กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 455 ต้องได้พบกันอีก (ตอนจบแคว้นเปี้ยน) (1)
การกระทำอันอ่อนโยนทำให้หัวใจของซูหลีสั่นไหวเล็กน้อยอย่างไม่อาจควบคุม นางสูดหายใจอย่างลืมตัว ปลายลิ้นของเขาฉวยโอกาสตวัดเปิดปากนาง และสอดลึกเข้าไปลิ้มรสหอมหวานอย่างเต็มที่ ความรู้สึกสุขสมที่ห่างหายไปนาน นำมาซึ่งความอิ่มเอมที่แผ่กระจายไปทั่วหัวใจ ซูหลีพลันแตกตื่น นางพยายามตั้งสมาธิ ภายใต้ความลนลาน นางกำสาบเสื้อด้านหน้าของเขาไว้แน่น คอเสื้อเปิดออก การกระทำเช่นนี้คล้ายกำลังเรียกร้องให้เขากระทำมากกว่านี้
ความปรารถนาที่พยายามอดกลั้นมานานซัดสาดเข้ามาเหมือนน้ำทะลักเขื่อน ตงฟางเจ๋อไม่อาจควบคุมเพลิงปรารถนาในใจ รีบปลดสายคาดเอวนางออก ฝ่ามือใหญ่ล้วงเข้ามา สัมผัสอ่อนนุ่มเร่งเร้าและหยอกเย้าความต้องการได้เป็นอย่างดี
ความปรารถนาที่ไม่อาจควบคุม ทำให้ลมหายใจของทั้งสองฝ่ายยิ่งถี่กระชั้น สติสัมปชัญญะที่นางพยายามประคองไว้ถูกความปรารถนาจู่โจมจนพ่ายแพ้ยับเยินในพริบตา ความเจ็บปวดราวกับกรีดเลาะออกมาจากข้างในหัวใจ รุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ จนแทบฉีกทึ้งร่างกายนางให้เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
ซูหลีกัดฟันแน่น ซัดหน้าอกเขาด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี
เสียง ‘พลั่ก’ ดังขึ้น คนสองคนที่เมื่อครู่ยังยืนกอดจูบกันยามนี้ต่างคนต่างล้มนั่งลงบนพื้น
แทบจะในเวลาเดียวกัน ประตูถูกเปิดออก หลีเฟิ่งเซียนวิ่งเข้ามา ใบหน้าแตกตื่น เห็นซูหลีนั่งอยู่บนพื้นด้วยใบหน้าซีดขาว เสื้อผ้าหลุดลุ่ย หอบหายใจและถมึงตาจ้องตงฟางเจ๋อ ส่วนตงฟางเจ๋อที่ล้มอยู่บนพื้นมีเลือดไหลออกจากมุมปาก ใบหน้าซีดขาวยิ่งกว่าซูหลี สายตาตกตะลึงทว่าคล้ายมีแววยินดีแฝงอยู่ เขารีบลุกขึ้นคว้าจับมือซูหลี พยายามตรวจชีพจรนาง ซูหลีลนลาน รีบสะบัดมือเขาออก “อย่าแตะต้องข้าอีก!”
“เจ้ากลัว?” ตงฟางเจ๋อจับจ้องใบหน้านาง กล่าวเสียงเจ็บปวด “ยาไร้รักเมื่ออยู่ในร่างกายคน มีเพียงเกิดความปรารถนาอย่างแท้จริงเท่านั้น จึงจะทำให้พิษกำเริบ! ใจเจ้ายังมีข้าอยู่ เหตุใดยังยืนหยัดจะแต่งงานกับหยางเซียว!”
ซูหลีเบิกตากว้าง มองหน้าเขาพลางหอบหายใจหนักหน่วง เทียบกับความเจ็บปวดทางร่างกาย จิตใจอันอ่อนแอกลับทำให้นางรู้สึกพ่ายแพ้ยิ่งกว่า ในที่สุดนางก็เข้าใจแล้วว่า การพยายามเอาชนะความจริงในใจตนเองเป็นเรื่องที่โง่เขลาเพียงใด นางไม่อยากรั้งอยู่ในห้องน้ำชาแห่งนี้อีกแม้แต่วินาทีเดียว ยิ่งเผชิญหน้ากับเขานานเท่าใด นางก็รู้สึกว่าความตั้งใจของตนเองสั่นไหวง่าย
สายตานางเย็นชา รีบกล่าวอย่างไร้ความปรานี “นี่เป็นการตัดสินใจของข้า! ไม่เกี่ยวกับท่าน! อย่ามายุ่งกับข้าอีก!” พูดจบนางก็วิ่งพรวดออกจากห้องไป
“ซูซู” สายตาของตงฟางเจ๋อพลันแปรเปลี่ยน รีบสาวเท้าวิ่งตาม แต่กลับถูกหลีเฟิ่งเซียนขวางทางไว้ พริบตาเดียว เงาร่างนางก็หายลับไปที่มุมบันไดแล้ว เขาทั้งร้อนใจทั้งโมโห จึงตวาดเสียงต่ำ “หลีเฟิ่งเซียน บังอาจนัก! หลีกไป…”
หลีเฟิ่งเซียนรีบกล่าว “ซูซูมีนิสัยแข็งกร้าว ยิ่งพระองค์บังคับนาง นางจะยิ่งหนีไปไกลกว่าเดิม ถ้าหากการแต่งงานกับหยางเซียวเป็นความต้องการของนางจริงๆ ฝ่าบาทโปรดทรงอวยพรให้นางด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”
ตงฟางเจ๋อมองเขา ดวงตาแดงก่ำ คำรามเสียงต่ำอย่างปวดใจ “นางเป็นบุตรสาวของท่าน ท่านอวยพรนางได้ ไม่ว่านางจะแต่งงานกับผู้ใด ไม่ว่านางจะไปที่ไหน ท่านก็ไม่มีวันเสียนางไป! แต่ข้าไม่เหมือนกัน! หากข้าอวยพรให้นาง ข้าก็จะเสียนางไปตลอดกาล! ข้าไม่อาจขาดนางได้ ท่านเข้าใจหรือไม่?!”
หลีเฟิ่งเซียนตะลึงงัน ในสายตาเขา ตงฟางเจ๋อเป็นคนฉลาดมีไหวพริบ ไม่หวั่นไหวต่อสิ่งใดมาโดยตลอด แต่ยามนี้เขาดูสิ้นหวังและเจ็บปวดจนไม่เป็นตัวเอง แตกต่างจากฮ่องเต้หนุ่มผู้ชำนาญการวางแผน และน่าเกรงขามเมื่ออยู่ในท้องพระโรง ราวกับเป็นคนละคน!
ตงฟางเจ๋อกล่าวจบในอึดใจเดียว เขาเซถอยหลังไปหนึ่งก้าว นั่งลงบนเก้าอี้คล้ายร่างกายไร้เรี่ยวแรง สายตาว่างเปล่า หัวใจของเขาคล้ายล่องลอยไปตามเสียงฝีเท้าม้าที่วิ่งออกจากศาลาเสียนทิงอย่างรวดเร็ว และแหลกสลายอยู่ท่ามกลางฝุ่นควันที่คละคลุ้งบนถนน…
รถม้าวิ่งตรงไปยังประตูวัง ซูหลีนั่งเหม่อลอยอยู่ในรถ สายตาไม่รู้ทอดมองไปที่ใด ก่อนจากมา เสียงขานเรียกอันสิ้นหวังของตงฟางเจ๋อดังสะท้อนอยู่ในสมองนางไม่หยุด มีเพียงนางเท่านั้นที่รู้ ว่าการต้องควบคุมตนเองไม่ให้หันกลับไปมองเขา มันยากเย็นเพียงใด นางหลับตา กำหมัดแน่น เตือนตนเองว่าไม่อาจหวั่นไหวเด็ดขาด
“คุณหนู ท่าน…ไม่เป็นไรกระมัง?” หวั่นซินถามด้วยความเป็นห่วง
ซูหลีพยายามข่มกลั้นความเจ็บปวดในใจ แล้วค่อยๆ ลืมตา สายตาคล้ายกลับมาสงบนิ่งดังเดิม นางกล่าวเสียงเบา “ตงฟางเจ๋อสืบหาศาลาเสียนทิงเจอ แสดงว่าคนของเขาแทรกซึมเข้ามาในเมืองหลวงแคว้นเปี้ยนแล้ว เขาต้องคอยจับตาดูทุกการเคลื่อนไหวของเฉินเหมินอย่างแน่นอน เจ้าบอกพวกเซี่ยงหลีให้ระวังตัวด้วย อย่าปล่อยให้เขาสืบเจอเบาะแสได้เป็นอันขาด!”
หวั่นซินรับคำแล้วจากไป
ครั้นกลับมาถึงวัง ท้องฟ้าก็มืดแล้ว ผืนฟ้ามืดสลัวแผ่ปกคลุมไปทั่วทั้งวังหลวง พาให้จิตใจของผู้คนห่อเหี่ยวอย่างเลี่ยงไม่ได้
ด้านในตำหนักเจาหวา นางกำนัลและขันทียืนก้มหน้าอย่างนอบน้อมอยู่หน้าประตู สีหน้าคล้ายไม่สู้ดีนัก ครั้นเห็นซูหลี ก็รีบเข้ามารายงาน “แม่นางอาหลี ท่านกลับมาแล้ว! ฝ่าบาทอยู่ในห้อง รอท่านอยู่นานแล้ว!”
ซูหลีขมวดคิ้วเล็กน้อย รีบเดินเข้าไปในห้อง
ครั้นได้ยินเสียงฝีเท้า หยางเซียวก็เงยหน้าขึ้นจากกองฎีกาเท่าภูเขาขนาดย่อม แววยินดีพาดผ่านดวงตา เขารีบเดินเข้ามา แย้มยิ้มแล้วกล่าวว่า “อากาศหนาวเช่นนี้ เจ้าไปที่ใดมา?” เขาคล้ายถามอย่างไม่ใส่ใจ สายตากลับมีแววหยั่งเชิงหลายส่วน
ซูหลีตอบเสียงเรียบ “ไม่ได้ไปไหน อยู่ในวังแล้วรู้สึกเบื่อ จึงออกไปเดินเล่น”
เขาเดินเข้ามากุมมือนาง ยิ้มพลางกล่าวว่า “มา มานั่งก่อน” สัมผัสเย็นเฉียบที่มือนางทำให้เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย ดึงนางไปนั่งบนตั่ง หยิบผ้าคลุมขนจิ้งจอกมาคลุมกายนางอย่างใส่ใจ แล้วกล่าวเสียงอ่อนโยน “ฤดูหนาวในเมืองหลวงแคว้นเปี้ยนหนาวมาก เจ้าอาจไม่ค่อยคุ้นชินนัก แต่เจ้าวางใจเถิด ข้าสั่งให้คนเพิ่มเตาทำความร้อนในตำหนักเฟิ่งสี่แล้ว พอเจ้าเข้าไปอยู่ก็จะไม่ต้องทนหนาวขนาดนั้นแล้ว”
ซูหลีแย้มยิ้มเล็กน้อย “ขอบคุณ” นางยังคงจิตใจไม่อยู่กับตัวเล็กน้อย ปลายนิ้วม้วนสายเสื้อคลุมเล่น
จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงหยางเซียวขานเรียกเบาๆ “อาหลี” นางหันหน้าไป กลับค้นพบว่าใบหน้าเขาอยู่ใกล้นางมาก
ภายใต้แสงเทียนสลัว คิ้วและดวงตาของหยางเซียวแลดูคมเข้ม ดวงตาดำขลับเป็นประกายเจิดจรัส มุมปากหยักยิ้มเล็กน้อย ริมฝีปากของเขากลับแดงสดกว่าปกติราวกับทาชาดไว้ ทำให้ดูน่าดึงดูดขึ้นหนึ่งส่วน
นางสะท้านไปทั้งใจ เหตุใดสีริมฝีปากของเขาจึงได้ดูพิเศษเช่นนี้? เขาอยู่ใกล้นางมาก นางเซถอยหลังไปเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวด้วยความประหม่า “เหตุใดจึงต้องเข้าใกล้ถึงเพียงนี้? ข้าตกใจหมด” นางหมายจะลุกยืน เพื่อหลีกเลี่ยงความใกล้ชิดของเขา แต่กลับถูกเขาดึงแขนโดยไม่ทันตั้งตัว ทั้งสองพลันเอนกายล้มลงบนตั่งนุ่ม
แววขุ่นเคืองพาดผ่านใบหน้าซูหลีเล็กน้อย แต่หยางเซียวกลับยกนิ้วมือลูบคิ้วนางเบาๆ แล้วกล่าวเสียงเบาว่า “อาหลี พรุ่งนี้พวกเราก็จะแต่งงานกันแล้ว เหตุใดยังต้องผลักไสข้าอีกเล่า?”
เขาเอ่ยวาจาคล้ายหยอกเย้า แต่กลับระมัดระวังสุดแสน น้ำเสียงของเขาสะท้อนแววผิดหวังอย่างปิดไม่มิด ซูหลีชะงักไปเล็กน้อย นางหลบตาเขา ฝืนยิ้มเล็กน้อย “เปล่า ข้า…เพียงแต่ไม่ชินเท่านั้น” นางลอบขมวดคิ้ว ที่นางตอบตกลงแต่งงานเป็นเพราะสถานการณ์บังคับ เป็นแผนรับมือชั่วคราวเท่านั้น สุดท้ายอย่างไรนางก็ต้องไปจากที่นี่อยู่ดี
ขณะที่นางกำลังครุ่นคิดว่าจะบอกความจริงกับเขาเช่นไรดี พลันนั้นสายตาก็มืดมิดทันที หยางเซียวใช้ฝ่ามืออบอุ่นปิดตานางเบาๆ แล้วกล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “ข้ามีของจะให้เจ้า ห้ามลืมตาเล่า”
ซูหลีใจอ่อน ทำได้เพียงรับคำเสียงเบา
เสียงสวบสาบดังขึ้นที่ข้างหู เหมือนเขากำลังล้วงของบางสิ่งอยู่ ผ่านไปไม่นาน ซูหลีก็รู้สึกว่ามีสร้อยเส้นหนึ่งหล่นลงมาจากเหนือศีรษะ และห้อยอยู่ที่ลำคอ
……………………….