กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 61 คุณชายมากรัก (1)
นั่นเป็นของดูต่างหน้าที่นางหลิวทิ้งไว้ให้ซูหลีจริงๆ วันนี้เพราะสถานการณ์บังคับ จึงจำต้องใช้กลยุทธ์เช่นนี้ ซูหลีถอนหายใจ นึกถึงแหวนหยกที่เสด็จแม่มอบให้นาง แหวนวงนั้นได้กลายเป็นวัตถุล้ำค่าที่สุดที่เสด็จแม่ทิ้งไว้ให้นาง ทว่ายามนี้กลับไม่รู้ว่ามันอยู่ที่ใด?
ซูหลีสูดหายใจลึกๆ เก็บงำความเศร้าโศกในใจ หันไปมองหวั่นซิน และกล่าวกับนาง “เจ้าไม่จำเป็นต้องโทษตนเอง ข้าช่วยเจ้าก็เพื่อช่วยตัวเอง ตงฟางเจ๋อเริ่มแคลงใจในฐานะของเจ้า ยามนี้กลับไป จะต้องสั่งคนให้สืบสาวเรื่องชาติกำเนิดของเจ้าเป็นแน่”
“เรื่องนี้คุณหนูไม่จำเป็นต้องกังวลเจ้าค่ะ คนในหมู่บ้านสายฝนล้วนถูกเผาตายในเหตุการณ์โรคระบาดครานั้น ไม่มีผู้ใดรู้จักหวั่นซินตัวจริง เจิ้นหนิงอ๋องแม้เก่งกาจเพียงใด ก็ไม่อาจสืบหาเบาะแสได้”
ซูหลีพยักหน้าเงียบๆ รู้สึกคลายใจลงบ้าง เพียงแต่นางนึกไม่ถึงว่าคลื่นลมลูกใหญ่กว่ากำลังจะตามมาในไม่ช้า
เรื่องที่หวั่นซินรู้วรยุทธ์ถูกแพร่สะพัดไปทั่วจวน ซูเซียงหรูเรียกซูหลีไปถามที่มาที่ไป แต่ไม่ได้สืบสาวราวเรื่อง เพราะการกระทำของตงฟางเจ๋อที่ทอดทิ้งซูชิ่นและหันไปช่วยซูหลีในช่วงเวลาสำคัญได้ตัดสินทุกอย่างแล้ว นอกจากซูหลี และหวั่นซิน คนในจวนไม่มีผู้ใดรู้ว่าเขามีเจตนาแอบแฝง หลังจากเรื่องนี้ผ่านพ้นไป ซูหลีกับหวั่นซินระมัดระวังตัวมากขึ้น นอกจากว่าเป็นเรื่องสำคัญ พวกนางก็ไม่ออกนอกจวนโดยไม่จำเป็นอีก
รุ่งสางของวันใหม่ มีคนส่งเทียบเชิญมา
เทียบเชิญสีเหลืองอ่อน งดงามประณีต อักษรงามสง่า ลายมือโดดเด่น ทำให้ผู้อ่านมองออกตั้งแต่แรกเห็น เจ้าของของมันจะต้องเป็นผู้ที่สง่างามภูมิฐาน ไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
บนเทียบนั้นเขียนว่า “คราก่อนพบกันที่ชานเมือง คุณหนูชาญฉลาดมีไหวพริบ ไม่มีโอกาสได้เอ่ยชื่นชม หลางฉ่างรู้สึกเสียดายยิ่ง จึงใคร่อยากไปเยี่ยมเยียน เพียงอยากผูกมิตรกับคุณหนู หวังว่าคุณหนูจะไม่รังเกียจ ด้วยความนับถือ หลางฉ่าง รัชทายาทแคว้นติ้ง”
เจียมตัวและถ่อมตน จริงใจและสุภาพ ทำให้คนยากจะปฏิเสธ แต่ทว่าซูหลีกลับพับเทียบเชิญอย่างไม่ลังเล ก่อนจะส่งไปให้โม่เซียง “เจ้าไปตอบสาร บอกว่าพักนี้ข้าร่างกายอ่อนแอ ไม่สะดวกต้อนรับแขก ขอรัชทายาทโปรดทรงอภัย”
โม่เซียงประหลาดใจเล็กน้อย ยังไม่ทันรับคำ ด้านนอกก็พลันมีเสียงคนเอ่ยขึ้น “เจ้าไม่สบายหรือ?”
ซูหลีได้ยินเสียงนี้ สายตาก็พลันเย็นเยียบลงสามส่วน ตงฟางจั๋วยังพูดไม่จบประโยค ก็ก้าวเท้าเข้ามาในห้อง นับตั้งแต่คราก่อนที่เขาสัญญาว่าจะพานางเข้าวัง ก็ผ่านมาสองเดือนแล้วที่ไม่ได้พบหน้า เขายังคงมีท่วงท่าภูมิฐานงามสง่า ราศีเปล่งประกาย ทว่าบนใบหน้าหล่อเหลา ไม่รู้เพราะเหตุใดกลับมีแววโศกเศร้าปะปนอยู่
ซูหลีลุกขึ้นถวายบังคม กลับถูกเขาประคอง ตงฟางจั๋วหยิบเทียบเชิญไปจากมือโม่เซียง หลังอ่านจบ สีหน้าเข้มขรึม ขมวดคิ้วกล่าว “เจ้าไปชานเมืองมาเมื่อใด รู้จักรัชทายาทแห่งแคว้นติ้งด้วยหรือ?”
ซูหลีมองเขาแวบหนึ่ง เอ่ยเสียงเรียบ “พบกันคราเดียว พูดไม่ได้ว่ารู้จักกัน วันนี้ท่านอ๋องมาหาซูหลี มิทราบมีเรื่องใดเพคะ?”
ตงฟางจั๋วโยนเทียบเชิญให้โม่เซียง สายตาจับจ้องใบหน้าซูหลี สับสนยากแยกแยะ ผ่านไปครู่หนึ่งจึงกล่าว “เจ้าไปเตรียมตัวเถิด ไปอารามฝอกวงกับข้า”
อารามฝอกวง? ซูหลีชะงัก ตงฟางจั๋วผู้นี้ ช่างมาได้เวลายิ่งนัก วันที่สิบห้าเดือนห้า เป็นวันที่พระอาจารย์ฮุ่ยกวงขึ้นเทศน์พระธรรมที่อารามฝอกวงในรอบห้าปี!
“นึกไม่ถึงว่าท่านอ๋องก็สนใจในพระธรรม!” ซูหลีคลี่ยิ้มบาง สมัยก่อนยามที่ซูหลีต้องขับพิษออกจากร่างกาย ในแต่ละปีล้วนทำที่อารามฝอกวง นางและพระอาจารย์ฮุ่ยกวงถือว่ามีมิตรภาพต่อกันอยู่หลายส่วน พอดีวันนี้นางก็ตั้งใจว่าจะไปอารามฝอกวงอยู่แล้ว
“โม่เซียง เจ้าไปตอบกลับคนส่งเทียบเชิญ บอกว่าข้าออกจวนแล้ว” พูดจบก็เปลี่ยนเสื้อผ้า สวมหมวกคลุม แล้วติดตามตงฟางจั๋วออกจากจวนไปพร้อมกับหวั่นซิน
อารามฝอกวงตั้งอยู่บนภูเขาฝูซาน ห่างจากตัวเมืองประมาณหนึ่งร้อยลี้ แม้รถม้าจะเคลื่อนตัวรวดเร็ว ก็ยังต้องใช้เวลาร่วมครึ่งวันกว่าจะถึงที่หมาย
ตลอดเส้นทาง ตงฟางจั๋วเงียบผิดปกติ คล้ายมีเรื่องในใจ ไม่รู้เดินทางมาไกลเท่าไร ซูหลีได้ยินเสียงรถเคลื่อนตัวอยู่ด้านหลัง นางเลิกม่านเล็กน้อย มองเห็นรถม้าวิจิตรงามตาคันหนึ่งขับเคลื่อนตามหลังมา
สององครักษ์ชุดเขียวผู้ขับรถม้า นางเคยเห็น นางรีบปล่อยม่านลง ขมวดคิ้วเล็กน้อย ตงฟางจั๋วเห็นจึงเอ่ยถาม “มีเรื่องใดหรือ?”
ซูหลีส่ายหน้าไม่เอ่ยตอบ ไม่นานก็มาถึงตีนเขาภูเขาฝูซาน ตงฟางจั๋วหมายประคองซูหลีลงจากรถ ซูหลีกลับยื่นมือให้หวั่นซิน สายตาตงฟางจั๋วขรึมลงเล็กน้อย ยามนี้รถม้าคันนั้นพลันหยุดจอดด้านข้างพวกเขา
องครักษ์ที่ทำหน้าที่ขับรถเอ่ยรายงานด้วยท่าทีนอบน้อม “องค์รัชทายาท มาถึงภูเขาฝูซานแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
เสียงทุ้มเข้มนุ่มนวลน่าฟังดังออกมาจากข้างใน “อืม”
ม่านรถถูกแหวกออก บุรุษฐานะสูงศักดิ์ก้าวเท้าเหยียบแสงตะวันเจิดจ้า ลงจากรถม้า บุคลิกสูงส่งที่ติดตัวมาแต่กำเนิด ใบหน้าหล่อเหลาไม่เป็นสองรองใคร ยามเขายืนอยู่ใต้แสงอาทิตย์ ดูเหมือนเทพเซียนที่ลงมาเยือนโลกมนุษย์ก็ไม่ปาน
ตงฟางจั๋วสายตาเย็นชา ไม่ได้ก้าวออกไปทักทายทันที
ซูหลีลอบถอนใจ ยังคงเลี่ยงไม่พ้น คนผู้นี้ก็คือหลางฉ่าง รัชทายาทของแคว้นติ้งที่ส่งเทียบเชิญมาให้นางก่อนหน้านี้ น่าแปลก เส้นทางนี้มีจุดหมายปลายทางแห่งเดียวก็คืออารามฝอกวง ในแคว้นติ้งพระธรรมคำสอนไม่ได้เป็นที่แพร่หลายนัก หลางฉ่างผู้ที่เป็นผู้สืบทอดบัลลังก์เพียงหนึ่งเดียวของแคว้นติ้ง เหตุใดต้องไปอารามฝอกวง?
เห็นซูหลี หลางฉ่างนัยน์ตาพลันสะดุด ก่อนจะก้าวออกมาทักทายตงฟางจั๋ว “คารวะจิ้งอันอ๋อง แม่นางท่านนี้คือ?” สวมใส่หมวกคลุม ใบหน้าของนางจึงเลือนรางไม่ชัดเจน แต่บุคลิกเย็นชาสง่างามของนาง กลับทำให้เขาเดาฐานะนางได้รางๆ
“ซูหลีถวายบังคมองค์รัชทายาทเพคะ” นางเลิกผ้าคลุมออก ค้อมกายถวายบังคม
หลางฉ่างดวงตาเป็นประกาย เอ่ยอย่างยินดี “เป็นแม่นางจริงหรือ?! คุณหนูซู รีบลุกขึ้นเถิด! เมื่อเช้าหลางฉ่างได้ยินว่าคุณหนูออกจากจวนแล้ว ยังถอนใจเสียดายว่าพลาดโอกาส นึกไม่ถึงจะบังเอิญพบที่นี่ ดูท่าคุณหนูกับหลางฉ่างยังถือว่ามีวาสนาต่อกัน” เขาเอ่ยเน้นย้ำคำว่า ‘วาสนา’ ด้วยรอยยิ้มจริงใจ เอ่ยจบหมายจะเข้าไปประคองนาง ตงฟางจั๋วกลับชิงประคองนางก่อนหนึ่งก้าว
ซูหลียิ้มอย่างรู้สึกผิดให้เขา ทว่ากลับเห็นหลางฉ่างมองดูการกระทำของตงฟางจั๋ว ประกายเยือกเย็นพาดผ่านหางตาอ่อนโยน เพียงเสี้ยววินาทีก็จางหายไปไม่ทันสังเกต เขาหัวเราะก่อนจะเอ่ยถาม “ทั้งสองท่านก็จะไปอารามฝอกวงหรือ? คงไม่ถือสาหากข้าจะร่วมเดินทางไปด้วย?”
ไม่รู้เพราะเหตุใด ซูหลีรู้สึกได้ว่าเขามีท่าทีที่ไม่ค่อยเป็นมิตรกับตงฟางจั๋วนัก แม้จะเล็กน้อยจนแทบไม่สังเกตเห็น แต่กลับรู้ว่ามีอยู่ ต่างกับการหยั่งเชิงที่จริงเท็จไม่แน่นอนและมีเจตนาแอบแฝงในคืนนั้นระหว่างเขากับตงฟางเจ๋อ
แม้ใจไม่ยินดี แต่ติดที่ฐานะของอีกฝ่าย ตงฟางจั๋วจึงได้แต่เอ่ยอย่างเย็นชา “องค์รัชทายาทเชิญเสด็จ”
อารามฝอกวงถูกสร้างไว้บนไหล่เขาฝูซาน ทั้งสามเดินไปพร้อมกันตลอดเส้นทาง ไม่นานก็มองเห็นประตูใหญ่ของอารามฝอกวง ที่นี่ยังคงกว้างใหญ่ไพศาล สภาพแวดล้อมสะอาดและสงบ ทว่าเมื่อมาเยือนครานี้ นางกลับไม่ใช่หลีซูคนเก่าอีกแล้ว
ฝีเท้าพลันชะงัก นางลดผ้าคลุมสีขาวลงปิดบังใบหน้า ได้ยินเพียงเสียงราบเรียบของหลางฉ่างดังมา “เหตุใดคุณหนูซูจึงเศร้าโศก? หรือว่าเคยมาที่แห่งนี้?”
ซูหลีตกใจ ความเศร้าเพียงเสี้ยววินาที เขากลับสัมผัสได้ องค์รัชทายาทแห่งแคว้นติ้งผู้นี้ สายตาแหลมคมไม่ธรรมดา นางรีบเก็บซ่อนอารมณ์ “ซูหลีได้ยินมานานว่าพระอาจารย์ฮุ่ยกวงเลื่องชื่อ วันนี้มีโอกาสมากราบไหว้ จึงซาบซึ้งเกินเหตุ องค์รัชทายาทเดินทางมาครานี้ เพื่อมาฟังพระอาจารย์ฮุ่ยกวงเทศน์พระธรรมหรือเพคะ?”
หลางฉ่างส่ายหน้า คิ้วเข้มคมชัด มีแววเจ็บปวดพาดผ่านรางๆ เขาเอ่ยอย่างทอดถอนใจเสียงเบา “มิใช่เช่นนั้น ข้ามา ก็เพื่อตามหาคนผู้หนึ่ง”
ซูหลีชะงัก ราวกับถูกแววเจ็บปวดที่พาดผ่านคิ้วคมทำให้สั่นไหว คนผู้นั้นคล้ายมีความสำคัญกับเขามาก ครั้นเห็นสายตาราบเรียบของเขากวาดมองมา ราวกับจดจ้องมาที่ตนเอง นางก็อดสะดุดใจไม่ได้
……………………………………………