กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 480 ตอนพิเศษตงฟางเจ๋อ : สูญเสียคนรักตลอดกาล (2)
บนโลกใบนี้ ยังมีบทลงโทษใด ที่โหดร้ายกว่าการพรากคนรักด้วยความตายอีก?
นางกลับอำมหิตถึงเพียงนี้?
นางอำมหิตถึงเพียงนี้ได้เช่นไร!
ตัดขาดบุญคุณความแค้นทั้งปวง หวังหว่าชาตินี้ จะไม่ต้องพบกันอีกตลอดกาล!
วาจาตัดขาดความสัมพันธ์อันหนักแน่นของนางดังก้องอยู่ในสมองของเขา เสียงนั้นดังขึ้นเรื่อยๆ เหมือนดาบคมเล่มหนึ่ง ที่ตัดความเชื่อมั่นที่เขาเพียรพยายามรักษาเอาไว้ตลอดเจ็ดวันที่ผ่านมาอย่างไร้ความปรานี!
สุดท้าย ลมปราณที่เหลืออยู่น้อยนิดถูกใช้จนหมดไป เขาไม่อาจยืนหยัดได้อีกต่อไป สองแขนผ่อนแรง ร่างของสตรีตรงหน้าล้มลงมาพิงแผงอกของเขา เขาค่อยๆ รั้งนางเข้ามาในอ้อมแขน ความสิ้นหวังแทรกซึมลึกเข้าไปถึงหัวใจ เอาแต่พึมพำเสียงเบาอยู่ข้างหูนาง “ซูซู เจ้าเคยรับปากข้าว่าชาตินี้จะไม่ทอดทิ้งกัน…เจ้าเคยรับปากข้า เจ้ารับปากข้าแล้ว…”
ไม่มีเสียงตอบกลับ สายลมหนาวในฤดูใบไม้ผลิพัดผ่าน เสียงน้ำในแม่น้ำซัดสาดชายฝั่ง เหมือนเสียงสะอื้นไห้อันเกิดจากหัวใจที่แหลกสลายและสิ้นหวัง
ทุกส่วนในร่างกายด้านชาไร้ความรู้สึก แต่ความเจ็บปวดในหัวใจ กลับชัดเจนถึงเพียงนั้น ความเจ็บปวดที่สุมรวมกันอยู่ในหน้าอก วิ่งพล่าน และกรีดร้องไปทั่ว แทบจะทำให้ร่างกายของเขาแตกออกเป็นเสี่ยงๆ! สุดท้าย กระแสลมในร่างกายที่ข่มกลั้นมานานก็พลันตีขึ้น ไหลผ่านลำคอและทะลักออกจากฟันที่ขบแน่นของเขา
เขาพลันแหงนหน้ามองท้องฟ้า ระเบิดเสียงตะโกนที่ราวกับจะขาดใจ
“ซูซู!”
ก้อนเมฆคล้อยผ่าน รวมเป็นหนึ่งเดียวกับท้องฟ้าอันมืดครึ้ม สีเทาอันเวิ้งว้างไร้จุดสิ้นสุด เหมือนความเจ็บปวดสิ้นหวังที่ไม่อาจบรรยายในหัวใจเขา ทุกสรรพสิ่งในโลกสูญสลายไปจนสิ้น เขากอดนางและล้มลงไปทั้งอย่างนั้น
ยามพลบค่ำ ณ วังบูรพา
ตำหนักอันหรูหราและกว้างใหญ่ที่ถูกตกแต่งและประดับประดาไปด้วยสีสันงดงามทั่วทุกหนแห่งตั้งแต่เมื่อเจ็ดวันก่อน เพื่อฉลองงานอภิเษกสมรสขององค์รัชทายาท ยามนี้ถูกปกคลุมไปด้วยแสงอาทิตย์อัสดงสีแดงฉานราวกับเลือด กลับให้ความรู้สึกแปลกประหลาดอย่างบอกไม่ถูก
ในห้องบรรทมขององค์รัชทายาท ตงฟางเจ๋อหลับตาสนิท ใบหน้าซีดขาวเหมือนกระดาษ ยังคงนอนไม่ได้สติอยู่บนเตียงกว้าง
ผู้ที่กำลังขมวดคิ้วตรวจชีพจรให้เขา ไม่ใช่หมอหลวงจากสำนักหมอหลวงคนใดทั้งสิ้น กลับเป็นหลินเทียนเจิ้งจากสำนักหอดูดาวหลวง! น้อยคนที่รู้ว่าเรื่องที่โหรหลวงหลินเทียนเจิ้งเชี่ยวชาญที่สุด แท้จริงไม่ใช่การทำนายดวงชะตา การศึกษาวิชาโหราศาสตร์เป็นเพียงงานอดิเรกของเขาเท่านั้น
หลินเทียนเจิ้งนั่งอยู่ตรงขอบเตียง วางปลายนิ้วลงบนข้อมือตงฟางเจ๋อ ยิ่งตรวจก็ยิ่งตกตะลึง
ผ่านไปครู่หนึ่ง ครั้นเห็นหลินเทียนเจิ้งไม่พูดอะไร สีหน้าเต็มไปด้วยความกังวล เซิ่งฉินอดถามเสียงเบาไม่ได้ “ใต้เท้าหลิน ฝ่าบาท…”
หลินเทียนเจิ้งเอาแขนของตงฟางเจ๋อสอดเข้าไปใต้ผ้าห่มอย่างระมัดระวัง แล้วถอนหายใจยาวๆ
เซิ่งฉินร้อนใจ “พระวรกายของฝ่าบาทเป็นอย่างไรกันแน่?!”
หลินเทียนเจิ้งกล่าวด้วยสีหน้าหนักใจ “อากาศหนาวอย่างนี้ อยู่ในแม่น้ำที่เย็นยะเยือกถึงเจ็ดวันเจ็ดคืน เรียกได้ว่าไม่ห่วงชีวิตแล้ว! ยามนี้พิษเย็นได้แทรกซึมเข้าไปทั่วอวัยวะภายในแล้ว ถึงแม้รักษาชีวิตไว้ได้ แต่ก็ทิ้งสาเหตุของโรคเอาไว้”
“ทำอย่างไรดี?” เซิ่งฉินถามด้วยความร้อนใจ
หลินเทียนเจิ้งส่ายหน้าแล้วถอนหายใจ “รู้จักเขามาหลายปี ไม่เคยคิดว่าเขาจะทำเพื่อผู้หญิงคนเดียวได้ขนาดนี้!” หลายปีต่อจากนั้น หลินเทียนเจิ้งหวนนึกถึงประโยคนั้นที่ตนเองเคยพูด กลับรู้สึกว่าเรื่องพวกนั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับเขาเลยแม้แต่น้อย
เซิ่งฉินถอนหายใจ แล้วกล่าวว่า “ฝ่าบาททรงรักท่านหญิงมากจริงๆ ท่านหญิงกระโดดแม่น้ำ ฝ่าบาทคว้านางไว้ไม่ทัน ก็พลันคลุ้มคลั่ง กระโดดตามลงไปทันที พวกข้าก็ไม่อาจห้ามได้ เจ็ดวันเจ็ดคืน ฝ่าบาทไม่พักเลยแม้แต่น้อย ไม่ยอมฟังใครทั้งนั้น หากไม่ใช่ว่าเซิ่งจินหา…” เซิ่งฉินหยุดพูด นึกถึงสีหน้าเจ็บปวดสิ้นหวังของฝ่าบาทในตอนนั้น กลับพูดคำว่า ‘ศพ’ ไม่ออก เขาถอนหายใจอีกครั้ง ก่อนจะกล่าวต่อว่า “…เกรงว่าทำอย่างไรฝ่าบาทก็คงไม่ยอมขึ้นฝั่ง เฮ้อ ฝ่าบาท เป็นคนลุ่มหลงในความรัก…”
“เขาใช่คนลุ่มหลงในความรักเสียที่ไหน เป็นคนบ้าที่ไม่ห่วงชีวิตตนเองแล้วต่างหาก!” หลินเทียนเจิ้งมองดูบุรุษที่นอนไม่ได้สติอยู่บนเตียง พลางส่ายหน้าด้วยความหน่ายใจ “เจ็ดวันนี้ อาศัยว่าเขามีกำลังภายในแข็งแกร่ง กอปรกับมียาชิงซินที่ข้าจัดให้คอยรักษาร่างกาย จึงสามารถยืนหยัดอยู่ได้ แต่ว่า ยาชิงซินแม้มีฤทธิ์วิเศษสามารถแก้สารพัดพิษและเติมกำลังภายในให้เต็มได้ แต่อย่างไรก็เป็นยา ควรใช้เมื่อยามจำเป็นจริงๆ เท่านั้น กินมากไปก็ไม่ดีต่อร่างกาย เขารู้ทั้งรู้ แต่กลับยังกินยาที่พกติดตัวไว้จนหมด!”
เซิ่งฉินได้ยินเช่นนั้น ใบหน้าเต็มไปด้วยความเสียใจ หากรู้ว่าจะเป็นเช่นนี้ แม้ตายเขาก็จะห้ามฝ่าบาทให้ได้! แต่ถึงตาย แล้วจะห้ามเขาได้จริงๆ หรือ?
หลินเทียนเจิ้งเห็นเขาทำหน้าเสียใจ ก็ถอนหายใจ แล้วเอ่ยปลอบว่า “เจ้าก็ไม่ต้องโทษตนเองมากไป นิสัยของฝ่าบาท เจ้ากับข้าล้วนรู้ดี เรื่องที่เขาต้องการจะทำ บนโลกนี้ไม่มีใครห้ามได้หรอก! ข้าจะจ่ายเทียบยา กดพิษเย็นในร่างกายเขาไว้ก่อน แล้วค่อยๆ รักษาไป จงจำไว้ว่าก่อนที่ชี่เดิมจะฟื้นฟูกลับมา ห้ามให้เขาโดนน้ำเย็น ยิ่งห้ามให้โดนลมเย็นแม้แต่น้อย มิเช่นนั้นหากพิษเย็นกำเริบ จะต้องบาดเจ็บไปถึงอวัยวะภายในแน่นอน!”
เซิ่งฉินรีบพยักหน้ารับคำ แล้วเดินไปส่งหลินเทียนเจิ้งข้างนอก
ประตูตำหนักปิดลงอย่างระมัดระวัง ชั่วขณะหนึ่ง ในห้องไร้ซึ่งเสียงใดๆ เงียบงันจนเหมือนไม่มีสิ่งชีวิตใดอาศัยอยู่
บุรุษที่นอนอยู่บนเตียงค่อยๆ ลืมตา ดวงตาที่เปล่งประกายเหมือนดวงดาว คล้ายสูญเสียความมีชีวิตชีวาในอดีตไป กลีบปากที่ไร้สีเลือดขยับเล็กน้อย แต่กลับไม่อาจเปล่งเสียงใดออกมา
ความขมขื่นเอ่อล้นในใจ บนโลกใบนี้ เรื่องที่เขาอยากทำ ไม่มีผู้ใดห้ามได้จริงหรือ?
แต่เพราะเหตุใด เขาทุ่มเทเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี แต่กลับไม่อาจรักษาไว้ได้กระทั่งคนรักที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเขา?
วินาทีที่สติสัมปชัญญะชัดเจน เขาหวังเหลือเกินว่านี่จะเป็นเพียงความฝัน แต่คำพูดของเซิ่งฉินและหลินเทียนเจิ้ง ทำลายความหวังสุดท้ายของเขาอย่างไม่เหลือชิ้นดี
ชาตินี้ภพนี้ อย่าได้พบกันอีกตลอดกาล
ซูซู นี่คือบทสรุปที่เจ้าต้องการจริงๆ หรือ?
หัวใจบีบรัดและเจ็บปวดอย่างรุนแรง เลือดลมป่วนพล่าน กลิ่นคล้ายสนิมเหล็กตีขึ้นมาบนหน้าอก เขากัดฟันแน่น ผ่านไปครู่หนึ่งจึงค่อยกลืนเลือดลงไป ร่างกายยังคงหนาวเหน็บ ไอเย็นแทรกลึกไปจนถึงกระดูก ราวกับหลอมรวมเข้าไปในเส้นเลือด แช่แข็งประสาทสัมผัสทุกอย่าง มีเพียงอุณหภูมิอุ่นเล็กน้อยของหัวใจที่ยังคงเต้นอยู่ ที่เตือนสติเขาว่าตนเองอยู่ที่ใด
เขากวาดสายตามองไปรอบๆ อย่างไร้ชีวิตชีวา ภาพเหตุการณ์ที่ทำให้เขาเจ็บปวดจนเหมือนตายทั้งเป็น ยังคงชัดเจนอยู่ในสมอง ซูซู! ตงฟางเจ๋อพลิกกายลุกขึ้นนั่ง ตะโกนเรียกด้วยความร้อนใจ “ผู้ใดอยู่ข้างนอก!”
เซิ่งเซียวรีบรับคำแล้วเดินเข้ามา กล่าวด้วยความยินดี “ฝ่าบาท ทรงฟื้นแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“นางอยู่ที่ใด?”
เซิ่งเซียวอึ้งงัน ไม่นานก็ตระหนักได้ “ฝ่าบาทโปรดวางพระทัย ใต้เท้าหลินได้จัดการร่างท่านหญิงอย่างเหมาะสมแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
คำว่าจัดการอย่างเหมาะสมทำให้หัวใจของเขาเจ็บปวดอีกครั้ง เขานิ่งเงียบไม่พูดไม่จา ความเจ็บปวดและความสิ้นหวังที่ไร้ที่ระบาย เหมือนดั่งแม่น้ำหลานชางที่ทะลักเขื่อน ซัดสาดใส่สมองเขาอย่างต่อเนื่อง จู่ๆ เขาก็คิดอยากทำอะไรบางอย่าง เพื่อเบี่ยงเบนความคิดของตนเอง
เซิ่งเซียวรายงานเสียงขรึม “ฝ่าบาท ยามนี้องค์หญิงเจาหวาอยู่ที่ตำหนักเฟยเฟิ่ง ยังมีทูตจากแคว้นเปี้ยนอีกหนึ่งร้อยกว่าคนล้วนอยู่ภายใต้การควบคุมของกองทัพองครักษ์ ควรจัดการเช่นไรดีพ่ะย่ะค่ะ?”
สายตาเขาพลันสั่นระริก ใช่แล้ว ยังมีเรื่องที่ยังสะสางไม่เสร็จ หยางเสวียนยังอยู่ที่นี่…
“จั้นอู๋จี๋เล่า?”
“มีคนพบเห็นเขากระโดดป้อมปราการเมืองเพื่อฆ่าตัวตาย แต่ยังไม่เจอศพเลยพ่ะย่ะค่ะ”
ไอพิฆาตพาดผ่านดวงตาของตงฟางเจ๋อ หาศพไม่เจอ…ก็แสดงว่ายังมีโอกาสรอด! ชายหญิงคู่นี้สมคบคิดกัน หมายจะอาศัยพิธีแต่งงานล้มล้างราชวงศ์ แย่งชิงแผ่นดินเฉิง หลังจากล้มเหลว คนหนึ่งหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย อีกคนเงียบงันไม่ยอมปริปาก นึกว่าทำเช่นนี้แล้วจะปิดบังอะไรได้อย่างนั้นหรือ?
………………….