กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 71 รัศมีเจิดจรัส (5)
ฮองเฮายิ้มอ่อนโยน ซูหลีกลับอดไม่ได้ที่จะลอบยิ้มเย็นชา ตงฟางจั๋วเป็นผู้พานางเข้าวังมา เมื่อครู่ยังบอกว่านางไม่เหมาะสมกับราชวงศ์ด้วยเหตุผลทั้งปวง ยามนี้กลับรีบเอ่ยปากอธิบายแทนนาง ซูหลีเพียงก้มหน้าตอบอย่างนอบน้อม “ทูลฝ่าบาท ทูลฮองเฮา ปานดวงนี้อัปมงคลหรือไม่นั้น หม่อมฉันไม่ทราบเพคะ ที่หม่อมฉันสวมผ้าโปร่งปิดบังใบหน้าเข้าเฝ้า เป็นเพราะเกรงว่าใบหน้านี้…จะทำให้พระองค์ตกพระทัยเพคะ”
“อ้อ?” ฮ่องเต้หรี่ตา มองนางเงียบๆ ปานดวงเล็กๆ จะทำให้ฮ่องเต้ผู้มากประสบการณ์อย่างเขาตกใจได้? น่าขันยิ่งนัก เอ่ยสั่งสุรเสียงเข้ม “ถอดผ้าคลุมออกเสีย ให้เราดู”
ซูหลีชะงักเล็กน้อย แต่เพราะไม่กล้าขัดรับสั่ง นางจึงยกมือหมายปลดผ้าโปร่งคลุมหน้าออก ทว่ากลับมีเสียงหัวเราะดูแคลนของหญิงสาวดังมาจากฝั่งซ้ายมือ ไม่ต้องหันไปมองซูหลีก็รู้ว่าเป็นซูชิ่น และคุณหนูอีกหลายคนที่อยู่กับซูชิ่นในสวนของนางในวันนั้น ตอนนี้พวกนางกำลังโน้มตัวกระซิบกระซาบเสียงเบา
“ร่ายรำงดงามแล้วมีประโยชน์อันใด ใบหน้านางก็ยังคงอัปลักษณ์อยู่เช่นเดิม! อีกประเดี๋ยวหากฝ่าบาทเห็นปานน่ากลัวของนาง จะต้องสั่งคนให้โยนนางออกจากวังแน่นอน เจ้าคอยดูเอาเถิด!” ซูชิ่นกระซิบเสียงเบากับหญิงสาวที่อยู่ข้างๆ ท่าทางมั่นอกมั่นใจ ย่ามใจราวกับมองเห็นสภาพน่าสังเวชของซูหลีที่ถูกขับออกจากวังแล้ว
ทว่า… ซูชิ่นกลับย่ามใจได้ไม่นานนัก ขณะที่นางเพิ่งจะเอ่ยจบ ก็ค้นพบว่าเหล่าหญิงสาวที่อยู่ข้างกายต่างก็เบิกตาค้างอย่างตะลึงงัน เสียงที่ดังอื้ออึงไปทั่วตำหนัก ไม่ใช่เสียงหัวเราะเยาะด้วยความดูแคลนอย่างที่นึกไว้ กลับเป็นเสียงอุทานด้วยความชื่นชมอย่างปิดไม่มิด ยังมีเสียงสูดหายใจด้วยความตะลึงผสมอยู่ด้วย
ซูชิ่นมองตามสายตาผู้คนไปยังสตรีที่นางดูแคลนมาโดยตลอดอย่างแปลกใจ เมื่อมองเห็นใบหน้าของซูหลีที่ปลดผ้าคลุมออกแล้ว นางพลันปากอ้าตาค้างด้วยความตะลึง เอ่ยอะไรไม่ออกอีก
สตรีที่คุกเข่าอยู่ใจกลางตำหนัก ผมดำขลับยาวสลวย บุคลิกงามสง่า บนแก้มข้างซ้ายลวดลายนกเพลิงที่อยู่ในท่าสยายปีกพร้อมโบยบินลากยาวมาจนถึงหางตา ขับเน้นให้ดวงหน้าที่เดิมก็งดงามบริสุทธิ์ดั่งหิมะ ยิ่งโดดเด่นสะดุดตาไม่มีผู้ใดเทียม
วินาทีนี้ บุปผานานาชนิดในสวนด้านนอกตำหนักราวกับสูญเสียความเปล่งประกายทั้งมวลไป ทั้งด้านในและด้านนอกตำหนัก มีเพียงนางเท่านั้นที่งดงามโดดเด่น ไม่มีผู้ใดทัดเทียม
รอบด้านเงียบสงัด ไม่มีผู้ใดเอ่ยวาจาอยู่ครู่ใหญ่
เงียบงันจนได้ยินเสียงเข็มตก ทว่า… เทียบกับสีหน้าตะลึงในความงามของฝูงชน สีหน้าของฮ่องเต้และฮองเฮาที่ประทับอยู่บนพระที่นั่งกลับดูตื่นตะลึงเหนือความคาดหมาย ราวกับไม่อยากเชื่อสายตาของตนเอง ตอนนี้ ในที่สุดฮองเฮาก็เข้าใจแล้ว เหตุใดโอรสของนางจึงดึงดันจะเพิ่มสตรีนางนี้เข้ามาในรายชื่อผู้เข้าร่วมการคัดเลือกให้ได้!
“เจ้า…คือซูหลี บุตรีของท่านอัครเสนาบดีจริงหรือ?” หลังความเงียบอันน่าอึดอัดใจผ่านไป ฮ่องเต้ก็ทรงถามคำถามที่ชวนให้ฝูงชนฉงนฉงาย
ซูหลีเอ่ยตอบอย่างนอบน้อม “เพคะ ฝ่าบาท”
“เข้ามาใกล้ๆ เรา” สายตาแฝงความนัยของฮ่องเต้มองไปยังตงฟางจั๋ว สีหน้าไม่อาจคาดเดาความคิด
ทั้งฮ่องเต้และฮองเฮาต่างก็เคยพบหลีซู ครั้งหนึ่งคือตอนอวยยศท่านหญิงให้นาง อีกครั้งหนึ่งคือตอนเรียกพบหลังพระราชทานงานอภิเษกให้ ซูหลีรู้ว่าช้าเร็วอย่างไรนางก็ต้องผ่านด่านนี้ไปให้ได้ จึงสงบสติอารมณ์ ก่อนจะก้าวไปข้างหน้าท่ามกลางสายตาสงสัยของฝูงชน
สายตาจากทั้งสองฝั่งทางเดินล้วนจ้องมาที่ใบหน้านาง องค์รัชทายาทแคว้นติ้งยังคงสุภาพนุ่มนวล สายตาอ่อนโยนของเขาแฝงไว้ด้วยความใกล้ชิดสนิทสนมรางๆ ไร้วี่แววขุ่นเคืองที่ถูกปฏิเสธหลายครั้ง เหมือนการที่เขาเอ่ยปากขอนางกับฮ่องเต้เป็นเพราะความชอบล้วนๆ ไม่ใช่เพราะต้องการวางแผนเอาของคืนจากนาง ซูหลีอดไม่ได้ที่จะลอบชื่นชมความร้ายกาจของคนผู้นี้อยู่ในใจ
พอหันไปมองฮูเอ่อร์ตู สีหน้าของเขาไม่ได้ดูดีนัก นอกจากไอพิฆาตอันเป็นเอกลักษณ์ของเหล่านักรบแล้ว สายตาที่มองนาง ยังแฝงความไม่เป็นมิตรไว้รางๆ อีกด้วย ส่วนตงฟางเจ๋อ เขาเพียงเหลือบมองนกเพลิงตรงหางตานาง ก่อนจะหลุบตาลง คาดเดาอารมณ์ใดไม่ได้
เปลี่ยนความอัปมงคลให้กลายเป็นมงคล นกเพลิงนิพพาน ย่อมมีวันที่กางปีกโบยบิน! ที่แท้สตรีนางนี้ฉลาดหลักแหลมถึงเพียงนี้ เพียงประโยคเดียว นางก็สามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงที่สะท้านฟ้าสะเทือนแผ่นดินได้!
เหมือนเมื่อคราที่ได้รับการอวยยศให้เป็นท่านหญิง ซูหลีคุกเข่าลงข้างตงฟางจั๋วอย่างสำรวมและนอบน้อมอีกครั้ง มีคนเคยกล่าวไว้ ยามพวกเขาคุกเข่าอยู่ข้างกัน สมกันดั่งกิ่งทองใบหยก มองอย่างไรก็เนื้อคู่กัน ตอนนั้นฮ่องเต้เองก็พยักหน้า สายตาแสดงออกว่าเห็นด้วย ยามนี้เมื่อเห็นพวกเขาทั้งสองคุกเข่าอยู่ข้างกันอีกครั้ง ความชื่นชมคงหมดไป เหลือไว้เพียงความสงสัย
พลังอำนาจอันยิ่งใหญ่ของจักพรรดิผู้สง่าผ่าเผยอยู่ใกล้แค่ตรงหน้า มีเพียงบันไดทางขึ้นบัลลังก์คั่นกลางเท่านั้น ซูหลีก้มหน้า ถวายพระพรตามพิธีการ ได้ยินเพียงฮ่องเต้เอ่ย “การร่ายรำของเจ้ายอดเยี่ยมมาก รูปร่างหน้าตาก็งดงามยิ่ง มิน่าเล่าองค์รัชทายาทแห่งแคว้นติ้งกับท่านขุนพลฮูเอ่อร์ตูจึงหมายตาเจ้า! แม้แต่โอรสของเราก็ยังปฏิบัติต่อเจ้าต่างจากผู้อื่น กระทั่งยังพาเจ้าเข้าวังมาด้วยตนเอง เจ้า…ในเมื่อรู้ว่าใบหน้านี้จะทำให้เราตกใจ คิดว่าคงรู้แล้วว่าตนเองมีใบหน้าคล้ายกับท่านหญิงหมิงอวี้!”
ดั่งหินที่โยนลงในบึงน้ำอันนิ่งสงบก่อให้เกิดคลื่นซัดสาด เหล่าหญิงงามที่รอการคัดเลือกต่างฮือฮา นอกจากหลีเหยา ไม่มีผู้ใดรู้ ซูหลีที่ถูกคนภายนอกตราหน้าว่าเป็นหญิงอัปลักษณ์เพราะปานบนใบหน้า กลับมีใบหน้าคล้ายกับหลีซู หญิงงามอันดับหนึ่งของเมืองหลวง!
ทุกคนต่างรู้ดี จิ้งอันอ๋องรู้เรื่องที่ท่านหญิงตั้งครรภ์ก่อนแต่งในวันอภิเษก ด้วยความโมโหจึงหย่าขาดจากท่านหญิงหมิงอวี้ทันที ก่อนจะไล่นางออกจากจวนอ๋อง ไม่ว่าใครต่างก็คิดว่าเขาจะต้องโกรธแค้นท่านหญิงหมิงอวี้มากแน่ๆ แต่ยามนี้เขากลับปฏิบัติต่อซูหลีซึ่งมีใบหน้าคล้ายท่านหญิงหมิงอวี้พิเศษกว่าคนอื่น เช่นนั้นความรู้สึกของเขาที่มีต่อท่านหญิงหมิงอวี้ที่หักหลังและทำลายเกียรติของเขาจนสิ้น คงไม่ได้มีเพียงความเคียดแค้นและชิงชังเท่านั้น!
หญิงสาวกว่าครึ่งมองเห็นจุดจบของตนเองล่วงหน้า มีไม่น้อยที่ใบหน้าซีดขาว แสดงให้เห็นแววสิ้นหวังอย่างยากปกปิด
ซูหลีไม่ได้เงยหน้า เพียงเอ่ยตอบอย่างใจเย็น “เพคะ”
ฮ่องเต้เอ่ยถามอีกครั้ง “เจ้ารู้จักจิ้งอันอ๋องได้อย่างไร?” วาจาไม่บ่งบอกอารมณ์ แต่น้ำเสียงกลับเคร่งขรึมลงหลายส่วน
ตั้งแต่สมัยโบราณองค์จักรพรรดิมักมีความสงสัยแคลงใจ ประโยคนี้มิได้กล่าวเกินจริงแม้แต้น้อย ซูหลีขมวดคิ้วเล็กน้อย ยังไม่ทันคิดคำตอบ ตงฟางจั๋วที่อยู่ข้างกายก็เอ่ยปาก “ทูลเสด็จพ่อ…”
“เราไม่ได้ถามเจ้า!” ฮ่องเต้ตัดบทเสียงเข้ม สายตาดุดันกวาดมองใบหน้าพวกเขาทั้งสอง แรงกดดันมหาศาลทำให้ใจซูหลีสั่นสะท้าน ตงฟางจั๋วทำได้เพียงหุบปาก ขมวดคิ้วแน่น
ซูหลีเหลือบมองตงฟางเจ๋อที่นั่งเงียบๆ อยู่บนที่นั่งด้านหนึ่ง เห็นเพียงเขาก้มหน้าจิบชา ท่าทางเนิบนาบแช่มช้า สายตาไม่วอกแวก สีหน้าเรียบเฉย ราวกับเรื่องราวตรงหน้าไม่เกี่ยวข้องกับเขา เขาคิดจะเอาตัวรอดหรือ? ซูหลีกระดกคิ้ว ก่อนหลุบตาเอ่ยตอบ “ทูลฝ่าบาท ตอนที่หม่อมฉันล่องเรือชมบุปผากับเจิ้นหนิงอ๋อง ได้บังเอิญพบจิ้งอันอ๋อง เป็นเจิ้นหนิงอ๋องแนะนำหม่อมฉันให้รู้จักกับจิ้งอันอ๋องเพคะ”
เมื่อได้ยินว่านางข้องเกี่ยวกับโอรสที่ทรงโปรดปรานอีกคน ฮ่องเต้อดขมวดคิ้วไม่ได้ ม่านตาหรี่เล็กลง สีหน้าค่อยๆ เคร่งขรึมขึ้น ดวงหน้าทั้งดวงดูราวกับถูกปกคลุมด้วยหมอกครึ้มหนึ่งชั้น
ผู้คนรอบด้าน ต่างตกใจจนไม่กล้าส่งเสียง
ฮ่องเต้ตวัดสายตาคมปลาบไปทางตงฟางเจ๋อ เอ่ยถามเสียงเข้ม “เจ๋อเอ๋อร์รู้จักกับคุณหนูซูได้เช่นไร?”
ตงฟางเจ๋อรีบลุกขึ้นยืน สายตาเรียบเฉยกวาดผ่านใบหน้านาง ราวกับไม่ได้ประหลาดใจแม้แต่น้อย เขาก้มหน้าตอบ “ทูลเสด็จพ่อ ในวันคล้ายวันเกิดของเสด็จแม่ผู้ล่วงลับ ระหว่างทางที่ลูกเดินทางกลับจากสุสานราชวงศ์ บังเอิญพบซูหลีถูกชายฉกรรจ์ร่างใหญ่สองคนถือมีดไล่ล่านาง ลูกเห็นนางไร้อาวุธในมือแต่กลับใจกล้าเกินคนธรรมดา จึงสั่งคนให้ช่วยชีวิตนาง ต่อมาภายหลังได้ทราบว่านางเป็นบุตรีจวนอัครเสนาบดี และชายฉกรรจ์สองคนนั้น ก็เป็นคนชั่วค้ามนุษย์ที่ก่อเหตุในเมืองหลวงซ้ำหลายครั้ง พวกเขาลักพาตัวและค้าขายสตรีโดยเฉพาะพ่ะย่ะค่ะ!”
……………………………………………………