กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 70 รัศมีเจิดจรัส (4)
ฮ่องเต้ลอบประหลาดใจเล็กน้อย จากนั้นก็เอ่ยเสียงปลอบโยน “ที่ท่านอ๋องทั้งสองกล่าวก็ใช่ไร้เหตุผล ในเมื่อเป็นเรื่องเกี่ยวพันถึงแคว้น เช่นนั้นก็ไว้หารือทีหลัง องค์รัชทายาท ขุนพลฮูเอ่อร์ตู พวกท่านมีความเห็นอื่นหรือไม่?”
“มิกล่าพ่ะย่ะค่ะ! กระหม่อมน้อมรับพระประสงค์” องค์รัชทายาทแห่งแคว้นติ้งและขุนพลฮูเอ่อร์ตูรับคำพร้อมเพรียง จากนั้นก็กลับไปนั่งตำแหน่งของตนเองตามเดิม
ตงฟางเจ๋อเหลือบมองฉากกั้นลายบุปผา เอ่ยพร้อมรอยยิ้ม “ท่านพี่เคยกล่าวไว้ วันนี้มีการแสดงพิเศษจะมอบให้ฮองเฮามิใช่หรือ?”
ฮองเฮาพลันยิ้มพราย “ใช่แล้วจั๋วเอ๋อร์ เป็นการแสดงพิเศษใด แม่ตั้งตารอมาตลอด!”
ฮ่องเต้เองก็หันมามองคล้ายกำลังตั้งความหวังเช่นกัน ตงฟางจั๋วรีบกล่าว “เสด็จพ่อเสด็จแม่โปรดรอสักครู่!”
ปรบมือกลางอากาศสองที ริมบันไดหินเบื้องหน้าตำหนักเฉาเหอพลันปรากฏคณะดนตรีสองกลุ่ม ผ้าไหมโปร่งบางดั่งหมอกปลิวไสวไปตามท่วงทำนองอันรื่นหู ราวกับม้วนภาพสีสันงดงามหลายม้วนกำลังกางออกท่ามกลางไอหมอกบนผิวน้ำในเดือนสาม ด้านหลังผ้าไหมโปร่งบางหลากสี สตรีนางหนึ่งเริ่มร่ายรำช้าๆ ท่วงท่าพลิ้วไหวและคล่องแคล่ว แขนเสื้อสีสันตระการตาโบกสะบัดกลางอากาศ ราวกับนางฟ้านางสวรรค์ในภาพที่วาดขึ้นจากพู่กันวิเศษของเทพเซียนลงมาเยือนโลกมนุษย์ พลิ้วไหวเบาหวิว ราวกับหากมีลมโชย ก็จะล่องลอยไปกับฝุ่นละอองได้
เสียงชื่นชมระคนประหลาดใจพลันดังระงมทั่วตำหนักเฉาเหอ แม้แต่ฮ่องเต้และฮองเฮาก็แทบเบิกตาด้วยความตะลึง ต่างทอดพระเนตรอย่างตั้งอกตั้งใจ
ตงฟางจั๋วอึ้งงันไปทันที แววตื่นตาตื่นใจที่พาดผ่านสายตาคมเข้ม ค่อยๆ ถูกแทนที่ด้วยความคลั่งไคล้และความชมชอบ ราวกับนางสวรรค์ที่อยู่ในภาพวาดม้วนนั้นเป็นของเขาแต่แรกแล้ว
แต่ก่อนได้ยินว่าหลีซูเชี่ยวชาญเรื่องเต้นรำ ไม่มีผู้ใดในเมืองหลวงเทียบได้ ทว่ากลับไม่เคยรู้ว่าซูหลีที่หน้าตาคล้ายหลีซู เมื่อเต้นรำ กลับงดงามถึงเพียงนี้!
ประกายร้อนรุ่มบีบคั้นใจคน ค่อยๆ ปรากฏในดวงตาลึกล้ำยากแท้หยั่งถึงของตงฟางเจ๋อ ท่วงท่าเช่นนี้ ชีวิตหนึ่งจะได้เห็นสักกี่หน? เหตุใด เขากลับคุ้นตาถึงเพียงนี้?
เมื่อย่างก้าวของนางเปลี่ยนไป จังหวะดนตรีนอกค่อยๆ สูงขึ้น ท่วงท่าร่ายรำของหญิงสาวก็เปลี่ยนด้วยเช่นกัน เอี้ยวตัวแหงนหน้า สะบัดแขนไปเบื้องหน้าทำท่าโบยบิน ร่างอรชรลอยเหนือพื้น ก่อนจะเงื้อแขนโปรยผงทองกลางอากาศ
แสงตะวันหลังเที่ยงส่องกระทบกลางหัว จุดสีทองนับไม่ถ้วนกลายเป็นประกายแสงสีทองระยิบระยับนับหมื่น ปกคลุมอยู่ด้านหลังสตรีที่กำลังสะบัดอาภรณ์ราวกับกำลังโบยบิน ท่วงท่าเชิดคางสยายปีกอันหยิ่งทะนงเช่นนั้น มองจากที่ไกลๆ กลับดูเหมือนนกเพลิงที่กางปีกโบยบินอยู่บนท้องนภามาแล้วเก้าวัน ความงดงามสะดุดตาเช่นนั้น ชวนให้ตกตะลึงพรึงเพริด
ความตื่นเต้นที่ไม่อาจบรรยาย เติมเต็มจิตใจผู้ชมรอบด้านอย่างมิอาจควบคุม ราวกับยามบ่ายของวันนี้ พวกเขาได้เห็นนกศักดิ์สิทธิ์ลงมาจุติในโลกมนุษย์กับตาตนเองอย่างไรอย่างนั้น ถึงขั้นลืมตนไปชั่วขณะ ว่านี่เป็นเพียงการร่ายรำบทเพลงหนึ่งเท่านั้น
วินาทีนั้น ฝูงชนกลั้นหายใจ ทั่วทั้งตำหนักเฉาเหอ นอกจากเสียงดนตรีและเสียงแหวกลมจากอาภรณ์ของหญิงสาว ก็ไม่ได้ยินเสียงอื่นอีกแม้แต่น้อย กระทั่งเมื่อดนตรีจบลง ย่างก้าวหยุดกับที่ ผ้าไหมโปร่งบางหลากสีและคณะดนตรีรอบด้านก็แยกย้ายกันออกไปเหมือนหมอกควันที่ค่อยๆ จางหายไป
ผ้าโปร่งสีขาวปกคลุมใบหน้า ผมดำขลับสยายปลิวกลางอากาศ กระโปรงตัวยาวสีพื้นม้วนตัวไปตามสายลม โลดแล่นอย่างอิสระอยู่ใต้แสงตะวัน ต่างจากความงดงามตระการตาก่อนหน้า ยามนี้นางดูเรียบง่ายดังสายธารเย็น บุคลิกงามสง่าไม่เป็นสองรองผู้ใด
หัวใจของตงฟางเจ๋อ กลับบังเกิดความรู้สึกที่ต่างออกไปทันที ราวกับสตรีตรงหน้า ก็คือคนที่เขาตามหามานานแต่ไม่เจอเสียที
เหตุการณ์ริมฝั่งแม่น้ำหลันชางในค่ำคืนนั้นพลันผุดขึ้นมาในสมองเขา สตรีที่สวมชุดดำและผ้าคลุมหน้าสีดำท่ามกลางความมืด ร่ายรำอย่างอ่อนช้อยอยู่ภายใต้แสงจันทร์ ท่วงท่าของนางดึงดูดใจผู้คนราวเทพเซียนอย่างนี้เช่นกัน เขาอยากจับตัวนาง เพื่อมองนางให้ชัด ทว่านางกลับหนีไปได้ ความรู้สึกคุ้นเคยนี้ทำให้เขาตกตะลึง ราวกับกลิ่นหอมรางๆ ที่หลงเหลืออยู่กลางฝ่ามือในค่ำคืนที่เขาถูกไล่ล่า สลักลึกลงในใจ สลัดอย่างไรก็ไม่จางไป
“แปะๆๆๆ!”
ในตำหนักเฉาเหอ มีเสียงปรบมือดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากข้างในสู่นอก ภายใต้การนำของฮ่องเต้ เสียงปรบมือดังแซ่ซ้องไปทั่วดังสายฟ้าฟาด
นับจากนี้อีกหลายปี เหล่านางในและขันทีที่เคยรับชมการแสดงชุดนี้ มักจับกลุ่มพูดคุยกันเป็นครั้งคราวถึงการร่ายรำอันงดงาม บนใบหน้าของพวกเขายังคงฉาบไว้ด้วยความเลื่อมใส เอ่ยชื่นชมไม่ขาดปากทุกครั้งที่หวนนึกถึง แม้แต่เหล่าสตรีที่รอการคัดเลือกที่เต็มไปด้วยความริษยา ก็จำต้องยอมรับเช่นกัน การร่ายรำอันงดงามเปรียบได้กับเทพเซียนเช่นนี้ แม้นใช้เวลาทั้งชีวิต พวกนางก็มิอาจทำได้
“นี่คือการร่ายรำอะไรกัน ช่างงดงามเสียนี่กระไร!” ฮูเอ่อร์ตูปรบมือเสียงดัง อดไม่ได้ที่จะถามอย่างสงสัย
ตงฟางเจ๋อสีหน้าพลันขรึมลงเล็กน้อย ยิ้มก่อนตอบ “หากข้ามองไม่ผิด นี่ก็คือนกเพลิงสยายปีกในตำนาน”
“ช่างเปิดโลกทัศน์ผู้คนเสียจริงๆ!” องค์รัชทายาทแห่งแคว้นติ้งอย่างหลางฉ่างเองก็เอ่ยชื่นชมเช่นกัน “จิ้งอันอ๋องไปหาหญิงงามที่ร่ายรำเก่งถึงเพียงนี้มาจากที่ใด กลับร่ายรำได้น่าทึ่งปานนี้?”
ฮองเฮาคลี่ยิ้มเอ่ยต่อ “ใช่แล้วจั๋วเอ๋อร์ เจ้าไปหาโฉมสะคราญที่ร่ายรำเก่งเช่นนี้มาจากที่ใดกัน เมื่อครู่แม่คิดว่ามีนกเพลิงบินเข้ามาในราชวังแห่งแคว้นเฉิงของเราแล้วจริงๆ! ฝ่าบาท พระองค์เห็นด้วยหรือไม่เพคะ?”
พระพักตร์มังกรของฮ่องเต้ฉายแววเปี่ยมสุข หัวเราะอย่างสำราญ “ฮองเฮามิได้กล่าวเกินจริงแม้แต่น้อย ข้าเองก็เพิ่งเคยเห็นการร่ายรำที่งดงามเช่นนี้เป็นคราแรก! วันนี้ข้าสำราญยิ่งนัก จั๋วเอ๋อร์ เจ้าอยากได้สิ่งใด บอกข้ามา ข้าตบรางวัลให้เจ้า!”
แววยินดีพาดผ่านดวงตาตงฟางจั๋ว ทว่าเขากลับมิได้ลืมตนเพราะเหตุนี้ เขาพลันคุกเข่า เอ่ยเสียงดังฟังชัด “ขอบพระทัยเสด็จพ่อ! ทว่าลูกมิกล้ารับความดีความชอบนี้ไว้ เพียงหวังว่าเสด็จพ่อจะน้ำพระทัยกว้างขวาง มิเอาผิดลูก!”
รอยยิ้มของฮองเฮาพลันค้างเติ่ง ฮ่องเต้ทรงถาม “เจ้าทำเรื่องผิดกฎเกณฑ์ใดไว้งั้นหรือ?”
ตงฟางจั๋วเงยหน้าตอบ “เสด็จพ่อได้โปรดทรงมีรับสั่งให้สตรีที่ร่ายรำเมื่อครู่เข้ามาในตำหนักก่อนพ่ะย่ะค่ะ!”
ประกายฉงนพาดผ่านดวงตาฮ๋องเต้ รับสั่งเสียงเข้ม “ประกาศออกไป!”
“ฝ่าบาทมีรับสั่ง ให้สตรีที่แสดงการร่ายรำเมื่อครู่เข้าพบในตำหนัก!” เสียงเล็กแหลมของขันทีดังขึ้นท่ามกลางบันไดหิน
หญิงสาวเยื้องย่างอ่อนช้อย ค่อยๆ เดินไปยังตำหนักเฉาเหอ กรีดกรายผ่านเหล่าหญิงงามที่ยืนเรียงแถวเป็นสองแถว ราวกับไข่มุกล้ำค่าเม็ดหนึ่ง ที่กลบรัศมีของพวกนางจนสิ้น
ชั่วขณะหนึ่ง สีหน้าของสตรีเหล่านั้น พลันหม่นหมองทันที
ซูหลีสายตาไม่วอกแวก ก้าวเดินเข้าไปในตำหนักก่อนจะคุกเข่าลงหน้าพระที่นั่งฮ่องเต้
“หม่อมฉันนามว่าซูหลี ถวายพระพรฝ่าบาท ถวายพระพรฮองเฮา! ขอพระองค์และพระนางทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นๆ ปี ขอราชวงศ์เฉิงจงเจริญรุ่งเรืองสงบสุขเช่นนี้ไปตลอดกาล!” เสียงใสกังวาลของสตรี ดังสะท้อนท่ามกลางเสาคานของตำหนักใหญ่ วาจาที่ชวนให้ผู้คนตื่นตะลึง ดังกระทบโสตประสาทของคนทุกผู้อย่างชัดเจน
นอกจากตงฟางจั๋ว ไม่มีผู้ใดไม่เบิกตากว้างด้วยความตื่นตะลึง ใครก็ไม่คาดคิด สตรีที่สามารถร่ายรำได้งดงามล่มเมืองได้เช่นนี้ กลับเป็นหญิงอัปมงคลที่ไร้ความดีงามเช่นซูหลีได้!
แม้แต่เจิ้นหนิงอ๋องตงฟางเจ๋อที่สีหน้าไม่แสดงถึงอารมณ์ใดมาตลอด ยามนี้เองก็มีใบหน้าเคร่งขรึมเล็กน้อย แม้รู้ทุกอย่างมาก่อนแล้ว ใจกลับอดมิได้ที่จะรู้สึกสั่นไหวอย่างประหลาด เขาถึงขั้นมองสตรีตรงหน้าไม่ออก ว่านางได้ซ่อนความลับสะเทือนฟ้าดินไว้เบื้องหลังหรือไม่ สายตาเรียบนิ่งแฝงรอยยิ้ม อดไม่ได้ที่จะมองไปที่นาง
ซูหลีหลุบตาเล็กน้อย ก้มหน้าลงไป เห็นชัดว่ารับรู้ได้ถึงสายตามากมายที่มองตรงมาที่ดวงหน้าตนเอง บ้างลึกล้ำยากคาดเดา บ้างร้อนรุ่ม บ้างประหลาดใจ บ้างคาดหวัง บ้างก็ริษยาและชิงชัง…
“เจ้าก็คือซูหลีหรือ?” ฮ่องเต้มองพิจารณานางขึ้นลงหนึ่งรอบ แล้วจึงค่อยเอ่ยถามเสียงทุ้ม “เหตุใดต้องสวมผ้าคลุมสีขาว?”
ซูหลีมิได้เอ่ยตอบทันที นางก้มหน้า ยกมือลูบพวงแก้มด้านซ้าย ฮ่องเฮารีบร้อนคลี่ยิ้มกล่าวว่า “ฝ่าบาททรงลืมแล้วหรือเพคะ? บนหน้านางมีปานอัปมงคลหนึ่งดวง คงเพราะเกรงว่าโชคร้ายจะทำให้พระพักตร์มังกรเสื่อมความมงคล ฉะนั้นจึงได้สวมผ้าโปร่งปิดคลุมใบหน้า ใช่เช่นนี้หรือไม่ ซูหลี?”
………………………………………………………..