู้กันเมื่อใด จะต้องส่งผลลัพธ์ที่ร้ายแรงจนไม่อาจมีผู้ใดคาดเดาได้อย่างแน่นอน หากหลางฉ่างอยู่ที่นี่ ด้วยนิสัยและความสามารถของเขา อาจจะยังไกล่เกลี่ยได้บ้าง ยามนี้เขามาไม่ถึงสักที ในตำหนักก็ไม่มีผู้ใดกล่าววาจามีน้ำหนัก หรือสงครามครั้งใหญ่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้อีกต่อไป?!
ซูหลีไม่อาจเก็บซ่อนความร้อนรนในใจได้อีกต่อไป นางกล่าวเสียงเข้ม “หม่อมฉันบอกว่าหม่อมฉันไม่ใช่ท่านหญิงหมิงซี! เหตุใดฮ่องเต้แคว้นเฉิงจึงทรงดื้อดึงเช่นนี้? ต้องทำให้ไพร่ฟ้าของสองแคว้นอดอยากข้นแค้น เลือดนองเป็นสายน้ำ ท่านจึงจะยอมรามืองั้นหรือ?” น้ำเสียงของนางแฝงแววเกี้ยวกราดเล็กน้อย ทุกวาจาเชือดเฉือนหัวใจของตงฟางเจ๋อเหมือนมีดคม
เขาเงยหน้ามองนาง “สำหรับเจ้า ข้าเป็นคนโหดร้ายถึงเพียงนั้น?”
ความเจ็บปวดในดวงตาของเขา อยู่ใกล้แค่ตรงหน้า นางกลับทำได้เพียงแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น
ตงฟางเจ๋อกล่าวด้วยใบหน้าเย็นชา “ข้าคิดจะเป็นพันธมิตรกับเขาอย่างจริงใจ แต่หลังจากเสร็จเรื่อง เขากลับแย่งคนรักของข้า ข้าไม่มีทางยอมเด็ดขาด! นอกจากว่าข้าตายไปแล้ว มิเช่นนั้น ผู้ใดก็อย่าได้คิดจะแย่งเจ้าไปจากข้า!”
เขาต้องการหัวใจนาง หนักแน่นถึงเพียงนี้ เด็ดเดี่ยวไม่หวั่นไหวแม้แต่น้อย!
หยางเซียวจ้องหน้าตงฟางเจ๋อที่อยู่ห่างเพียงไม่กี่ก้าวด้วยใบหน้าเยือกเย็น ในใจเต็มไปด้วยความโกรธแค้น เขามีสิทธิ์อะไรถึงได้มั่นใจและเผด็จการถึงเพียงนั้น?! “ดี! ตงฟางเจ๋อ วันนี้ท่านกับข้ามาประลองกันให้ตายกันไปข้าง!” เอ่ยจบ เขาก็ยกดาบขึ้นขวางตรงหน้า ชี่แท้ไหลเวียน แขนเสื้อปลิวไหวแม้ไร้สายลม ทุกคนตกใจรีบถอยหลังทันที
ตงฟางเจ๋อแค่นหัวเราะ กระบี่ประกายแสงอันเป็นสมบัติล้ำค่าพุ่งออกจากเอวเขา แหวกอากาศออกไปอย่างรวดเร็ว เสียง ‘เคร้ง’ ดังขึ้น ดาบล้ำค่าที่ถูกตีขึ้นจากเหล็กชั้นดีในมือหยางเซียวกลับถูกพลังขุมหนึ่งโจมตีจนปลายดาบหัก!
เสียงกระบี่แหลมคมดังกระหึ่มอยู่ท่ามกลางตำหนักใหญ่โตโอ่อ่า ทุกคนตกใจจนหน้าเปลี่ยนสี เล่าลือกันว่าตงฟางเจ๋อมีวรยุทธ์ไร้เทียมทาน ยากจะมีคู่ต่อสู้ ยามนี้ได้เห็นกับตาตัวเอง จึงได้รู้ว่าไม่ได้กล่าวเกินจริงเลยแม้แต่น้อย!
ซูหลีตกตะลึง ตวาดเสียงเกรี้ยวทันที “หยุดเดี๋ยวนี้!” นางรีบเข้าไปรั้งหยางเซียวที่กำลังเดือดดาล ใบหน้าซีดเผือดเล็กน้อย กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “หากข้าเลือกคนใดคนหนึ่ง พวกท่านจะหยุดสู้กันใช่หรือไม่?”
หยางเซียวจ้องหน้านางแน่นิ่ง ความคิดมากมายสับสนป่วนพล่าน เขาเอ่ยเสียงเข้ม “ถูกต้องแล้ว ข้าเพียงต้องการคำตอบของเจ้า”
หัวใจของซูหลีตึงเครียด นางหันไปมองตงฟางเจ๋อ
สายตาของเขามืดมนสุดแสน ทว่าหนักแน่นยิ่งนัก เขากล่าวทีละคำๆ “ขอเพียงเจ้าไม่แต่งงานกับเขา ไม่ว่าเรื่องใดข้าล้วนรับปากเจ้าได้ทั้งนั้น”
ใบหน้าซูหลีแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา “ถึงแม้ข้ายินยอมพร้อมใจ ท่านก็จะขัดขวางให้ได้?!”
หัวใจของตงฟางเจ๋อเจ็บปวด ทว่ายังคงกล่าวด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด “นอกเสียจากว่าข้าจะตายไปจากโลกนี้แล้ว!”
ซูหลีสะท้านไปทั้งใจ จ้องหน้าเขาไม่ละสายตา หัวใจกลับตึงเครียดขึ้นเรื่อยๆ นางพลันหมุนกาย แล้วกล่าวกับหยางเซียวอย่างไม่ลังเล “ข้าตกลง วันแต่งงานท่านกำหนดมาเลย ยิ่งเร็วยิ่งดี” เอ่ยจบ ก็หมุนกายเดินออกจากตำหนักใหญ่ไปทันที
“ซูซู!” เสียงขานเรียกราวกับใจจะขาดดังตามหลังมา ราวกับจะฟันตำหนักอันหนาวเหน็บแห่งนี้ให้ขาดเป็นสองส่วนอย่างไรอย่างนั้น!
ซูหลีไม่หันกลับไป และไม่กล้าหันกลับไป นางเพียงสาวเท้าเร็วๆ เดินไปข้างหน้า ลมในต้นฤดูหนาว พัดพาเอาความหนาวเย็นจับกระดูกเข้ามาบนทางเดินในตำหนัก ทว่านางกลับไม่รับรู้ถึงความหนาวแม้แต่น้อย นางเดินตรงออกจากประตูตำหนัก หัวใจพลันเจ็บปวด จนต้องยกมือขึ้นกุมหน้าอก ซูหลีสูดหายใจลึกๆ ตงฟางเจ๋อ ระหว่างเราตัดขาดกันตั้งแต่ที่แม่น้ำหลานชางแล้ว ข้าซูหลี จะไม่มีวันปล่อยให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยแน่นอน! ไม่มีวัน!
หยางเซียวมีราชโองการให้กำหนดวันแต่งงานเป็นครึ่งเดือนหลังจากนี้ทันที การตัดสินใจอันเร่งด่วนเช่นนี้ ทำให้ทั่วทั้งวังหลวงต่างชุลมุนวุ่นวายด้วยความเร่งรีบ เพื่อเตรียมพร้อมงานอภิเษกสมรสของฮ่องเต้พระองค์ใหม่อย่างสุดความสามารถ หยางเซียวยุ่งกับการสะสางราชกิจทุกวัน แล้วยังต้องเตรียมความพร้อมเรื่องงานแต่ง เขายุ่งจนไม่อาจปลีกตัว แต่ก็ไม่ลืมไปเยี่ยมซูหลีก่อนเสมอ ตงฟางเจ๋อส่งคนมานัดหมายซูหลีครั้งแล้วครั้งเล่า แต่นางก็ไม่ยอมพบเขา
วันแต่งงานใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จู่ๆ ฉินเหิงก็เข้ามารายงาน บอกว่าพักนี้มีคนลอบตรวจสอบฐานลับของเฉินเหมิน ซูหลีไม่ค่อยสบายใจนัก จึงแอบออกจากวังไปตรวจสอบดู ครั้นมาถึงศาลาเสียนทิงซึ่งเป็นฐานลับที่อยู่ใกล้วังหลวงที่สุด ซูหลีก็เปิดม่านรถ สายลมพัดปะทะใบหน้า อากาศหนาวจับกระดูกทำให้ตัวสั่นเล็กน้อย นางกระชับเสื้อผ้า แล้วกระโดดลงจากรถม้า
ทันใดนั้น คนคนหนึ่งพุ่งตัวเข้ามาจากข้างหน้า ซูหลีเพ่งมอง กลับเป็นโม่เซียง! โม่เซียงพุ่งเข้ามาด้วยความเร็ว จนเกือบชนซูหลี หวั่นซินรั้งตัวนาง แล้วกล่าวอย่างไม่พอใจ “บอกเจ้ากี่หนแล้ว เหตุใดยังบุ่มบ่ามวู่วามเช่นนี้อยู่อีก!”
โม่เซียงแลบลิ้นใส่นาง แล้วหัวเราะอย่างซุกซน “ข้ามีเรื่องสำคัญ กำลังจะเข้าวังไปรายงานคุณหนู คุณหนูก็มาพอดี”
“มีเรื่องใด?” ซูหลีถาม
โม่เซียงรีบตอบ “มีคนผู้หนึ่งมาที่ศาลาเสียนทิง เขาบอกว่าต้องการพบเจ้าสำนักเฉินเหมินเจ้าค่ะ!”
“ผู้ใดกัน?” หวั่นซินอดระแวงไม่ได้
“ได้ยินเถ้าแก่ฉีบอกว่า คนผู้นั้นมาก็ขึ้นไปที่ห้องส่วนตัวบนชั้นสองเลย เขามอบของสิ่งหนึ่งให้เถ้าแก่ บอกว่าเพียงคุณหนูเห็นก็จะมาพบเขาอย่างแน่นอน” โม่เซียงกล่าว แล้วล้วงถุงหอมเล็กกระจิริดใบหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ กลิ่นหอมสดชื่นพลันกระจายออกมา ราวกับสามารถทำให้ความกังวลใจทั้งหมดผ่อนคลายลงได้
ซูหลีสะท้านไปทั้งใจ รีบคว้าถุงหอมมาพิจารณาอย่างละเอียด ขอบตาพลันร้อนผ่าว รอยเข็มที่ไม่เป็นระเบียบแต่กลับดูคุ้นตาเช่นนั้น นอกจากนางแล้วยังจะมีผู้ใดเย็บได้เช่นนี้อีก? นางรีบถาม “ผู้มาอายุเท่าใด?”
“บ่าวไม่เห็นเจ้าค่ะ แต่เถ้าแก่ฉีบอกว่า บุคลิกไม่ธรรมดา ต้องไม่ใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอน เลยสั่งให้บ่าวรีบไปรายงานคุณหนูด่วน!”
หัวใจของซูหลีเต้นรัวอย่างบ้าคลั่ง ใบหน้าจริงจึงขึ้นหนึ่งส่วน นางรีบกำชับ “พวกเจ้าเฝ้าอยู่ข้างล่าง อย่าปล่อยให้ผู้ใดขึ้นมาเด็ดขาด” เอ่ยจบ นางก็รีบเดินเข้าไปในศาลาเสียนทิง
………………….