กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 67 รัศมีเจิดจรัส (1)
ซูหลีกลับยิ้มบางๆ มิได้เอ่ยอะไร ใบหน้านี้งดงามมากพอที่จะสู้กับสตรีเหล่านั้นได้จริงๆ แต่นั่นไม่ใช่จุดประสงค์ในการเข้าวังของนาง
ภายในเดือนนี้เดือนเดียว หวั่นซินถูกเรียกตัวกลับสำนักเฉินเหมินถึงสามครั้งติดกัน สันนิษฐานว่าคงเป็นเพราะไปทำให้ตงฟางเจ๋อโมโห สถานการณ์ของเฉินเหมินในระยะหลังนี้จึงค่อนข้างวุ่นวาย ฉะนั้นเทียบกับการเข้าวัง สิ่งที่ทำให้ซูหลีกังวลยิ่งกว่าคือการฝึกฝนเคล็ดวิชาจากคัมภีร์เมฆาลอยของนางไม่ก้าวหน้ามาหลายวันแล้ว ไม่รู้ว่าเป็นเพราะสามารถฝึกได้เท่านี้ หรือเป็นเพราะว่าพื้นฐานร่างกายของนางอ่อนแอเกินไปจึงไม่อาจก้าวหน้าไปกว่านี้ได้ นางอยากพิจารณาเรื่องข้อเสนอของเจ้าสำนักเฉินเหมินมาก แต่ก็ไม่อยากเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องในความขัดแย้งระหว่างเฉินเหมินกับตงฟางเจ๋อ
ซูหลีถอนหายใจเบาๆ หยิบผ้าโปร่งสีขาวที่อยู่ด้านหนึ่งขึ้นมา เมื่อเกี่ยวสายไข่มุกไว้หลังใบหูเบาๆ ดวงหน้างามล่มเมืองก็ถูกปกปิดไว้ใต้ผ้าโปร่งสีขาว มองเห็นเพียงเลือนราง ผมยาวสลวยถูกปล่อยสยายไว้ด้านหลัง มิได้ปักปิ่นล้ำค่ามีราคาไว้บนเรือนผม แต่กลับยิ่งขับเน้นให้รัศมีของนางเปล่งประกายไม่มีผู้ใดเทียบ หยัดกายลุกยืน แล้วนางก็เดินออกจากเรือนไปเช่นนี้ ยืนอยู่ภายใต้แสงตะวันอันเจิดจ้าในชุดกระโปรงเรียบง่ายตัวหนึ่ง ดูราวกับเทพธิดาชั้นฟ้าลงมาเยือนโลกมนุษย์
ด้านนอกประตูสวน มีสาวรับใช้ลอบมองมาจากที่ไกลๆ ไม่ขาดสาย สายตาที่ทอดมองมา บ้างก็ตะลึงในความงาม บ้างก็ดูแคลน บ้างก็เห็นใจ…ในขณะที่ทุกคนล้วนคิดว่านางหมดหวังเรื่องการเข้าวังแล้ว ตงฟางจั๋วก็ปรากฏตัวขึ้น
เท้าคู่ใหญ่ก้าวเข้ามาในสวนเล็กๆ ก่อนจะยืนอึ้งงัน ชั่วขณะหนึ่งราวกับย้อนเวลากลับไปเมื่อนานมาแล้ว แวบแรกที่พบเห็น งดงามตราตรึงจนกลายเป็นรักที่มิอาจลืมเลือนนับแต่นั้น ยามนี้เขายิ่งเชื่อมั่น ความเจ็บปวดที่เขาสูญเสียหลีซูไป จะได้รับการทดแทนจากซูหลีแน่นอน ความหงุดหงิดและกังวลทั้งหมดก่อนหน้านี้จางหายไปเกือบครึ่ง เขามองนาง ก่อนจะคลี่ยิ้มอย่างที่ไม่ค่อยได้เห็นนัก “พร้อมแล้วหรือ?”
ซูหลีพยักหน้าเงียบๆ ตงฟางจั๋วเห็นสายตานางสงบนิ่ง มองไม่เห็นแววหวาดกลัวว่าเขาจะไม่มา และมองไม่เห็นแววยินดีที่พบเขา อดไม่ได้ที่จะเอ่ยอย่างทอดถอนใจ “ถึงขนาดนี้แล้ว เจ้ากลับไม่กังวลสักนิดว่าข้าจะไม่รักษาสัญญา”
ซูหลีดวงตาเป็นประกาย “หม่อมฉันเชื่อว่าท่านอ๋องเป็นผู้ที่มีความสามารถและรักษาสัจจะเพคะ”
เพราะเหตุใดจึงเชื่อ นางมิได้เอ่ย แต่เพราะประโยคนี้ แววหม่นหมองที่เคยมีจึงได้จางหายไปจากใบหน้าหล่อเหลา แปรเปลี่ยนเป็นเปล่งประกายชวนมอง ตงฟางจั๋วก้มหน้ามองนาง สายตารุ่มร้อนจับจ้องที่ใบหน้านาง
“หากข้าบอกเจ้าว่าการเข้าวังในวันนี้อาจทำให้เจ้าประสบกับความอยุติธรรม เจ้ายัง…จะยอมติดตามข้าเข้าวังอีกหรือไม่?” น้ำเสียงฟังดูหนักใจขึ้นหลายส่วน กล่าวหยั่งเชิงอย่างระมัดระวัง ขณะเดียวกันก็ได้บ่งบอกถึงสาเหตุที่ทำให้เขามาสาย
ซูหลีไม่ประหลาดใจสักนิด นางคาดไว้แต่แรกแล้ว จากข่าวลือเรื่องที่นางเป็นสตรีอัปมงคล รวมถึงฐานะบุตรีภรรยารอง หากคิดจะเปลี่ยนรายชื่อที่ฮองเฮาทรงกำหนดด้วยพระองค์เอง ต้องไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างแน่นอน แต่ด้วยนิสัยเย่อหยิ่งทะนงตนของตงฟางจั๋ว แม้ว่าฮองเฮาจะไม่อนุญาต เขาก็จะคิดหาวิธีพานางเข้าวังให้ได้ และนี่ก็คือเหตุผลที่ทำให้นางเชื่อเขา
“ท่านอ๋องกังวลเกินเหตุแล้ว หม่อมฉันเพียงติดตามท่านอ๋องเข้าไปเพื่อถวายการร่ายรำ และถือโอกาสนี้ชื่นชมความสง่างามของฮองเฮาผู้เป็นมารดาของแผ่นดินเท่านั้น พระนางมีน้ำพระทัยกว้างขวาง จะสร้างความลำบากใจให้แก่หม่อมฉันที่ชื่นชมพระนางได้อย่างไรเพคะ?” นางคลี่ยิ้มบางๆ มีความอยุติธรรมใดที่จะเทียบได้กับความอัปยศที่นางได้รับในวันอภิเษกสมรสในอดีตอีกงั้นหรือ?
“เจ้าช่างหลักแหลมยิ่งนัก!” ตงฟางจั๋วกล่าวชื่นชมด้วยรอยยิ้ม “ดูเหมือนว่าบางเรื่อง ข้าคงไม่จำเป็นต้องเอ่ยให้มากความแล้ว หากเจ้ามีวิธีใดทำให้เสด็จแม่และเสด็จพ่อสำราญใจได้ย่อมเป็นเรื่องดี แต่หากทำไม่ได้ ก็ไม่จำเป็นต้องกังวล ในเมื่อข้าพาเจ้าเข้าวังได้ ย่อมต้องรับประกันความปลอดภัยของเจ้าได้แน่นอน!” เอ่ยจบก็กุมมือนาง ก่อนจะเดินออกจากจวนไปท่ามกลางสายตาตื่นตะลึงของเหล่าสาวรับใช้
วาจาที่ฟังคล้ายคำสัญญานั้น หากเปลี่ยนเป็นสตรีทั่วไปบางทีอาจรู้สึกซาบซึ้งใจ แต่นางคือซูหลี ซึ่งในร่างมีวิญญาณของหลีซูซ่อนอยู่ นางไม่มีวันเชื่อวาจาใดจากชายผู้นี้อีกเป็นอันขาด
ใต้ฟ้านี้พระราชวังคือสถานที่ที่ลึกลับและน่าเกรงขามที่สุด อำนาจสูงสุดของแคว้นล้วนรวมอยู่ในสถานที่แห่งนี้ กฎเกณฑ์มากมาย ลำดับชั้นชัดเจน ชนชั้นสูงคือเหล่าขุนนางและพระสนม ชนชั้นล่างคือนางกำนัลและขันที เข้มงวดกวดขันทุกการกระทำ แม้แต่ก้าวเดินยังต้องระมัดระวัง ด้วยกลัวว่าหากเผลอไผลเพียงแวบเดียวอาจนำภัยถึงชีวิตมาสู่ตนเองได้ และเพราะอย่างนี้ จึงทำให้วังหลวงอันกว้างใหญ่ไพศาลแห่งนี้ยิ่งเพิ่มความศักดิ์สิทธิ์จนผู้คนมิกล้ารุกล้ำขึ้นอีกหลายส่วน
ซูหลีไม่ได้เข้าวังเป็นครั้งแรก แต่ครั้งนี้ตัวตนของนางเปลี่ยนไป อนาคตเป็นสิ่งไม่แน่นอน ความกังวลร้อนใจทั้งปวงล้วนเป็นเพียงสิ่งไม่จำเป็น
เมื่อรถม้าเคลื่อนผ่านประตูวังชั้นใน นางพลันขมวดคิ้ว ร่ายกายโงนเงนเล็กน้อย
“เป็นอะไรไป เจ้าไม่สบายตรงไหนหรือ?” ตงฟางจั๋วเอื้อมมือประคองนางอย่างรวดเร็ว ก่อนเอ่ยถาม
“อยู่ๆ ก็รู้สึกวิงเวียนเพคะ” ซูหลียกมือกุมหน้าผาก ร่างบางเอนหลังพิงผนังรถ ท่าทางวิงเวียนอ่อนแรง คล้ายอาการป่วยเก่าก่อนกำเริบ ตงฟางจั๋วร้อนใจ ขมวดคิ้วกล่าว “เจ้าเป็นเช่นนี้ แล้วจะถวายการร่ายรำได้อย่างไร? ช่างเถิด ข้าจะพาเจ้าไปพักผ่อนที่ตำหนักซีหน่วนก่อน แล้วเรียกหมอหลวงมาดูอาการเจ้าสักหน่อย”
ซูหลีขมวดคิ้วเล็กน้อย เอ่ยเสียงแผ่วเบา “หมอหลวงหลี่ที่รักษาหม่อมฉันคราวก่อนไม่เลว หม่อมฉันทานยาของเขาแล้วร่างกายดีขึ้นไม่น้อยเลยเพคะ”
ตงฟางจั๋วรีบออกคำสั่ง “ผู้ใดอยู่ข้างนอก ไปสำนักหมอหลวงแล้วแจ้งหมอหลวงหลี่ให้ไปตรวจชีพจรที่ตำหนักซีหน่วนเดี๋ยวนี้”
ประกายเย็นชาพาดผ่านดวงตาของซูหลี เพียงแวบเดียวก็หายไปพร้อมกับเปลือกตาที่หลุบต่ำลง
รถม้าเคลื่อนตัวเข้าไปในพระราชวังชั้นในโดยตรง ก่อนจะหยุดลงด้านหน้าตำหนักซีหน่วน ตำหนักซีหน่วนเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจสำหรับเหล่าท่านอ๋องโดยเฉพาะ ตั้งแต่ด้านในจนถึงด้านนอกล้วนงดงามหรูหราอย่างยิ่ง
ซูหลีเพิ่งถูกประคองให้นั่งลงบนฟูกนุ่มในตำหนัก ตงฟางจั๋วก็เรียกนางกำนัลมาสามสี่คน กำชับให้พวกนางรับใช้อย่างสุดความสามารถ เมื่อเห็นว่าสายมากแล้ว เขาจึงล่วงหน้าไปตำหนักเฉาเหอเพื่อถวายพระพรฮ่องเต้กับฮองเฮาก่อน วันนี้ไม่ได้มีเพียงงานคัดเลือกพระชายาที่จัดขึ้นโดยฮ่องเต้และฮองเฮาเท่านั้น แต่ยังมีทูตจากแคว้นเปี้ยนและแคว้นติ้งมาร่วมแสดงความยินดีด้วย จึงไม่แปลกที่ตงฟางจั๋วจะมีความกังวลอยู่สามส่วน
เพียงไม่นาน หมอหลวงหลี่ก็มาถึง พอเห็นนาง เขาไม่ตกใจ เพียงส่งยิ้มให้นางเล็กน้อย ไม่พูดให้มากความเดินเข้ามาตรวจชีพจรทันที
ชีพจรสมดุล ไม่มีสิ่งใดผิดปกติ
หมอหลวงหลี่เงยหน้ามองนาง ด้วยความหลักแหลมจึงมิได้เอ่ยเปิดโปง เพียงจ่ายเทียบยาตามปกติ และกำชับให้นางพักผ่อนมากๆ โม่เซียงรับเทียบยามา แล้วไปต้มยาให้นาง ห้องโถงในตำหนักพลันเงียบกริบจนได้ยินลมหายใจ
ซูหลีมองพิจารณาหมอหลวงตรงหน้าที่อายุใกล้ครึ่งร้อยเงียบๆ เขาเป็นกุญแจสำคัญในคดีของหลีซู หลังจากที่หลีซูตาย ตงฟางจั๋วไม่ได้ระบายความแค้นกับเขา ยิ่งกว่านั้น หลี่จงเหอยังได้เลื่อนขั้นในสำนักหมอหลวงอีกด้วย คนผู้นี้ไม่ธรรมดาจริงๆ นางยิ้มก่อนกล่าว “ท่านหมอหลวงหลี่วิชาแพทย์สูงส่ง มิน่าเล่าจิ้งอันอ๋องจึงโปรดปรานท่านนัก”
หลี่จงเหอเอ่ยอย่างตระหนก “มิกล้า ได้รับใช้จิ้งอันอ๋องก็ถือเป็นเกียรติของข้าน้อยแล้ว”
ซูหลีสายตาแน่นิ่ง ก่อนจะเอ่ยคล้ายไม่ค่อยใส่ใจนัก “คราก่อนที่ซูหลีขอคำชี้แนะจากท่านหมอหลวงหลี่เรื่องตั้งครรภ์ ยังหาคำตอบที่สมเหตุสมผลไม่ได้เสียที ครุ่นคิดอยู่หลายเดือนก็ยังไม่กระจ่าง วันนี้โชคดีได้พบท่านหมอหลวงหลี่พอดี จึงใคร่ขอความกรุณาท่านหมอหลวงหลี่ช่วยไขความกระจ่างให้ทีเจ้าค่ะ”
หมอหลวงหลี่ชะงักไปเล็กน้อย สายตาจริงจัง จงใจลดเสียงเบาก่อนเอ่ย “สตรีพรหมจรรย์ไม่อาจตั้งครรภ์จริงๆ นอกเสียจากว่าถูกผู้อื่นใช้ยาเปลี่ยนชีพจร”
ซูหลีสะท้านไปทั้งใจ ร้อนใจเอ่ยถาม “ใต้ฟ้ามียาเช่นนั้นอยู่ด้วยหรือ? ท่านหมอหลวงหลี่รู้หรือไม่ว่ายานั้นชื่อยาอะไร? หาได้จากที่ใด? ใช้กับร่างกายคนด้วยวิธีไหน?”
ซูหลีข่มกลั้นอารมณ์ที่พลุ่งพล่านในใจอย่างสุดความสามารถ ก่อนจะเอ่ยถามรัวๆ มือเรียวใต้แขนเสื้อผ้าต่วนกำแน่น ทว่าสายตานางกลับมีเพียงแววตาฉงนฉงายพาดผ่านเท่านั้น
หมอหลวงหลี่สีหน้าขรึมลงเล็กน้อย ส่ายหน้าเบาๆ “ข้าน้อยเองก็เพียงเคยได้ยินมาว่ามียาชนิดนี้อยู่ แต่ไม่เคยเห็นผู้ใดใช้มาก่อน”
…………………………………..