กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 69 รัศมีเจิดจรัส (3)
เหล่าธารกำนัลได้ยินเช่นนั้นก็ตื่นตะลึง แต่ละคนอารมณ์แตกต่างกันออกไป
ตงฟางเจ๋อสีหน้าพลันเปลี่ยน ขมวดคิ้วมองมายังทิศที่ซูหลียืนอยู่ ซูหลียามนี้สะท้านวาบไปทั้งใจ ลอบตื่นตระหนกในใจ นางไม่มีทางเชื่อว่าหลางฉ่างพบกับตนเองเพียงสองหนก็จะบังเกิดความรู้สึกลึกซึ้งเพียงนี้ แต่บุรุษผู้นี้กลับเอ่ยปากขอนางอย่างเด็ดเดี่ยวต่อหน้าธารกำนัลเช่นนี้ หรือเพราะ…เหตุเกิดจากวัตถุที่นางนำออกมาจากโลงศพนั่น? หรือเป็นเพราะ…ใบหน้าของนาง?
นางเคยเปิดดูสิ่งที่อยู่ในถุงผ้าต่วนแล้ว เป็นภาพวาดแผ่นหนึ่ง และวัสดุเหล็กคุณภาพพิเศษชิ้นหนึ่ง
หลังจากเหตุการณ์ที่เกิดในอารามฝัวกวง องค์รัชทายาทแห่งแคว้นติ้งได้ส่งป้ายมงคลมาอีกหลายครั้ง ซูหลีล้วนปฏิเสธโดยใช้เหตุผลว่าไม่สบายทุกครั้งไป ไม่ว่าสตรีในภาพที่เขาตามหาจะเป็นผู้ใด ตอนนี้นางก็ไม่ควรข้องเกี่ยวกับเขามากเกินไป! นึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ในวัดร้าง โลงศพปริศนา ภาพวาดประหลาด การตามสืบสวนลับๆ ของตงฟางเจ๋อ การผ่านทางโดยบังเอิญขององค์รัชทายาทแคว้นจิ้ง รวมถึงการส่งป้ายมงคลเพื่อขอเยี่ยมเยียนหลายหนอย่างไม่ลดละ ทุกความ “บังเอิญ” ไม่มีข้อใดที่ไม่บ่งชี้ไปถึงเจ้าของโลงศพที่แท้จริง
เดิมคิดอยากแสร้งทำเลอะเลือนจนถึงที่สุด นึกไม่ถึงเขากลับใช้วิธีนี้กับนาง! เพราะของสิ่งนั้นสำคัญมาก หรือเพราะคนที่อยู่ในภาพวาดเป็นคนพิเศษมากกันแน่? ถึงแม้เขาดูอ่อนโยนไร้พิษภัย ไม่มีเจตนาร้าย แต่อย่างไรก็ต้องระวังไว้ก่อนดีที่สุด ยิ่งไปกว่านั้น นางยังไม่ได้แก้แค้น อย่างไรก็ยังจากแคว้นเฉิงไปไหนไม่ได้เด็ดขาด!
“เสด็จพ่อ ไม่ได้เด็ดขาดพ่ะย่ะค่ะ!” ครั้นเห็นฮ่องเต้กำลังจะอนุญาต นางร้อนใจไม่รู้ควรทำเช่นไร ยามนี้เอง ในตำหนักกลับมีคนร้องคัดค้าดขึ้นมา ซูหลีอึ้งงัน เงยหน้ามองไป เห็นเพียงตงฟางจั๋วลุกขึ้น สีหน้าโกรธจัด สายตาคมปลาบดั่งมีด ตวัดทิ่มแทงไปยังองค์รัชทายาทแห่งแคว้นติ้งอย่างไม่ไว้หน้า โมโหโกรธาราวกับกำลังถูกแย่งของรักของหวงไปจากตัว ซูหลีเจ็บแปลบในใจเล็กน้อย ความรู้สึกสับสนที่ไม่อาจบรรยายพรั่งพรูในใจ นางเบนสายตาออกไปทางอื่น ยามนี้สายตาของคนทุกผู้ในตำหนักกลับพุ่งไปที่ตงฟางจั๋วเป็นจุดเดียว
ตงฟางเจ๋อสายตาไหวระริกเล็กน้อย ลอบมองฮ่องเต้บนพระที่นั่งเงียบๆ จากนั้นก็เหลือบมองทูตแห่งแคว้นเปี้ยน เห็นเพียงสายตาของฮูเอ่อร์ตูเคร่งขรึม ไอสังหารแผ่กำจาย มือที่วางอยู่บนโต๊ะกำหมัดแน่น ไม่รู้เหตุใดจิตใจที่กำลังสั่นไหว กลับพลันสงบลงอย่างประหลาด
ยามนี้ สามอาณาจักรที่คานอำนาจกันอยู่ดังหม้อติ่ง เมื่อแคว้นหนึ่งเห็นอีกสองแคว้นกำลังจะเชื่อมสัมพันธ์ด้วยการอภิเษก มีหรือจะไม่สนใจได้?
“จั๋วเอ๋อร์อย่าเอ่ยวาจาตามใจตน!” ไม่รอให้ฮ่องเต้เปิดปาก ฮองเฮาทรงเอ็ดเสียงเข้มขึ้นมาก่อน “การอภิเษกเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างสองแคว้นเป็นเรื่องใหญ่ และเป็นเรื่องดี ย่อมต้องขึ้นอยู่กับเสด็จพ่อเจ้า มิต้องให้เจ้าออกความเห็น! ยังไม่รีบนั่งลงอีก!”
ตงฟางจั๋วราวไม่ได้ยิน ขมวดคิ้วแน่น ยืนด้วยท่าท่าแข็งกร้าวอยู่ที่เดิม สายตายังคงจดจ้ององค์รัชทายาทแคว้นติ้งอย่างเย็นชา ทว่าองค์รัชทายาทแห่งแคว้นติ้งเสมือนไม่รับรู้สิ่งใด เพียงรอพระราชดำรัสจากฮ่องเต้แห่งแคว้นเฉิงเงียบๆ
ทว่าผ่านไปนาน ฮ่องเต้ก็ยังคงไม่เอ่ยวาจาใด สายตาที่ไม่อาจคาดเดาอารมณ์กวาดมองผ่านใบหน้าของฝูงชนที่อยู่เบื้องล่างตำหนัก ทุกอย่างจมดิ่งสู่ความเงียบสงัดที่ไม่มีแม้แต่เสียงนกกา ความคึกคึกและพิธีมงคลก่อนหน้า ราวกับกลายเป็นเพียงภาพฝัน
“จิ้งอันอ๋อง เจ้าลองพูดมา เหตุใดจึงไม่ได้?” ในที่สุดฮ่องเต้ก็เอ่ยขึ้นมา
ตงฟางจั๋วรับคำ สีหน้าแสดงความเคารพเทิดทูน ก่อนจะก้าวมายืนด้านล่างพระที่นั่ง หมายจะอ้าปากเอ่ยวาจา แต่ทูตจากแคว้นเปี้ยนกลับชิงเอ่ยขึ้นก่อนเขา
“ฝ่าบาท ฮูเอ่อร์ตูมีคำพูดอยากพูดสักหลายประโยค” ฮูเอ่อร์ตูลุกยืน ค้อมกายคารวะไปทางฮ่องเต้ เขามาเยือนเมืองหลวงแคว้นเฉิงหลายเดือน ภาษาแคว้นเฉิงของเขา ไม่แปร่งหูอย่างแต่ก่อนอีกแล้ว
ฮ่องเต้เลื่อนสายตาไปทางเขาเล็กน้อย ก่อนเอ่ยอย่างเกรงใจ “ขุนพลฮูเอ่อร์ตูเชิญกล่าว”
“ขอบพระทัยฝ่าบาท! แท้จริงแล้วที่กระหม่อมเดินทางมาครานี้ มิใช่เพียงยินดีกับพิธีคัดเลือกพระชายาของท่านอ๋องทั้งสองเท่านั้น! ท่านอ๋องสี่แห่งแคว้นเปี้ยนของกระหม่อมก็ยังมิได้อภิเษกสมรม ฝ่าบาทของกระหม่อมก็ได้รับสั่งเป็นพิเศษ หวังว่ากระหม่อมจะหาคู่ครองที่เหมาะสมให้แก่ท่านอ๋องสี่ในแคว้นท่านได้ เพื่อกระชับความสัมพันธ์อันดีงามระหว่างแคว้นเปี้ยนและแคว้นเฉิงในสืบไป” ฮูเอ่อร์ตูเชิดคาง อกผายไหล่ผึ่ง ส่งสายตาท้าทายไปยังองค์รัชทายาทแคว้นติ้ง
หลางฉ่างขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะคำนับกลับอย่างสุภาพชนต่างจากอีกฝ่าย
ฮ่องเต้หัวเราะ ก่อนกล่าว “ท่านขุนพลเอ่ยขึ้นในยามนี้ หรือว่ามีผู้ใดอยู่ในใจแล้ว? ไม่ทราบว่าขุนพลฮูเอ่อร์ตูหมายตาบุตรีเรือนใดไว้หรือ?”
ประกายไหวระริกพาดผ่านดวงตาฮูเอ่อร์ตู เขายกมือประสานตรงหน้าก่อนตอบ “ขอทูลอย่างไม่ปิดบัง กระหม่อมหมายตาผู้ที่เหมาะสมไว้แล้วจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ เป็นสตรีที่บังเอิญพบข้างทางเมื่อไม่กี่วันก่อนเช่นกัน…ทว่าสิ่งที่ไม่บังเอิญ คือเป็นสตรีนางเดียวกับสตรีที่องค์รัชทายาททรงหมายตาพ่ะย่ะค่ะ! ยิ่งไปกว่านั้น กระหม่อมเจอนางก่อนองค์รัชทายาทหนึ่งก้าว ฉะนั้น ขอฝ่าบาททรงพิจารณาอย่างเป็นธรรมด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”
ครานี้ เสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังเซ็งแซ่ทั่วทั้งตำหนักเฉาเหอทันที ราวกับฝูงผึ้งแตกรัง
บ้างประหลาดใจ บ้างสะท้อนใจ บ้างก็ฉงนฉงาย บางคนยังนึกไปว่าตนเองฟังผิด…
เหล่าหญิงสาวที่รอการคัดเลือกต่างมองหน้ากัน ซูชิ่นที่นั่งอยู่แถวหน้ายิ่งเบิกตากว้างแทบถลนเหมือนวัว ไม่อยากเชื่อหูตนเอง หญิงที่เป็นดั่งลางร้ายผู้ซึ่งไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะผ่านการคัดเลือกรอบแรกอย่างซูหลี เหตุใดอยู่ๆ จึงได้กลายเป็นสตรีเนื้อหอมที่ทูตจากทั้งสองแคว้นต่างแย่งชิงกันได้เล่า? ทว่าสิ่งที่น่าเหลือเชื่อยิ่งกว่า กลับเป็นเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อจากนี้!
ตงฟางจั๋วอึ้งงัน คิ้วเข้มที่ขมวดมุ่นพลันคลายปมทันที
ฮองเฮาเหลือบมองเขาอย่างแปลกใจแวบหนึ่ง ในขณะที่ฮ่องเต้เอ่ยอย่างสนอกสนใจ “สตรีในเมืองหลวงแห่งแคว้นเฉิง มีนับพันนับหมื่น เหตุใดทั้งองค์รัชทายาทและขุนพลต่างก็หมายตาสตรีนางเดียวกันได้เล่า? ช่างเป็นเรื่องบังเอิญจริงๆ! นี่ช่างทำให้ข้าลำบากใจยิ่งนัก”
ฝูงชนหันขวับมามองฮ่องเต้เป็นตาเดียว รอเพียงคำตัดสินจากเขา ฮ่องเต้นิ่งเงียบครุ่นคิด หันไปถามตงฟางจั๋ว “จิ้งอันอ๋อง เมื่อครู่ เหตุใดเจ้าจึงคัดค้าน? หรือว่าเจ้าเองก็หมายปองนางเช่นกัน? ข้าได้ยินมาว่าเจ้าเคยนำของที่เสด็จแม่เจ้าให้เจ้าขนไปที่จวนอัครเสนาบดีเซียง แม้แต่ไข่มุกฝูอวิ๋นที่ข้ามอบให้เจ้า เจ้าก็มอบให้ผู้อื่นด้วย มีเรื่องเช่นนี้หรือไม่?”
พระสุรเสียงของฮ่องเต้เยือกเย็นดั่งสายน้ำ สายพระเนตรที่มองมายากที่จะคาดเดาความคิด พาให้คนอกสั่นขวัญหาย
ตงฟางจั๋วสีหน้าเคร่งขรึม สะบัดแขนเสื้อ คุกเข่ากับพื้น ก่อนกล่าว “ทูลเสด็จพ่อ ลูกมิกล้าปิดบัง มีเรื่องเช่นนี้จริงพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้สีหน้าขรึมลงเล็กน้อย ไม่รอวาจาตำหนิ ตงฟางจั๋วกลับเอ่ยต่อ “แต่ที่ลูกคัดค้านเมื่อครู่ มิใช่เพราะเหตุผลนี้แน่นอนพ่ะย่ะค่ะ!”
“อ้อ? แล้วเจ้าคัดค้านด้วยเหตุผลใด?”
ตงฟางจั๋วกล่าว “ลูกคิดว่า เป็นเช่นที่เสด็จแม่ทรงรับสั่ง งานอภิเษกเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างสองแคว้นเป็นเรื่องใหญ่ มิอาจตัดสินใจวู่วามได้ อย่างน้อย…วันรุ่งขึ้นหารือกันในที่ประชุมก่อน แล้วค่อยตัดสินใจก็ยังไม่สาย!
ด้านหลังฉากกั้นลายบุปผา ซูหลีพลันขมวดคิ้ว กระตุกกลีบปากบางเผยยิ้มเย็นชา เหตุใดเรื่องใหญ่ในชีวิตนางต้องรอให้พวกเขาหารือกันในที่ประชุมด้วย? แม้เป็นเพียงแผนประวิงเวลา ทว่าเมื่อได้ยิน ก็ยังอดรู้สึกคัดค้านในใจไม่ได้อยู่ดี บนโลกนี้ สตรีล้วนน่าเวทนาเช่นนี้ แม้แต่ความสุขทั้งชีวิตยังมิอาจตัดสินใจได้ด้วยตนเอง แต่นางซูหลี กลับไม่อยากถูกผู้ใดบงการชีวิตอีกต่อไปแล้ว!
เงยหน้ามองทูตจากแคว้นเปี้ยนผู้นั้น องค์รัชทายาทเอ่ยขอนางจากฮ่องเต้เพราะภาพวาดปริศนาแผ่นนั้น แล้วฮูเอ่อร์ตูผู้นี้เล่า?
ในตำหนัก ฮ่องเต้นิ่งเงียบไม่เอ่ยวาจาใดอยู่นาน สายตามองกลับไปกลับมาระหว่างทูตจากสองแคว้นและตงฟางจั๋ว ไม่รู้ว่าทรงคิดอะไรอยู่บ้าง
ตงฟางเจ๋อลุกขึ้นก่อนจะเอ่ยว่า “เสด็จพ่อ ลูกคิดว่า ท่านพี่กล่าวมีเหตุผล วันนี้เป็นพิธีคัดเลือกชายาที่เสด็จพ่อและฮองเฮาทรงจัดขึ้นเพื่อลูกและท่านพี่ กอปรกับยังมีเหล่าคุณหนูหลายท่านอยู่ด้วย เรื่องใหญ่เกี่ยวพันถึงแคว้นเช่นงานอภิเษกเชื่อมสัมพันธ์ เก็บไว้หารือในที่ประชุมพรุ่งนี้จะเหมาะสมกว่า เช่นนั้น จึงจะถือว่าให้เกียรติท่านทูตจากทั้งสองแคว้นด้วยเช่นกัน! เสด็จพ่อทรงเห็นว่าเช่นไรพ่ะย่ะค่ะ?”
หลายปีมานี้ นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาสองพี่น้องมีความเห็นตรงกัน
………………………………………………..