กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 475 ฮ่องเต้หญิง พวกเราแต่งงานกันเถิด (11)
ซูหลียืนอยู่ใต้ต้นพรหมลิขิต เงยหน้ามองต้นไม้สูงชะลูดฟ้าสองต้นที่กอดเกี่ยวพันรัดกัน ลึกๆ ในใจพลันรู้สึกซาบซึ้ง
“เขาจะมาไหมนะ?” สายตาของซูหลีมีแววสงสัยพาดผ่าน
“เจ้าสำนักกำลังกังวลสิ่งใดอยู่หรือเจ้าคะ” หวั่นซินเดินมาด้านหลังนาง เงยหน้ามองต้นไม้ใหญ่สองต้น คล้ายมีเรื่องในใจเช่นกัน
ซูหลียิ้ม “เขาไม่มีอะไรที่ทำให้ข้ากังวลหรอก กลับเป็นเสด็จพี่…”
“ท่านกล่าวเช่นนี้ คล้ายจะประเมินองค์รัชทายาทต่ำไปแล้ว” หวั่นซินแย้มยิ้มเล็กน้อย “ข้ารู้เพียงว่า พ่อค้าทั่วเมืองล้วนได้รับคำสั่งจากองค์รัชทายาท ว่าจะขายถั่วแดงให้ผู้ใดก็ได้ แต่ห้ามขายให้คนผู้หนึ่งเด็ดขาด”
ซูหลีตะลึงงันเล็กน้อย แล้วนางก็แย้มยิ้มอ่อนๆ “วิธีนี้ของเสด็จพี่เกรงว่าจะใช้ไม่ได้ผล”
หวั่นซินยิ้มแล้วเอ่ยว่า “ข้าน้อยก็คิดเช่นนั้นเจ้าค่ะ”
ซูหลียื่นมือออกไปลูบไล้แสงตะวันที่ส่องลอดใบไม้ลงมา พลันนั้น เบื้องหน้ามีเงาร่างของคนผู้หนึ่งสาวเท้าเข้ามาอย่างแช่มช้า สายตานางพลันแปรเปลี่ยนเป็นอบอุ่น หวั่นซินรีบกล่าวขึ้นทันที “ข้าน้อยขอตัวเจ้าค่ะ”
ซูหลียืนอยู่ใต้ต้นไม้ แสงตะวันที่ส่องลอดใบไม้สาดกระทบร่างกายนาง งดงามดั่งเทพธิดาบนโลกมนุษย์
หัวใจของตงฟางเจ๋อปั่นป่วน เดินไปยืนข้างกายนาง แล้วกล่าวเสียงเบาว่า “เจ้ากำลังรอข้าหรือ?”
ซูหลีแย้มยิ้มเล็กน้อย “ท่านรู้ได้อย่างไรว่าข้ากำลังรอท่านอยู่?”
เขาจับมือเรียวบางขึ้นมา แล้วมองหน้านาง “นอกจากข้า ไม่ทราบว่ายังมีผู้ใดในโลกนี้ ที่ทำให้องค์หญิงฉางเล่อยืนรออยู่ใต้ต้นพรหมลิขิตนี้ได้อีก”
“ท่านมั่นใจถึงเพียงนี้เชียวหรือ?”
“สัญญาสามเดือน หรือเจ้าลืมไปแล้ว?”
ซูหลีเอ่ยเสียงแผ่วเบา “ย่อมไม่ลืม ท่านมาได้เวลาจริงๆ วันนี้เป็นเทศกาลถงซินพอดี ท่านนำของแทนใจมาด้วยหรือไม่?”
ตงฟางเจ๋อคลี่ยิ้ม แล้วกล่าวว่า “ยามนี้เจ้ากลายเป็นองค์หญิงฉางเล่อแห่งแคว้นติ้งไปแล้ว ข้าย่อมต้องเข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตามอยู่แล้ว”
เขาล้วงมือเข้าไปในอกเสื้อ ล้วงสร้อยข้อมือสีแดงเส้นหนึ่งออกมา สร้อยข้อมือเส้นนั้นถูกทำขึ้นโดยด้ายสีแดงสองเส้นพันกัน เม็ดถั่วแดงครึ่งหนึ่งอยู่ด้านซ้าย อีกครึ่งหนึ่งอยู่ด้านขวา เหมือนดั่งหัวใจสองดวง ที่เฝ้ามองหาซึ่งกันและกันเสมอ อยู่เคียงคู่กันไปจนแก่เฒ่า
ซูหลีตะลึงงัน เขาค่อยๆ สวมสร้อยให้นาง พลางอุทานเบาๆ “งดงามจริงๆ นึกไม่ถึงว่าเม็ดถั่วที่แตกแล้วของข้า ครั้นอยู่บนข้อมือเจ้า กลับเปล่งประกายได้ถึงเพียงนี้”
ซูหลียกข้อมือขึ้นดู ริมฝีปากเผยรอยยิ้ม “เหตุใดจึงแตกเป็นสองส่วนได้เล่า?”
“สองส่วนเดิมเป็นหนึ่งเดียว ข้าเพียงอยากรักเดียวใจเดียว แต่นึกไม่ถึงกลับมีคนอยากให้หัวใจสองดวงแยกจากกัน” ตงฟางเจ๋อมองหน้านางอย่างลึกซึ้ง แล้วกล่าวอย่างมีความหมายแฝง “แต่ไม่ว่ามันจะแตกสลายอย่างไร สุดท้ายก็ยังเป็นหนึ่งเดียวกันอยู่ดี ไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลงหัวใจที่เป็นของกันและกันของพวกมันได้”
ซูหลีประทับใจ มองดูถั่วแดงในมืออย่างละเอียด “ท่านทำเองหรือ?”
“แน่นอน”
“ใช้เส้นด้ายสอดผ่านถั่วแดงที่แตกแล้ว ต้องอาศัยกำลังภายในที่ไม่ธรรมดา วรยุทธ์ของท่านก้าวหน้าขึ้นอีกแล้ว” ซูหลีหัวเราะเสียงเบา “เสด็จพี่ไม่ได้ทำให้ท่านลำบากใจกระมัง?”
ตงฟางเจ๋อถอนหายใจเบาๆ รั้งนางเข้ามากอด แล้วสูดดมเรือนผมนางเบาๆ “เขา…เปล่า”
ซูหลีกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ท่านใกล้จะกลายเป็นน้องเขยเขา เลยไม่ถือสาเรื่องพวกนี้แล้ว”
ดวงตาของตงฟางเจ๋อเป็นประกายด้วยความยินดี สายตาสดใส “เจ้าพูดเช่นนี้ ข้าจะถือว่าเจ้ารับปากแล้ว ดอกซิ่วฉิวของข้าเล่า?”
ซูหลีมองหน้าเขาด้วยความประหลาดใจ “ท่านรู้จักดอกซิ่วฉิวด้วยหรือ?”
“ข้ายังรู้อีกว่า หากเจ้ามอบดอกซิ่วฉิวให้ข้า ถึงแม้เง็กเซียนฮ่องเต้จะเสด็จมา ก็ไม่อาจแยกสองเราจากกันได้”
ซูหลีหัวเราะ “ท่านใส่ใจถึงเพียงนี้ น่าเสียดายที่ข้าไม่ได้เตรียมมา ติดค้างไว้ก่อนก็แล้วกัน”
ตงฟางเจ๋อขมวดคิ้ว “เรื่องอย่างนี้ติดค้างได้ด้วยหรือ?”
ซูหลีหัวเราะเสียงเบา แล้วโอบกอดเขา “ติดค้างไว้ ภายหน้าถึงจะมีให้คืน”
ตงฟางเจ๋อผุดยิ้ม กอดตอบนางอย่างอิ่มเอมใจ วินาทีนี้ สายลมโชยอ่อนก้อมเมฆเคลื่อนคล้อย แสงตะวันอบอุ่นสาดส่องลงมา
“ฮ่องเต้เสด็จ!”
เสียงขานร้องเล็กแหลม ทำให้สองคนที่กำลังโอบกอดกันอย่างเงียบงันสะดุ้งเล็กน้อย
เกี้ยวของฮ่องเต้แคว้นติ้งค่อยๆ จอดหน้าประตูวัด เหล่าองครักษ์กันผู้คนที่ไม่เกี่ยวข้องให้ออกห่าง ฮ่องเต้แคว้นติ้งเดินเข้ามาในวัดโดยมีขันทีคอยประคอง หลังได้รับการดูแลรักษาอย่างดีจากเจียงหยวน เทียบกับหนึ่งเดือนก่อน ถึงแม้สีหน้าของเขาจะดีขึ้นมากแล้ว ทว่าโรคเก่าแก่ยากจะรักษา ยังคงอ่อนแรงและไออยู่บ่อยๆ
ซูหลีเดินเข้าไปประคอง “เสด็จพ่อทรงมาได้เช่นไรเพคะ?”
ฮ่องเต้แคว้นติ้งกุมมือนาง หัวใจพลันอบอุ่น แย้มยิ้มและกล่าวด้วยความรักใคร่ว่า “ฉางเล่อไม่อยู่ข้างกาย ข้ารู้สึกหัวใจว่างเปล่าเดียวดายยิ่งนัก”
ซูหลีเม้มปากแย้มยิ้ม “เมื่อเช้าหม่อมฉันเพิ่งเสวยมื้อเช้าพร้อมเสด็จพ่อไปเองนะเพคะ”
พระที่นั่งถูกยกมาวางใต้ต้นไม้ ซูหลีประคองฮ่องเต้แคว้นติ้งเดินไปนั่งลง
ฮ่องเต้แคว้นติ้งกล่าวอย่างปวดใจ “พ่อแก่ชราแล้ว เหลือเวลาน้อยลงทุกวันๆ หากไม่มองหน้าเจ้าให้มากๆ เกรงว่าต่อไปแม้อยากเห็น…ก็คงไม่ได้เห็นแล้ว”
หัวใจของซูหลีบีบรัด อดพูดขึ้นไม่ได้ว่า “จะเป็นเช่นนั้นไปได้อย่างไรเพคะ เสด็จพ่อจะต้องมีพระวรกายแข็งแรงและอายุยืนไปถึงร้อยปีแน่นอนเพคะ”
นางหันกลับไปมองตงฟางเจ๋อ แววกังวลพาดผ่านใบหน้า
ตงฟางเจ๋อสาวเท้าไปข้างหน้า ยิ้มแล้วกล่าวว่า “ฮ่องเต้แคว้นติ้งโปรดวางพระทัย ภายหน้าซูซูจะมาเยี่ยมพระองค์ที่เมืองหลวงแคว้นติ้งบ่อยๆ แน่นอน”
ฮ่องเต้แคว้นติ้งถามด้วยสีหน้าเย็นชา “เจ้าเป็นผู้ใด?”
สายตาของตงฟางเจ๋อขรึมลงเล็กน้อย ทว่ายังคงแย้มยิ้มและตอบด้วยน้ำเสียงปกติ “ตงฟางเจ๋อมาเยือนเมืองหลวงแคว้นติ้งเป็นครั้งแรก ยังไม่ทันได้เข้าวังถวายบังคมฮ่องเต้แคว้นติ้ง ฝ่าบาทโปรดอภัยที่ตงฟางเจ๋อเสียมารยาทด้วย”
ฮ่องเต้แคว้นติ้งเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย มองพิจารณาเขา แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ที่แท้ก็ฮ่องเต้แคว้นเฉิงผู้เลื่องชื่อลือชานี่เอง เสด็จมาเยือนถึงเมืองหลวงแคว้นติ้งด้วยเรื่องใดหรือ?!”
น้ำเสียงของเขาสะท้อนความเฉยชาอย่างที่ไม่ค่อยได้เห็นนัก ตงฟางเจ๋อไม่ใส่ใจ เขามองหน้าซูหลีด้วยสายตาลึกซึ้ง แย้มยิ้มแล้วกล่าวว่า “อย่างที่ฝ่าบาททรงเห็น ข้ากับซูซูรักใคร่กันมานาน ก่อนที่นางจะมาตามหาบิดาที่แคว้นติ้ง ได้สัญญากับข้าไว้ว่าภายในสามเดือน ไม่ว่าผลการตามหาบิดาจะเป็นเช่นไร นางก็จะกลับแคว้นเฉิง ยามนี้ถึงเวลาตามที่สัญญาไว้แล้ว แต่กลับไม่เห็นนางกลับมา ข้าจนใจ จึงทำได้เพียงมารับนางด้วยตนเอง”
“เป็นเรื่องจริงหรือ?!” ฮ่องเต้แคว้นติ้งสะท้านไปทั้งตัว มองหน้าซูหลีด้วยความตกใจสุดแสน
ซูหลีรู้สึกเพียงมือของฮ่องเต้แคว้นติ้งที่กุมมือนางไว้กระชับแน่นขึ้นมาก ราวกับกลัวว่าหากปล่อยมือ นางก็จะหายลับไปจากข้างกายเขาทันที หัวใจของนางจมดิ่งสู่ก้นเหว ถึงแม้รู้ว่าการตอบไปตามความจริงจะทำให้เสด็จพ่อปวดใจ แต่เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ก็จะต้องพูดให้ชัดเจน นางก้มหน้ากล่าวเสียงเบา “เพคะ…”
ใบหน้าของฮ่องเต้แคว้นติ้งซีดเผือด พลันอ่อนแรง และไออย่างหนักทันที
“เสด็จพ่อ!” หลางฉ่างสาวเท้ายาวๆ เดินเข้ามา กล่าวด้วยความเป็นห่วง “เสด็จพ่อไม่สบายตรงที่ใดพ่ะย่ะค่ะ? ลูกจะไปตามหมอหลวงมาเดี๋ยวนี้”
ฮ่องเต้แคว้นติ้งใบหน้าซีดขาว โบกมือไปมาอย่างอ่อนแรงพลางกล่าวว่า “ไม่ต้องตาม ข้าเพิ่งกินยาก่อนจะมาที่นี่”
“เสด็จพ่อไม่เป็นไรจริงหรือเพคะ?” ซูหลีมองฮ่องเต้แคว้นติ้งด้วยสายตาเป็นห่วง
ฮ่องเต้แคว้นติ้งส่ายหน้า มองหน้าซูหลี แล้วกล่าวว่า “เจ้าจะไปจากข้างั้นหรือ?”
สายตาอ่อนโยนของหลางฉ่างจดจ้องใบหน้าซูหลี “เจ้าตัดสินใจแน่แล้วหรือ?”
ซูหลีถอนหายใจ แล้วตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “หวังว่าเสด็จพ่อและเสด็จพี่จะทรงอวยพรหม่อมฉันเพคะ”
หลางฉ่างกล่าวเสียงเย็นชา “ยามนั้นเพื่อต่อกรกับจั้นอู๋จี๋ เขาแสร้งแต่งงานกับหยางเสวียน ทำให้หัวใจของเจ้าแตกสลายและสิ้นหวัง จนต้องจัดฉากฆ่าตัวตายเพื่อหนีมา และเผชิญหน้ากับอันตรายมากมาย…เจ้าจะให้เสด็จพ่ออนุญาตให้เจ้าแต่งงานกับเขาได้เช่นไร?!”
“เสด็จพี่!” ซูหลีถอนหายใจ “เรื่องนั้น ล้วนกลายเป็นอดีตไปแล้ว…”
หลางฉ่างมองหน้านางอย่างลึกซึ้ง แล้วกล่าวทีละคำๆ “บางทีสำหรับเจ้ามันอาจกลายเป็นอดีตไปแล้ว แต่พี่กลับไม่มีวันลืม ตอนที่เขากับหยางเสวียนแต่งงานกัน บรรยากาศรื่นรมย์ เสียงโห่ร้องยินดีดังก้องฟ้า มีเพียงเจ้า…ที่ยืนอย่างโดดเดี่ยวอยู่นอกตำหนัก สายตาที่เจ้ามองเขาในยามนั้น…จนถึงตอนนี้พี่ยังจำได้ขึ้นใจ! มีชีวิตมายี่สิบกว่าปี หลางฉ่างไม่เคยเกลียดชังผู้ใด แต่ตงฟางเจ๋อ ท่านช่างร้ายกาจยิ่งนัก ที่ทำให้ข้าทำลายกฎเกณฑ์นี้เพื่อท่านได้!”
……………………