กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 479 ตอนพิเศษตงฟางเจ๋อ : สูญเสียคนรักตลอดกาล (1)
ถ้าหากว่า สามารถย้อนเวลาได้ ข้าก็ขอให้คืนนั้นเราอย่าได้พบกันในโรงเตี๊ยมข้างแม่น้ำเลย
ท้องฟ้ายังคงหม่นหมอง เต็มไปด้วยพยับเมฆสีเทา บีบคั้นหัวใจผู้คน พายุฝนตกติดต่อกันหลายวัน น้ำในแม่น้ำหลานชางเพิ่มระดับอย่างรวดเร็ว แทบจะล้นขอบตลิ่ง น้ำสีเหลืองขุ่นไหลเชี่ยวไปสู่บูรพาทิศ คล้ายต้องการกลืนกินสรรพสิ่งบนโลก ยาวเหยียดราวกับไร้จุดสิ้นสุด
บนผิวน้ำที่กำลังป่วนพล่าน จู่ๆ ก็มีคนผู้หนึ่งผุดขึ้นมา ชุดมงคลสีแดงเข้มยิ่งขับเน้นให้ใบหน้าหล่อเหลาดูซีดขาว อ่อนล้า คล้ายเหน็ดเหนื่อยอย่างถึงที่สุด ลมหายใจของเขาหอบกระชั้น สายตาร้อนรนจับจ้องผิวน้ำอันกว้างใหญ่ ความหวาดกลัวอย่างไม่มีที่สิ้นสุดเอ่อล้นในใจ
ถึงแม้จะกระโดดตามลงมาติดๆ ก็ยังคงไม่อาจคว้าร่างนางไว้ได้ทัน จากจุดที่นางกระโดดลงมา จนถึงจุดสิ้นสุดกระแสน้ำตอนล่าง ระยะทางห่างกันประมาณยี่สิบกว่าลี้ เป็นเวลาเจ็ดวันเต็ม ที่ทหารในจวนสามพันนายผลัดเปลี่ยนกันดำน้ำในแม่น้ำอย่างสุดความสามารถ พวกเขาตามหาทุกกระเบียดนิ้ว แต่กลับไม่พบร่องรอยของสิ่งมีชีวิตใดแม้แต่น้อย
แม้แต่คนที่เชี่ยวชาญการว่ายน้ำอย่างเขา เมื่อต้องอยู่ในสภาพแวดล้อมอันเลวร้ายแบบนี้ถึงเจ็ดวัน ยังถือเป็นเรื่องที่ท้าทายอย่างมาก แล้วนางที่เป็นคนกลัวน้ำเล่า?
ความหวังอันริบหรี่ แทบจะกลายเป็นสิ้นหวัง
เสื้อผ้าที่เปียกชุ่มแนบติดผิวกาย ราวกับมีน้ำหนักเป็นพันจิน หากไม่ระวังมันก็จะดึงเขาให้จมดิ่งสู่ก้นแม่น้ำที่ลึกกว่าหมื่นจั้ง เขาไม่เคยรู้สึกไร้เรี่ยวแรงขนาดนี้มาก่อน มือใหญ่ลูบไปที่เอวโดยสัญชาตญาณ ขวดยาในถุงผ้าต่วนว่างเปล่าไม่เหลือยาสักเม็ดแล้ว เขาเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเขากินยาชิงซินเม็ดสุดท้ายไปเมื่อคืนแล้ว
ตงฟางเจ๋อกัดฟัน สูดหายใจลึกๆ ขณะตัดสินใจจะดำลงไปใต้น้ำอีกครั้ง คลื่นระลอกใหญ่ซัดเข้ามา ฟองคลื่นซัดสาดใส่ร่างกายเขาอย่างรุนแรง พลังมหาศาลกระแทกร่างชายหนุ่มให้ลอยออกไป จนเกือบถูกกลืนสู่ก้นแม่น้ำ
“ฝ่าบาท!” เซิ่งฉินที่เพิ่งจะผุดขึ้นมาสูดอากาศหายใจประคองเขาไว้ได้ทัน พลางกล่าวเกลี้ยกล่อม “พระองค์ขึ้นไปพักผ่อนบนฝั่งก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ! กระหม่อมฉันดูแลที่นี่เอง”
นางเป็นตายร้ายดีอย่างไรไม่รู้ เขาจะพักได้อย่างไรกัน?
ตงฟางเจ๋อสูดหายใจ กล่าวเสียงเข้ม “ทางเซิ่งเซียวมีความคืบหน้าใดหรือไม่?”
เซิ่งฉินลังเลครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบเสียงเบา “ยังไม่มีพ่ะย่ะค่ะ”
ตงฟางเจ๋อหลับตาเบาๆ ซูซู เจ้าอยู่ที่ใดกันแน่?!
เซิ่งฉินไม่อาจปิดบังความเป็นห่วง อากาศในเดือนสามต้นฤดูใบไม้ผลิ สายลมหนาวพัดผ่านเสมือนถูกใบมีดกรีดเฉือนผิวหนัง แม้น้ำหลานชางหนาวยะเยือกถึงเพียงนี้ เขาลงมาในน้ำไม่นานร่างกายก็แข็งทื่อแล้ว หากไม่ใช่ว่ามีรากฐานวรยุทธ์ที่แข็งแกร่ง คงทนไม่ไหวนานแล้ว แต่ฝ่าบาทไม่ขึ้นฝั่งเจ็ดวันแล้ว ไม่หลับไม่นอน ดำน้ำตามหาคนทั้งวันทั้งคืน ถึงแม้เขาจะมีวรยุทธ์ไร้เทียมทาน แต่กำลังภายในนั้นมีวันหมด ถึงอย่างไรเขาก็เป็นคนไม่ใช่เทพ!
ติดตามตงฟางเจ๋อมานานหลายปี ยังไม่เคยเห็นเขาคลุ้มคลั่งขนาดนี้ ตอนนี้เขาเหมือนสูญเสียสติไปอย่างสิ้นเชิง ท่านหญิง…ช่างใจเด็ดยิ่งนัก อย่าว่าแต่ฝ่าบาทเลย แม้แต่เซิ่งฉินเอง เสี้ยววินาทีที่เห็นนางกระโดดแม่น้ำด้วยตาตนเอง ก็ยังตื่นตะลึงจนแทบสิ้นสติ
ทั้งที่เป็นคู่สวรรค์สร้างแท้ๆ เหตุใดจึงเดินมาถึงจุดนี้ได้?
หลังจากฟื้นพลังมาได้เล็กน้อย ตงฟางเจ๋อก็ดันมือเซิ่งฉินออก เตรียมตัวจะดำลงไปใต้น้ำอีกครั้ง แต่กลับได้ยินเสียงหนึ่งดังมาจากที่ไกลๆ “เจอแล้ว เจอแล้ว!”
เซิ่งฉินตะโกนขึ้นมาทันที “ฝ่าบาท เป็นเซิ่งจินพ่ะย่ะค่ะ!”
ตงฟางเจ๋อสะท้านไปทั้งใจ รีบว่ายขึ้นฝั่งด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี
ห่างกันเพียงไม่กี่ก้าว แต่กลับรู้สึกว่าไกลแสนไกล
ริมฝั่งแม่น้ำ ศพสตรีนางหนึ่งนอนแน่นิ่งอยู่ตรงนั้น ร่างกายที่ถูกห่อหุ้มด้วยเสื้อผ้าสีขาวบวมอืดอย่างหนัก ไม่เหลือสภาพเดิมแม้แต่น้อย เครื่องหน้าทั้งห้ายากจะแยกแยะ พวงแก้มด้านซ้ายมีรอยสีแดงจางๆ แล้วยังมีเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย ที่เหมือนเสื้อผ้าของซูหลีในวันนั้นทุกอย่าง
คำตอบ ไม่ต้องพูดก็คล้ายจะชัดเจนอยู่แล้ว
ตงฟางเจ๋อถมึงตาจ้องศพนั้น ลมหายใจสะดุด เนิ่นนานก็ยังพูดอะไรไม่ออกสักคำ ไม่! นี่ไม่ใช่นาง! ซูซูของเขาไม่มีทางยอมทิ้งชีวิตตนเองง่ายๆ เช่นนี้! เครื่องแต่งกายและปานที่เหมือนกันเป็นเพียงเรื่องบังเอิญ หน้าตาก็บวมอืดจนแยกไม่ออกแล้ว! ไม่มีอะไรยืนยันได้เลยว่านี่คือนาง! เป็นแค่เรื่องบังเอิญเท่านั้น ต้องเป็น…เขาหาเหตุผลมากมายมาบอกตนเอง ลึกๆ ในใจกลับมีความหวาดกลัวผุดขึ้นมา เขาผงะถอยหลังครั้งแล้วครั้งเล่า สีหน้าซีดเผือดยิ่งกว่าศพที่นอนอยู่บนพื้นหลายเท่า
สตรีที่งดงามโดดเด่นถึงเพียงนั้น ยามนี้กลับกลายสภาพเป็นอย่างนี้ ถึงแม้จะเตรียมใจไว้แต่แรกแล้ว เซิ่งฉินก็ยังเบือนหน้าหนี ทำใจดูไม่ได้
เซิ่งจินทนไม่ไหว ก้าวเข้าไปกล่าวเกลี้ยกล่อม “คนตายไม่อาจฟื้นคืน ฝ่าบาทโปรดระงับความเศร้าด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
ยังไม่ทันสิ้นเสียงพูด เสียง ‘เพียะ’ ก็ดังขึ้น ตงฟางเจ๋อตวัดฝ่ามือใส่ใบหน้าเขาอย่างแรง เลือดสายหนึ่งไหลออกจากมุมปากของเซิ่งจิน
“หากเจ้าพูดคำว่าตายอีกครั้ง ก็จงรับโทษด้วยความตายเสีย!”
“ฝ่าบาทโปรดระงับโทสะ!” ทุกคนร้องขึ้นพร้อมกัน ต่างคุกเข่าและกล่าวเกลี้ยกล่อมพร้อมกัน “ฝ่าบาทโปรดระงับความเศร้าด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”
หน้าอกตงฟางเจ๋อกระเพื่อมขึ้นลง โกรธจนตัวสั่น ผ่านไปเนิ่นนานก็ยังพูดอะไรไม่ออก มีเพียงเสียงลมหายใจอันหนักหน่วงของเขา ที่ดังสะท้อนอยู่ในหูทุกคน ผ่านไปครู่หนึ่ง ได้ยินเขาตวาดเสียงเกรี้ยวว่า “เซิ่งฉิน รีบไปนำกำลังคนมาอีกหนึ่งพันคน! ตามหาต่อไป!”
เซิ่งฉินอ้าปาก เงยหน้ามองเขาคล้ายต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายกลับทำได้เพียงก้มหน้าลงไปอย่างทุกข์ใจ
“ฝ่าบาท พระองค์ทอดพระเนตรสิ่งนี้ดูเถิด!” เซิ่งจินพลันนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ล้วงของบางสิ่งออกจากอกเสื้อแล้วยื่นให้เขา “เจอสิ่งนี้อยู่บนตัวศพสตรีนางนี้พ่ะย่ะค่ะ”
หัวใจของตงฟางเจ๋อสั่นสะท้านไปทั้งดวง เขาตะลึงงันไปทันที ตุ๊กตาไม้จันทน์ขนาดเท่าฝ่ามือ ประณีตงดงามและสมบูรณ์แบบ เครื่องหน้าทั้งห้าราวกับมีชีวิต กลีบปากเผยอยิ้มบางเบา ดวงตาที่เหมือนดั่งหยกสีดำจ้องมองเขา ยังคงเหมือนเช่นในอดีต รอยยิ้มที่นางมีให้เขานับครั้งไม่ถ้วนยามพบหน้ากัน
เป็นตุ๊กตาไม้ที่เขามอบให้นาง! เหตุใดจึงมาอยู่ที่นี่ได้?!
เขาแย่งตุ๊กตาไป เพ่งมองแล้วเพ่งมองอีก จู่ๆ สายตาก็เริ่มพร่าเลือน เขาสะบัดหน้าตามสัญชาตญาณ พยายามจะมองให้ชัดเจนอีกครั้ง แต่กลับลำบากเหลือเกิน
ตุ๊กตาสีดำ ศพสวมเสื้อผ้าสีขาว ความแตกต่างที่แสนโหดร้ายทว่าชัดเจน กลายเป็นทุกอย่างที่สะท้อนในครรลองสายตาของเขาในยามนี้
ตงฟางเจ๋อเข่าอ่อน ล้มนั่งบนพื้น นิ้วมือสั่นเทาค่อยๆ เลื่อนไปกุมมือซีดขาวและแข็งทื่อของศพที่นอนอยู่บนพื้น หนาวเย็นเหลือเกิน ตงฟางเจ๋อพลันสะดุดใจ คล้ายมีบางอย่างสะกิดในความทรงจำ เขารีบประคองศพของนางขึ้น สองฝ่ามือประกบกลางแผ่นหลัง ลมปราณอุ่นร้อนในจุดตันเถียนถ่ายเทไปสู่ร่างสตรีที่สิ้นลมไปนานแล้วอย่างต่อเนื่อง
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ร่างกายของสตรีที่อยู่ใต้ฝ่ามือยังคงเย็นเฉียบ ลมปราณที่เดิมก็เหลืออยู่ไม่มากจางหายไปอย่างรวดเร็ว ใบหน้าของเขาซีดเผือดมากขึ้นเรื่อยๆ จนแทบจะโปร่งแสงแล้ว แต่เขากลับไม่ยอมแพ้
เซิ่งฉินกับเซิ่งเซียวขอบตาร้อนผ่าว ทนดูต่อไปไม่ไหว จึงกล่าวเกลี้ยกล่อมด้วยน้ำเสียงเศร้าโศก “ฝ่าบาทรักษาพระวรกายด้วยพ่ะย่ะค่ะ! หากดวงวิญญาณของท่านหญิงอยู่บนสวรรค์ ก็คงไม่อยากเห็นพระองค์เป็นเช่นนี้”
เขาราวกับไม่ได้ยิน ในสมองมีเพียงความคิดเดียวเท่านั้น นางตายไม่ได้! มีเขาอยู่ นางจะไม่มีวันตาย! บนโลกนี้ ไม่มีเรื่องใดที่เขาตงฟางเจ๋อทำไม่ได้!
ภาพในอดีตที่นางกับเขาเคยผ่านอะไรด้วยกันมามากมาย ค่อยๆ ประดังประเดเข้ามาในสมองเขาทีละฉากๆ ความอบอุ่นอ่อนโยนของนาง ความเย็นชาแข็งกร้าวของนาง ท่าทางเขินอายทำอะไรไม่ถูกของนาง ความโกรธแค้นและความสิ้นหวังของนาง…ทุกสีหน้าของนาง ล้วนสลักลึกอยู่ในความทรงจำของเขา! ทุกสิ่งทุกอย่าง เคลื่อนผ่านไปอย่างไร้ซุ่มเสียง ภาพสุดท้ายหยุดอยู่ ณ วินาทีแห่งความสิ้นหวังเมื่อเจ็ดวันก่อน นางบอกกับเขาว่า ‘หมดสุราสามถ้วยนี้ ท่านกับข้าถือว่าตัดขาดบุญคุณความแค้นทั้งปวง หวังว่าชาตินี้ จะไม่ต้องพบกันอีกตลอดกาล!’
………………….