กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 65 คติพจน์ของพระอาจารย์
ตงฟางจั๋วบันดาลโทสะ นึกไม่ถึงว่าเซี่ยงหลีผู้นี้จะไม่กลัวตายจริงๆ ถึงขั้นกล้าแตะต้องหลีซูต่อหน้าเขา เมื่อเห็นดังนั้นก็ไม่ลังเลอีก ลงมือรวดเร็วดั่งสายลม รวบรวมชี่แท้กลางฝ่ามือ ตวัดโบกไปทางเซี่ยงหลีทันใด!
นัยน์ตาเซี่ยงหลีมีไอสังหารพาดผ่าน ทว่ากลับจงใจหัวเราะหว่านเสน่ห์ และกอดซูหลี พานางหมุนตัวคว้างหนึ่งรอบ ฝ่ามือลมพุ่งไปที่แผ่นหลังซูหลี ทุกคนเห็นดังนั้นก็ตกใจหน้าถอดสี หว่านซินยอบกายกระโดดขึ้นอย่างไม่ลังเล คว้าไหล่ของซูหลี ร่างกายบอบบางของซูหลีถูกยกลอยขึ้นเหนืออากาศ! ฝ่ามือลมพุ่งโจมตีไปที่หน้าอกเซี่ยงหลี ทรงพลังดั่งอัสนียบาตรหมื่นสาย สามารถทำให้กายสังขารแหลกละเอียดเป็นผุยผง!
กลุ่มคนแตกตื่นฮือฮาอีกหน จนใจที่ตั้งแต่สายของสำนักเฉินเหมินถูกฆ่า ตงฟางเจ๋อก็สั่งให้คนปิดประตูใหญ่ ไม่อนุญาตให้ผู้ใดเข้าออก เวลานี้ฝูงชนไร้ที่หลบซ่อน ต่างหวีดร้องเสียงหลงพากันกลิ้งตัวหลบไปอีกด้าน เพียงกลัวว่าจะโดนลูกหลงจากฝ่ามือลมอันร้ายกาจไปด้วย
เพียงแต่ชั่วพริบตา เซี่ยงหลีโฉบกายไหวหลบ ฝ่ามือลมเฉียดผ่านอาภรณ์ของเขา ไปโดนศพที่อยู่บนพื้น ได้ยินเพียงเสียงเลื่อนลั่น ศพบนพื้นชิ้นส่วนขาดกระจุยกระจาย โลหิตสาดกระเซ็น!
ทั้งหมดเกิดขึ้นในเวลาเพียงชั่วพริบตา ครั้นได้สติกลับคืนมา สายฝนและกลิ่นอายแห่งคาวเลือดก็โปรยปรายทั่วลานวัด กลายเป็นภาพน่าสยดสยอง
ในยามนี้เอง ควันสีขาวสายหนึ่งพลันลอยขึ้นจากเศษชิ้นส่วนของศพ ก่อนจะสลายกลายเป็นกองเลือดสีดำ ฝูงชนตื่นตะลึง รู้ว่าในเลือดนี้จะต้องมีพิษอย่างแน่นอน จึงพากันวิ่งหนีจ้าละหวั่น
ตงฟางเจ๋อสายตาพลันเปลี่ยน เอ่ยสั่งเสียงเข้ม “ทหาร เก็บเลือด!”
ส่วนตัวการของเรื่องอย่างคุณชายมากรักเซี่ยงหลี กลับกระโดดไปยืนตรงหน้าซูหลีที่ถูกหว่านซินช่วยเอาไว้ ก่อนร้องอย่างตกตะลึง “จิ้งอันอ๋องกังฟูยอดเยี่ยม!” สายตาแฝงแววชั่วร้าย กระตุกมุมปากยิ้มอ่อน ทว่ากลับแสร้งถอยกรูดหลายก้าว ราวกับถูกทำให้ตกใจหนักหนา ร้องโวยวาย “สัตบุรุษใช้วาจาแต่ไม่ใช้กำลัง!”
ซูหลีอยากหัวเราะออกมาดังๆ แต่พอเห็นตงฟางเจ๋อที่ยืนอยู่ข้างกองเลือด กลับหมดอารมณ์อยากหัวเราะขึ้นมาดื้อๆ
ตงฟางจั๋วตวาดเสียงเกรี้ยว “เซี่ยงหลี เจ้ากล้าตั้งตนเป็นศัตรูกับข้า รู้หรือไม่จะมีจุดจบเช่นไร?”
เซี่ยงหลีกระดกคิ้ว มองซูหลีที่ยืนอยู่ข้างๆ รอยยิ้มยังคงไม่จางหาย “สตรีงามยังไม่ออกเรือน ข้าต้องการตบแต่งนางมีเรื่องใดไม่เหมาะ?”
“ไม่มีเรื่องใดไม่เหมาะ ทว่าทำให้นางมีอันตราย หาใช่การกระทำของสุภาพบุรุษไม่” เสียงนี้ฟังน่าเลื่อมใส สะท้อนความน่าเกรงขามสามส่วน ทรงพลังไม่ธรรมดา ซูหลีหันมอง กลับเป็นหลางฉ่าง
“คุณหนูซู เชิญมานั่งที่วิหารด้านในเถิด จะได้ไม่ต้องพัวพันกับพวกเขาไม่จบสิ้น” สายตาอบอุ่นของเขาเต็มไปด้วยความห่วงใย เห็นชัดว่าการเปลี่ยนแปลงเมื่อครู่ ได้ทำให้องค์รัชทายาทท่านนี้ขุ่นข้องหมองใจ
“ขอบพระทัยองค์รัชทายาท” ซูหลีมองเขาอย่างซาบซึ้ง พาหว่านซินเดินเข้าไปด้านใน ก่อนนั่งลงข้างเขา
เซี่ยงหลีพลันหัวเราะเสียงดัง “ทุกท่าน ข้าน้อยต้องไปเตรียมสินสอดทองหมั้น เพื่อสู่ขอหญิงงามก่อนแล้ว โปรดทรงอภัยที่ไม่อาจอยู่ต่อได้”
“เซี่ยงหลีช้าก่อน” ตงฟางเจ๋อพลันเอ่ยรั้งเสียงขรึม องครักษ์ถือดาบหลายนายรับคำก่อนจะขวางทางเซี่ยงหลีไว้
เซี่ยงหลีหันกายกลับมา กระดกคิ้วถาม “เจิ้นหนิงอ๋องมีสิ่งใดชี้แนะ?”
ตงฟางเจ๋อเลื่อนสายตาออกจากกองเลือด จดจ้องที่ใบหน้าเซี่ยงหลี กล่าวยิ้มๆ “สู่ขอหญิงงาม ก็ไม่จำเป็นต้องเร่งร้อนใจปานฉะนี้”
เซี่ยงหลีฉงนฉงาย “สู่ขอหญิงงามไม่เร่งร้อน แล้วเรื่องใดเร่งร้อน? ชั่วชีวิตกระหม่อมมิต้องการสิ่งใด น้องจากชมชอบหญิงงาม! หากเจิ้นหนิงอ๋องไม่มีสิ่งใดรับสั่ง เซี่ยงหลีขอตัวก่อน!” ไม่รอจงฟางเจ๋อตอบ เขาก็หันหน้าไปด้านนอกก่อนตะโกนเสียงดัง “เหล่าหญิงงาม พวกเรากลับกันเถิด!”
“อ๊ะ! เจ้าค่ะๆ! คุณชาย พวกข้ามาแล้วเจ้าค่ะ!” โฉมตรูแปดนางที่เมื่อครู่แยกย้ายหายหน้า ยามนี้รับคำก่อนปรากฏตัวพร้อมเพรียง
บางเวลาพลังของสตรีก็มิอาจมองข้าม พวกนางใช้เรือนร่างอรชร เบียดเสียดเหล่าทหารถือดาบออกไป ชายฉกรรจ์เหล่านั้นยามปกติเคยเจอเหตุการณ์เช่นนี้ที่ไหนกัน จะหลีกทางให้ก็ไม่ใช่ จะไม่หลีกให้ก็ไม่ใช่อีก บริเวณประตูวัดจึงเกิดเหตุชุลมุนวุ่นวายขึ้นทันที
“อามิตาพุทธ” เมื่อเสียงขานนามพระพุทธองค์ดังขึ้น นอกประตูวิหารด้านใน ก็มีพระภิกษุสงฆ์กลุ่มหนึ่งย่างกรายด้วยฝีเท้ามั่นคงออกมา พระภิกษุที่อยู่ด้านหน้าสุด ห่มจีวร อายุมากกว่าเจ็ดสิบปี ใบหน้าเปี่ยมความน่าเลื่อมใสศรัทธา เขาก็คือพระอาจารย์ฮุ่ยกวงผู้เลื่องชื่อนั่นเอง
ลานวัดพลันเงียบกริบทันที
ฝูงชนรีบก้าวเข้ามาแสดงความเคารพ สายตาเรียบนิ่งของพระอาจารย์ฮุ่ยกวง มองไปยังลานวัดที่มีสภาพน่าเอน็จอนาถ ก่อนเอ่ยอย่างนอบน้อมกับตงฟางเจ๋อ “อาตมาฮุ่ยกวง ได้ยินว่าประสกจับพระภิกษุหยวนจื้อของเราไป ไม่ทราบว่าด้วยเรื่องอันใด?”
ตงฟางเจ๋อค้อมกายแสดงความเคารพกลับ เอ่ยอย่างนอบน้อม “พระภิกษุหยวนจื้อของวัดท่าน เป็นสายให้แก่สำนักเฉินเหมิน พระอาจารย์ทราบหรือไม่?”
ใบหน้าเปี่ยมเมตตานิ่งงันเล็กน้อย ไตร่ตรองครู่หนึ่งจึงค่อยเอ่ยขึ้นว่า “ประสกหลายท่านโปรดตามอาตมาไปยังกุฏิเถิด”
กลุ่มคนค้อมศีรษะแสดงความเคารพและรับคำ เดินตามพระอาจารย์ไปยังสวนด้านหลัง กุฏิของพระอาจารย์ฮุ่ยกวง ตั้งอยู่ในสวนเล็กๆ แห่งหนึ่งทางตะวันตกเฉียงเหนือของอารมฝัวกวง สงบเงียบไร้สิ่งก่อกวน ด้านหน้ามีอักษรขนาดใหญ่ติดอยู่ “พระธรรมล้ำลึก”
“ประสกทุกท่านเชิญนั่ง”
“พระอาจารย์เชิญ”
ทุกคนนั่งขัดสมาธิ มีเพียงเซี่ยงหลีผู้เดียวที่นั่งเหยียดขา ดูไร้กฎเกณฑ์ แต่พระอาจารย์ฮุ่ยกวงก็มิได้ถือสา เพียงเอ่ยว่า “อาตมาใคร่ขอฟังรายละเอียด ประสกเชิญเล่า”
ตงฟางเจ๋อกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “เมื่อไม่กี่วันก่อนข้าได้รับข่าว ว่ามีคนของสำนักเฉินเหมินซ่อนตัวอยู่ในวัดท่าน เข้าหาผู้แสวงบุญเพื่อวางแผนสังหารคน เดิมหมายจับคนผู้นั้น เพื่อสืบสาวราวเรื่อง คาดไม่ถึงเฉินเหมินบารมีล้นฟ้า ส่งคนมาฆ่าคนปิดปาก ทำให้เลือดแปดเปื้อนสถานที่บริสุทธิ์เช่นพุทธสถาน ข้ารู้สึกผิดยิ่งนัก เว่ยซู่” เขาหันไปขานชื่อองครักษ์ประจำกาย เว่ยซู่รีบก้าวเข้ามา น้อมส่งยาลูกกลอนสีดำกับเลือดผสมพิษไปตรงหน้าพระอาจารย์ฮุ่ยกวง
ตงฟางเจ๋อเอ่ย “ยาลูกกลอนนี้คือยา ‘จบชีพ’ ซึ่งเป็นยาสูตรลับที่มีเฉพาะในสำนักเฉินเหมินเท่านั้น ใช้จบชีวิตยามที่ฐานะถูกเปิดโปงหรือภารกิจล้มเหลว เม็ดนี้ได้มาจากฟันของหยวนจื้อ ส่วนเลือดสีดำนี้คือสิ่งที่เหลืออยู่หลังจากที่กระดูกของหยวนจื้อสลายไป พระอาจารย์เชิญพิจารณา”
หลังมองดูอย่างพินิจพิเคราะห์ สีหน้าพระอาจารย์ฮุ่ยกวงเคร่งขรึม “เป็นยาสูตรลับของเฉินเหมินจริงแท้แน่นอน ‘จบชีพ’ และ ‘สลายกระดูก’ หยวนจื้อเป็นคนของเฉินเหมินดังคาด สาธุๆ อาตมาเองก็มีความผิดที่ไม่ตรวจสอบให้ดี!”
ตงฟางเจ๋อเอ่ย “พระอาจารย์เป็นผู้มีสมณศักดิ์สูง มีสิทธิ์ในปกครองมากมาย ตรวจสอบไม่ทั่วถึง จึงทำให้เหล่าคนบาปแฝงตัวสำเร็จ ยามนี้ศิษย์เลวได้รับผลกรรมแล้ว พระอาจารย์มิจำเป็นต้องโทษตนเอง”
ฮุ่ยกวงทอดถอนใจ หลับตาไม่เอ่ยสิ่งใด
ตงฟางจั๋วกล่าว “เพราะมีเรื่องบาดหมาง ข้าทำลายกำแพงวัดของท่านโดยไม่ตั้งใจ พรุ่งนี้จักส่งคนนำเงินมามอบให้ พระอาจารย์โปรดอภัยด้วย”
“เช่นนั้นก็ขอบคุณประสกยิ่งแล้ว” เอ่ยจบ พระอาจารย์ฮุ่ยกวงมองเขา แล้วกล่าวอีกว่า “อาตมาขอชี้แนะประสกสักประโยค หนึ่งความคิดพาขึ้นสวรรค์ หนึ่งความคิดพาลงนรก หลีกเลี่ยงความใจร้อน คือสิ่งที่ผู้ชาญฉลาดพึงกระทำ อาตมาเห็นประสกหน้านิ่วคิ้วขมวด ขอบตาดำคล้ำ หลายวันมานี้คงมีมารในใจเกิดขึ้น จึงฝันร้ายไม่คลาย ดังที่โบราณว่าไว้อดีตเป็นดั่งลมหมอก ประสกปล่อยวางเสียเถิด”
ตงฟางเจ๋อสายตาแปรเปลี่ยนเล็กน้อย แววเจ็บปวดพาดผ่านใบหน้าชั่วครู่ ก้มหน้ารับคำ “ขอบคุณพระอาจารย์ที่ชี้แนะ”
ตงฟางเจ๋อกล่าว “เรื่องวันนี้สร้างความวุ่นวายยิ่งนัก หวังว่าพระอาจารย์จะไม่ถือโทษ พวกข้าต้องขอลาก่อนแล้ว”
พระอาจารย์ยิ้มบางมองเขากล่าววาจา “ประสกจิตใจกว้างขวาง ความรู้สูงส่ง ยินดีฟังอาตมาชี้แนะสักประโยคด้วยหรือไม่?”
“พระอาจารย์เชิญกล่าว”
“ไม่โลภมากคลางแคลง ปฏิบัติต่อผู้คนด้วยความจริงใจ”
ตงฟางเจ๋อยิ้มกล่าวว่า “ขอบคุณคติพจน์ของพระอาจารย์” ยามนี้ เขาได้ยินและเข้าใจอย่างชัดแจ้ง ทว่ากลับยังไม่สามารถทำตามประโยคดังกล่าวได้
ทุกคนลุกขึ้นกล่าวลา หลางฉ่างกลับเอ่ยขึ้นว่า “หลางฉ่างมีเรื่องหนึ่ง อยากขอคำชี้แนะจากพระอาจารย์เพียงลำพัง” สายตาอ่อนโยนของเขากวาดมองผ่านใบหน้าของซูหลี การเปลี่ยนแปลงทางสีหน้าอันเล็กน้อยนั้น ทำให้ซูหลีรู้สึกประหลาดใจ
…………………………………………..