กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 62 คุณชายมากรัก (2)
ทันใดนั้น เสียงหัวเราะใสกังวานระลอกหนึ่งก็ดังมาจากข้างหลัง
พู่หยกห้อยเอวส่งเสียงกระทบดังกังวานใส กลิ่นหอมหวนแผ่กำจาย เกี้ยวหรูตัวหนึ่ง เคลื่อนตัวเข้ามาตรงหน้าช้าๆ ด้านในมีคุณชายสวมอาภรณ์ผ้าไหมผู้หนึ่งนั่งอยู่ อายุยังไม่ถึงยี่สิบปี สวมอาภรณ์สีเขียวรัดเกล้ามีระดับ ใบหน้าหยกกลีบปากแดง ดวงหน้าหล่อเหลาหมดจด แต่กลับมีประกายเจ้าเล่ห์รางๆ ฉาบอยู่ ข้างกายมีโฉมตรูแปดนางรายล้อม ยิ่งขับให้เขาดูราวสีเขียวที่อยู่ท่ามกลางหมู่มวลบุปผา องอาจผ่าเผย สง่างามไร้ที่เปรียบ
เกี้ยวเคลื่อนตัวเข้ามาหยุด คุณชายรูปงามยื่นนิ้วมือเกี่ยวคางหญิงงาม ยื่นกลีบปากเข้าใกล้ ก่อนจะหัวเราะเสียงใสและประทับจูบหนึ่งที หญิงงามยิ้มเอียงอาย ขับเน้นให้ภาพนี้ดูเร้าอารมณ์ยิ่งขึ้น
ในอารามมีคนเข้ามาไม่น้อยแล้ว แต่ละคนล้วนมาเพื่อฟังพระธรรม เมื่อเห็นก็สูดหายใจอย่างตกใจพลางชี้นิ้วต่อว่า ฮือฮาแตกตื่น พระภิกษุชุดเทารูปหนึ่งเดินเข้าไป ยกมือพนมกลางอก “อามิตาพุทธ สถานที่แห่งนี้มีความสำคัญทางพุทธศาสนา ประสกโปรดระวังพฤติกรรมด้วย!”
คนผู้นั้นกลับทำราวกับไม่ได้ยิน ดวงตาดอกท้อมีเสน่ห์ชวนลุ่มหลงกวาดมองรอบด้าน ยกแขนกอดอก ก้าวลงจากเกี้ยว ก่อนจะกระดิกนิ้วเรียกพระรูปนั้นอย่างเกียจคร้าน
พระรูปนั้นอึ้งงัน ทว่าอย่างไรก็เป็นคนของอารามฝอกวง เห็นเจ้าขุนมูลนายมามากมาย ยามนี้กลับสงบเยือกเย็น ยืนนิ่งไม่เดินไปหา เอ่ยเสียงทุ้ม “หากประสกมาฟังพระอาจารย์เทศน์ ก็เชิญด้านใน เพียงแต่ต้องรบกวนเหล่าประสกหญิง นั่งที่โถงด้านนอก”
‘ฮ่าๆๆ!’ คุณชายรูปงามพลันหัวเราะเสียงดัง เสียงก้องกังวาน เห็นชัดว่าเป็นผู้ฝึกวรยุทธ์! ซูหลีพลันหรี่ตาสังเกต
“พุทธองค์กล่าวว่าทุกคนเท่าเทียมกันมิใช่หรือ? เหตุใดข้าเข้าได้ แล้วเหล่าสตรีอันเป็นที่รักของข้าจึงเข้าไปไม่ได้?” เขากระตุกมุมปากเผยรอยยิ้มเย้ายวน สีหน้าท่าทางราวกับไม่แยแสอะไรทั้งสิ้น
พระภิกษุชุดเทาเอ่ยอย่างใจเย็น “ประสกหญิงฟังเทศน์ต้องนั่งที่โถงด้านนอก หากคุณชายยินดีนั่งร่วมกับเหล่าประสกหญิงที่โถงด้านนอก ก็มิใช่ว่าไม่ได้”
รอยยิ้มเขายังคงไม่จางหาย ก้าวเท้าแช่มช้า “แล้วหากข้าจะเข้าโถงด้านในพร้อมเหล่าสตรีอันเป็นที่รักของข้าให้ได้เล่า?”
พระภิกษุชุดเทาสีหน้าเรียบตึง คล้ายเริ่มหมดความอดทน “โปรดอภัยให้อาตมาที่ไร้ความสามารถ เพียงหวังว่าประสกจะไม่ติดใจคิดเคืองขุ่น”
เขาหัวเราะอย่างไม่ยอมจำนน ยกมือล้วงตั๋วเงินปึกใหญ่ออกมาจากสาบเสื้อ แล้วโบกกลางอากาศ “จะให้ข้าไปหารือกับพระอาจารย์ฮุ่ยกวงด้วยตนเองหรือไม่?”
“หนึ่งพันสอง!” หญิงงามที่อยู่ด้านหลังเขาพลันร้องออกมาอย่างตกตะลึง สายตาของผู้คนจึงถูกดึงดูดเข้ามา
พระภิกษุชุดเทาใบหน้ากระตุกสองที มิได้เอ่ยอันใด
เขาหัวเราะเสียงกังวานใส นัยน์ตาเข้มขรึม ก่อนจะค่อยๆ หยิบตั๋วเงินมาเพิ่มอีกหนึ่งใบ
“สองพันสอง!” หญิงงามนางนั้นยกมือปิดปาก หัวเราะประจบประแจง “คุณชาย ท่านช่างใจกว้างนัก”
พระภิกษุสีหน้าไม่ดี ก้าวเท้าถอยหลัง ปากก็ท่องพึมพำ “อามิตาพุทธ!”
“เขาเป็นผู้ใด?” หลางฉ่างถามด้วยรอยยิ้ม แลดูค่อนข้างสนใจ
ตงฟางจั๋วแค่นเสียงเย็นชา สีหน้าดูแคลนเต็มที่
คุณชายรูปงามได้ยินก็มองมาทางนี้ ดวงตาดอกท้อแฝงแววเจ้าเล่ห์ กวาดมองผ่านใบหน้าที่ถูกคลุมด้วยผ้าโปร่งของซูหลี กลับสาวเท้าก้าวเดินมา ทิ้งเหล่าสตรีอันเป็นที่รักของตนเองไว้เบื้องหลัง เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “หญิงงามปิดบังใบหน้า ดึงดูดใจคนยิ่ง! ขอบังอาจถามแม่นางชื่อแซ่อะไร?”
ซูหลียังไม่ทันตอบ ก็ได้ยินตงฟางจั๋วเอ่ยเสียงเย็นชา “เซี่ยงหลี ที่นี่เป็นพุทธสถาน เจ้าทำตามอำเภอใจเกินไปแล้ว!”
ได้ยินชื่อ ‘เซี่ยงหลี’ ผู้คนรอบด้านต่างตกตะลึง พลันนั้นก็กระจ่าง มิน่าเล่าจึงทำตัวตามใจไร้มารยาทเช่นนี้ ที่แท้เขาก็คือพ่อค้าที่ร่ำรวยอันดับหนึ่งในเมืองหลวง คุณชายเซี่ยงหลีนั่นเอง! ข่าวลือว่าเขามีพรสวรรค์ด้านการค้า ทรัพย์สินเงินทองล้นฟ้า ทว่ากลับมีนิสัยเจ้าชู้ประตูดิน มีสาวงามรายล้อมข้างกายมิเคยขาด
“เซี่ยงหลีคารวะจิ้งอันอ๋อง กระหม่อมไม่ทราบว่าท่านอ๋องก็อยู่ เสียมารยาทแล้ว!” เซี่ยงหลีคลี่ยิ้ม ก้าวเข้ามาคารวะ สายตากลับมีแววไหวระริกพาดผ่าน มองผ่านผ้าคลุมของซูหลี ก่อนจะหยุดที่ใบหน้าของหลางฉ่าง
ตงฟางจั๋วจ้องเขาอย่างเย็นชา เอ่ยอย่างถือตัว “คุณชายมากรักอันดับหนึ่งในใต้หล้า แม้นมากรักก็ต้องดูคู่ มิเช่นนั้นจะกลายเป็นนำภัยมาสู่ตน ชีวิตไม่ยืนยาว!”
เซี่ยงหลีหัวเราะ เอ่ยว่า “ท่านอ๋องกล่าวถูกต้อง วันนี้เห็นแก่หน้าท่านอ๋อง พวกเจ้าทั้งหลาย ไปนั่งที่โถงด้านนอกเถิด”
เหล่าหญิงงามรับคำ พริบตาเดียวแยกย้ายไปไม่เหลือ เงียบสงบดั่งไม่เคยเกิดเสียงใดมาก่อน ซูหลีลอบประหลาดใจ ชายผู้นี้ท่าทางเหลาะแหละ นึกไม่ถึงกลับสามารถฝึกเหล่าสาวงามให้เชื่องได้ถึงขนาดนี้
เซี่ยงหลีกลอกดวงตางามดั่งดอกท้อหันมองมา โบกพัดในมือเบาๆ ยิ้มให้หลางฉ่าง แล้วเอ่ยว่า “ขอบังอาจถามคุณชายท่านนี้ ชื่อแซ่ว่ากระไร?”
หลางฉ่างยิ้มบางก่อนกล่าว “ข้าน้อยหลางฉ่าง” เห็นเขาไม่ใช้ฐานะรัชทายาทข่มผู้อื่น ในใจซูหลีรู้สึกดีต่อเขาขึ้นมาหลายส่วน
“องค์รัชทายาท! เซี่ยงหลีเสียมารยาทแล้ว” เขารีบคารวะ ดวงตาหมุนกลอก หันไปมองซูหลีอีกครา “แม่นางมากับองค์รัชทายาทหรือ?”
เขาไม่ถามตงฟางจั๋วกลับถามซูหลี เห็นชัดว่ายังไม่ยอมแพ้
ตงฟางจั๋วตีหน้าขรึม
“นางเป็นแขกข้องข้า!”
“ที่แท้ก็เช่นนี้นี่เอง? ยังมิได้ถามชื่อแซ่แม่นางเลย!” เขาก้าวเท้าเชื่องช้าเข้ามาใกล้ซูหลี ประกายเสน่หาสะท้อนชัดในดวงตา ทำราวกับตงฟางจั๋วเป็นอากาศธาตุ
ตงฟางจั๋วบันดาลโทสะ ตวาดเสียงเข้ม “เซี่ยงหลี! ข้ารู้ว่าเจ้ามีชื่อเสียงในเมืองหลวง ทว่าที่แห่งนี้มิใช่สวนหลีเซียงของเจ้า! หากทำให้ข้าโกรธ เจ้าก็รู้ว่าจะมีจุดจบเช่นใด?!”
เซี่ยงหลีแสร้งอ้าปาก รอยยิ้มฉาบแววเจ้าเล่ห์ “เซี่ยงหลีจะกล้าได้เช่นไร? กระหม่อมเพียงรู้สึกว่าแม่นางท่านนี้หน้าตาคุ้นนัก นึกว่าเป็นสหายเก่า จึงได้ถามชื่อแซ่ ท่านอ๋องโปรดอย่าทรงเข้าพระทัยผิด”
“หน้าคุ้น?” ตงฟางจั๋วหัวเราะเย็นชา “นางเป็นสตรีอยู่แต่ในเรือน ไม่เคยก้าวเท้าออกนอกเรือน จะมีโอกาสพบปะคุณชายมากรักเช่นเจ้าได้อย่างไร!”
“อ้อ?” เซี่ยงหลียิ้มคล้ายไม่เห็นด้วยกับคำพูดเขา “เช่นนั้น วันนี้ก็รู้จักกับกระหม่อมแล้ว แม่นางชื่อแซ่ว่าอะไรหรือ?”
เขาก้าวมาข้างหน้าอีกครั้ง ยืนหันหน้าเข้าหาซูหลี ระยะห่างเพียงสองฉื่อ[1] ทุกคนต่างสูดหายใจตกตะลึงอย่างพร้อมเพรียงโดยมิได้นัดหมาย
“หวังอัน นำตัวเจ้าสารเลวผู้ไม่เห็นใครอยู่ในสายตาคนนี้โยนออกไปเดี๋ยวนี้!” ตงฟางจั๋วคำรามเสียงพิโรธ หวังอัน องครักษ์พกอาวุธขั้นหนึ่งลงมือรวดเร็วดั่งสายลม พุ่งตัวเข้าไปรวบแขนเซี่ยงหลีทันที
ได้ยินเพียงเสียงหนึ่งเอ่ยขึ้นว่า “ท่านอ๋องจะทรงกริ้วไปไยเพคะ?” ซูหลีเผลอเพียงแวบเดียว คุณชายรูปงามผู้มากเล่ห์เหลี่ยม กลับโฉบกายมาหลบด้านหลังนาง ก่อนจะยกมือกุมไหล่ของนาง! ทุกคนตกตะลึง ไม่คาดคิดว่าเขาจะมีฝีมือถึงเพียงนี้ ต่างก็อึ้งงันไปชั่วขณะ
หลางฉ่างตะโกนอย่างร้อนใจทันที “อย่าทำร้ายนาง!”
เซี่ยงหลีหัวเราะ “องค์รัชทายาททรงล้อเล่นแล้ว กระหม่อมนั้นรู้จักถนอมบุปผายิ่งกว่าผู้ใด จะทำร้ายแม่นางคนสวยได้อย่างไร? กระหม่อมเพียงต้องการผูกมิตรกับแม่นางจากใจเท่านั้น”
มือของเขาเกาะเกี่ยวอยู่ที่หัวไหล่ซูหลี มิได้ใช้กำลังแต่อย่างใด ทว่ากลับทำให้ซูหลีไม่อาจดิ้นหลุดออกไปได้ ตงฟางจั๋วสีหน้าพลันแปรเปลี่ยน ตวาดเสียงเข้ม “เซี่ยงหลี หากเจ้ากล้าทำอะไรนางแม้แต่ปลายนิ้ว ข้าจะสั่งตัดหัวพวกเจ้าทั้งตระกูล!”
“หา?!” เซี่ยงหลีร้องตะลึง “นงคราญงามตา เป็นที่หมายปองของเหล่าบุรุษ กระหม่อมเพียงอยากรู้ชื่อแซ่ของแม่นาง เหตุใดจึงต้องโทษตัดหัวทั้งตระกูลได้เล่าพ่ะย่ะค่ะ?!”
ผู้คนรอบข้างแตกฮือ ตงฟางจั๋วเกรี้ยวโกรธจนหน้าเขียว ซูหลียามนี้กลับมองทุกอย่างออกทะลุปรุโปร่ง เซี่ยงหลีผู้นี้ เพียงต้องการยั่วโทสะจิ้งอันอ๋องผู้ยโสโอหัง น่าเสียดายที่ยามนี้ท่านอ๋องผู้สูงส่งกำลังหมกมุ่นโกรธกรุ่น จนลืมตนเอ่ยวาจาเกินกว่าเหตุ
………………………………………………..
[1] 1 ฉื่อเท่ากับ 10 นิ้ว