กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 464 ต้องได้พบกันอีก (ตอนจบแคว้นเปี้ยน) (10)
ขอบตาของซูหลีร้อนผ่าว นางสูดหายใจลึกๆ ซุกตัวเข้าไปในอ้อมกอดเขา ความยินดีและซาบซึ้งพรั่งพรูในหัวใจ เขาหยิบยาแก้พิษยาไร้รักไปอย่างไม่ลังเล เชยคางนางขึ้น ป้อนยาให้นางด้วยปาก และจุมพิตลงไปด้วยความรู้สึกอันพลุ่งพล่าน
เม็ดยาเคลือบไว้ด้วยกลิ่นอายหอมหวน กลีบปากนิ่มนวลนำมาซึ่งสัมผัสดุดัน รสชาติอันงดงามยากจะบรรยายกระจายไปทั่วร่างกาย ร่างกายของทั้งสองสั่นสะท้าน ความรู้สึกที่กักเก็บมาเนิ่นนานถูกปลดปล่อย และยากจะควบคุมอีกต่อไป ภายใต้จุมพิตอันร้อนแรงของเขา ร่างกายของซูหลีอ่อนระทวยราวกับจะหลอมละลายกลายเป็นน้ำ นางแทบยืนไม่อยู่ รีบยกมือโอบรอบคอเขา เอวบางถูกแขนแกร่งกอดรัดแน่น ทั้งเผด็จการและรุ่มร้อน ทั้งอ่อนโยนและอบอุ่น กอดเกี่ยวพัวพัน ความรักเดือดพล่านเหมือนกระแสน้ำซัดสาดที่ถูกปลดปล่อยอย่างเต็มที่
เขากับนาง เคยร่วมเป็นร่วมตายอย่างไร้ข้อกังขา เคยมีหัวใจที่ตรงกัน เคยแตกร้าว อยู่ห่างกันคนละผืนฟ้า เคยพัวพันหมกมุ่น เจ็บปวดร้าวราน ณ ขอบเหวแห่งความตาย ยิ่งมีความหวัง กลับยิ่งรู้สึกสิ้นหวัง ถึงแม้จะเป็นศัตรูกับคนทั้งแผ่นดิน เขาก็ไม่เคยยอมแพ้ แล้วก็ไม่กล้ายอมแพ้ ซูซูของเขา ในที่สุดก็กลับมาแล้ว
“ซูซู!” เขาหอบหายใจกระชั้นถี่ขึ้นเรื่อยๆ กลีบปากอบอุ่นคลอเคลียอยู่บริเวณติ่งหูของนาง แล้วค่อยๆ เลื่อนต่ำไปที่ลำคอ คล้ายต้องการจุดไฟปรารถนาในตัวนาง
กลิ่นหอมลอยอบอวล อากาศหนาวเย็นพลันแปรเปลี่ยนเป็นร้อนรุ่ม ซูหลีรู้สึกอ่อนระทวยไร้เรี่ยวแรงไปทั้งตัว ในร่างกายกลับมีความรู้สึกซาบซ่านขุมหนึ่ง ขับเคลื่อนให้นางกอดเขา และตอบรับเขา แต่เพียงเท่านี้กลับไม่อาจทำให้เขาพึงพอใจได้อีกแล้ว เขาอุ้มนางแล้วเดินตรงไปที่เตียง
“ตงฟางเจ๋อ…” นางพลันได้สติขึ้นมาหนึ่งส่วน รีบผลักเขาออก หอบหายใจแล้วกล่าวว่า “เดี๋ยวก่อน”
“ทำไมเล่า?” ครั้นสัมผัสได้ว่าคนในอ้อมแขนดูลนลานเล็กน้อย เขาก็ข่มกลั้นความปรารถนาอันรุนแรงในร่างกาย แล้วปล่อยนางลงอย่างระมัดระวัง
เห็นเขาใส่ใจถึงเพียงนี้ หัวใจของซูหลีเต็มไปด้วยความอบอุ่น นางแย้มยิ้มโดยไม่รู้ตัว “ข้าต้องไปแล้ว พวกหวั่นซินรอข้าอยู่ข้างนอก”
ตงฟางเจ๋อได้ยินเช่นนั้นก็พลันหน้าเปลี่ยนสี “เจ้าจะไปไหน?” หัวใจที่กำลังรุ่มร้อมดั่งเปลวไฟ พลันเย็นเยียบเหมือนก้าวเท้าเข้าไปในชั้นน้ำแข็ง เขามองหน้านางอย่างไม่อยากเชื่อ นึกว่าที่นางรอเขาอยู่ที่นี่ เพราะให้อภัยเขา ยอมรับเขาแล้ว และจะอยู่กับเขาไปชั่วชีวิต นึกไม่ถึง นางกลับจะจากไป!
ซูหลีเห็นใบหน้าเขาเขียวคล้ำ ท่าทางเหมือนคนถูกทำร้าย ก็อดแย้มยิ้มเบาๆ ไม่ได้ “ข้ามีเรื่องต้องทำ ย่อมต้องไปจากที่นี่”
ตงฟางเจ๋อกุมมือนางอย่างไม่เห็นด้วย “เจ้ามีเรื่องใดสำคัญถึงเพียงนี้? ข้าช่วยเจ้าจัดการก็ได้แล้ว”
ซูหลีถอนหายใจ แล้วกล่าวว่า “เมื่อครู่ข้าเพิ่งได้รับข่าว องค์รัชทายาทแคว้นติ้งถูกลอบสังหารระหว่างทาง ตอนนี้ยังไม่ทราบเบาะแสแน่ชัด ข้าจะไปตามหาเขา!” นึกถึงหลางฉ่างที่ตอนนี้อาจตกอยู่ในอันตราย นางก็เป็นห่วงจนไม่อาจทำใจให้สงบ
ตงฟางเจ๋ออดขมวดคิ้วไม่ได้ “หลางฉ่างตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก แล้วเกี่ยวอันใดกับเจ้า?” ครั้นนึกได้ว่าหลางฉ่างเคยแย่งชิงนางกับเขาต่อหน้าธารกำนัลในแคว้นเฉิง กระทั่งทำทุกทางเพื่อที่จะพานางกลับแคว้นให้ได้ ยามนี้หลางฉ่างหายตัวไป นางกลับร้อนใจเช่นนี้ จะไปตามหาด้วยตนเอง โดยไม่ลังเลที่จะแยกจากกับเขา เขาพลันรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาทันที
ซูหลียกนิ้วมือลูบไล้คิ้วของเขา แย้มยิ้มเบาๆ กล่าวว่า “เกี่ยวข้องเป็นอย่างมาก ภายหน้าข้าจะเล่าให้ท่านฟังเอง”
“ไม่ได้” เขากุมมือนาง ยกขึ้นจุมพิตเบาๆ จ้องหน้านางด้วยสายตาลึกซึ้ง “เจ้าเป็นของข้า ข้าไม่มีทางยอมให้ผู้ใดแย่งเจ้าไปจากข้า”
นางหลุดหัวเราะ “ท่านคิดมากไปแล้ว ข้าเห็นหลางฉ่างเป็นเพียงพี่ชายเท่านั้น!”
“นั่นก็ไม่ได้” น้ำเสียงของเขาถี่กระชั้นขึ้นหนึ่งส่วน “เจ้าคิดกับเขาเช่นไร ข้าย่อมรู้ดี แต่ใจเขาคิดอย่างไรกับเจ้า เรื่องนั้นข้าไม่มีทางไว้ใจได้ง่ายๆ!”
ซูหลีส่ายหน้าอย่างจนใจ “เช่นนั้นก็ได้ บอกท่านไปก็คงไม่เป็นไร ข้าอยากไปตามหาหลางฉ่าง เพราะสงสัยว่าเขาอาจรู้ชาติกำเนิดของข้า!”
“อะไรนะ?!” ตงฟางเจ๋อเบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจ
“ก่อนตาย ท่านน้าจิ้งหวั่นบอกข้า ว่าข้าไม่ได้เป็นบุตรสาวแท้ๆ ของเสด็จพ่อ! ก่อนที่เสด็จแม่จะพบเสด็จพ่อ นางตั้งครรภ์อยู่ก่อนแล้ว เพียงเพราะธิดาเทพไม่อาจให้กำเนิดลูกได้ เพื่อปกป้องข้า นางจึงตัดสินใจไปจากแคว้นเปี้ยน”
ตงฟางเจ๋อตะลึงงัน ทุกคนล้วนรู้ดีว่าเซ่อเจิ้งอ๋องหลีเฟิ่งเซียนแห่งแคว้นเฉิงรักพระชายาในเซ่อเจิ้งอ๋อง และทะนุถนอมหลีซูธิดาคนโปรดดั่งแก้วตาดวงใจถึงเพียงใด ไม่มีใครคาดคิด หลีซูกลับไม่ใช่ลูกสาวแท้ๆ ของหลีเฟิ่งเซียน?! ตงฟางเจ๋อถอนหายใจด้วยความประหลาดใจ อดรู้สึกเลื่อมใสในตัวหลีเฟิ่งเซียนขึ้นมาไม่ได้
ซูหลีกล่าวต่อว่า “ตอนนั้นไม่รู้ว่าเพราะเหตุผลใด เสด็จแม่กลับไม่อาจอยู่กับบิดาบังเกิดเกล้าของข้าได้ แต่ข้าเคยไปสำรวจในบ้านที่พวกเขาเคยอยู่ด้วยกัน แล้วเจอรูปภาพภาพหนึ่ง ตราประทับบนรูปภาพมีลวดลายเหมือนหยกห้อยเอวที่หลางฉ่างเคยมอบให้ข้า เสด็จแม่จะต้องรักท่านพ่อมากแน่ๆ ถึงได้ทิ้งกลอนเช่นนั้นไว้ด้านหลังรูปภาพ สิบกว่าปีต่อมา เพื่อปกป้องข้าเสด็จแม่ต้องทนทุกข์ทรมานมากมาย ซ้ำยังต้องจากไปอย่างน่าเวทนา ข้าอยากตามหาบิดาที่แท้จริงของข้า แล้วถามเรื่องราวในอดีตให้ชัดเจน” ขณะกล่าว นางหยิบหยกห้อยเอวชิ้นนั้นออกมาจากเอว ลวดลายซับซ้อนและประณีตงดงามของมันไม่สามารถลอกเลียนแบบได้อย่างแน่นอน
ตงฟางเจ๋อเห็นหยกชิ้นนั้นดูไม่ธรรมดา ก็ตะลึงงันไปเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวว่า “เจ้าสงสัยว่าบิดาของเจ้าเป็นราชนิกุลแคว้นติ้ง?”
ซูหลีส่ายหน้าอย่างสับสน “ข้าไม่รู้ หยกห้อยเอวชิ้นนี้เป็นของที่หลางฉ่างมอบให้ข้า ถ้าหากข้าหาเขาพบ บางทีอาจได้เบาะแสเรื่องท่านพ่อจากเขาบ้าง”
ตงฟางเจ๋อเอ่ยด้วยความสงสัย “ถ้าหากหลางฉ่างรู้ เหตุใดเมื่อก่อนเขาไม่เคยพูดถึงเลยเล่า?”
ซูหลีครุ่นคิด “บางที เขาอาจไม่แน่ใจ ว่าข้าใช่คนที่เขากำลังตามหาหรือไม่? เพราะถึงอย่างไรเสด็จแม่กับหลีซูก็จากโลกนี้ไปแล้ว”
ตงฟางเจ๋อหลุบตาด้วยความหม่นหมองเศร้าสร้อย ทุกครั้งที่เอ่ยถึงหลีซู หัวใจของเขาเจ็บปวดเหมือนมีเข็มนับพันทิ่มแทง เขากุมมือนาง แล้วกล่าวอย่างละอายใจ “ซูซู ข้าขอโทษ!”
ซูหลีเห็นเขาทรมานด้วยความรู้สึกผิด ในใจก็เจ็บแปลบขึ้นมาเล็กน้อย นางทอดถอนใจเสียงเบา “ทุกอย่างล้วนผ่านไปแล้ว…”
ตงฟางเจ๋อกอดนาง แนบแก้มกับเรือนผมของนาง “ข้าจะไปตามหาเขากับเจ้า”
ซูหลีเงียบไปครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ส่ายหน้า “แว่นแคว้นไม่อาจขาดประมุขได้แม้เพียงวันเดียว ท่านจากแคว้นเฉิงมานานมากแล้ว ควรกลับไปได้แล้ว ข้ากับหลางฉ่างเคยตกลงกันไว้ ว่าหากไปแคว้นติ้ง เขาจะปฏิบัติต่อข้าอย่างดี ไม่ว่าการตามหาท่านพ่อจะสำเร็จหรือไม่ ข้าก็จะกลับมาหาท่าน เชื่อข้า”
นางเงยหน้ามองเขา นัยน์ตาดำขลับเปล่งประกายสดใส หัวใจของเขาสั่นไหว อดกล่าวไม่ได้ “ข้าเชื่อเจ้า แต่ว่า ข้าไม่อยากให้เจ้าไปจากข้า”
เขากับนางเพิ่งคลายปมในใจ ปล่อยวางอดีต และจริงใจต่อกันได้ พริบตาเดียวก็ต้องจากกันอีกแล้ว เขาจะทำใจได้เช่นไรเล่า? แต่ที่นางเป็นห่วงก็ไม่ผิด ในฐานะฮ่องเต้ การจากแคว้นของตนเองมาร่อนเร่อยู่ข้างนอกเป็นเวลานาน ทำให้ไพร่ฟ้าไม่อาจสงบใจ ภายหน้าย่อมต้องเกิดปัญหาตามมา
ซูหลีแย้มยิ้มเบาๆ แล้วกล่าวว่า “ท่านวางใจเถิด อย่างมากก็ครึ่งปี ข้าจะต้องกลับไปหาท่านอย่างแน่นอน”
ตงฟางเจ๋อนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง “ครึ่งปีนานเกินไป สามเดือน! ภายในสามเดือน หากเจ้าไม่กลับมา ข้าจะไปหาเจ้าทันที”
ซูหลีถอนหายใจ พยักหน้าอย่างจนใจ เขายกมือ ลูบผมข้างใบหูนางเบาๆ นัยน์ตาอาลัยอาวรณ์ของเขาวนเวียนอยู่บนใบหน้างดงามของนาง ก่อนจะกล่าวอย่างทอดถอนใจ “ซูซู อย่าปล่อยให้ข้ารอนานเกินไป”
ซูหลีกุมมือของเขา แหงนหน้าแล้วจุมพิตกลีบปากเขาเบาๆ “ต้องได้พบกันอีกแน่นอน” นางพลันหมุนกาย ค่อยๆ ย่างกรายเดินจากไปด้วยฝีเท้าอันแผ่วเบา
ไกลออกไป แสงสีทองอาบไล้ผืนฟ้า เจิดจรัสเหมือนดั่งบุปผาบานสะพรั่ง งดงามไร้ที่เปรียบ
………………………