กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 72 เลือกพระชายากลายเป็นเลือกพระสวามี (1)
“ว่าอย่างไรนะ? แม้แต่บุตรีจวนอัครเสนาบดีก็ยังกล้าลักพาตัวไปขาย?” ฮูเอ่อร์ตูเบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจ ก่อนจะหัวเราะเยาะเสียงดัง “พ่อค้ามนุษย์แคว้นพระองค์ช่างร้ายกาจยิ่งนัก! กระหม่อมได้เปิดโลกทัศน์กว้างไกลจริงๆ!” เอ่ยจบก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะเยาะอีก แต่กลับไม่มีผู้ใดคล้อยตามเขา มีเพียงซูชิ่นที่สีหน้าซีดเผือดไปทันที แววตาหวาดกลัวของนางมิได้เล็ดลอดสายตาซูหลีไป ชั่วขณะหนึ่งด้านในตำหนักเงียบจนได้ยินเสียงหายใจ บรรยากาศอึดอัดจนยากจะอธิบาย
หลางฉ่างขมวดคิ้วเบาๆ สายตาอบอุ่นอ่อนโยนของเขาทอดมองมาที่ซูหลี ในดวงตามีประกายห่วงแหนและเดือดดาลพาดผ่านอย่างบอกไม่ถูก
ฮ่องเต้พระพักตร์เคร่งขรึม อกกว้างกระเพื่อมขึ้นลง เห็นชัดว่าเริ่มโกรธกริ้ว ทว่ากลับไม่ตรัสอะไร
ตงฟางเจ๋อครุ่นคิด แล้วเอ่ย “เหมือนพวกเขาไม่รู้ว่าซูหลีเป็นบุตรีจวนอัครเสนาบดี…”
“ไม่ว่าพวกเขาจะรู้หรือไม่ พฤติกรรมต่ำทรามเช่นนี้เกิดขึ้นในพื้นที่สำคัญเช่นเมืองหลวง ผู้ว่าเมืองหลวงทำงานประสาอะไร? อีกประเดี๋ยวบอกให้เขามาพบข้าด้วย!” เรื่องเช่นนี้ถูกเปิดโปงต่อหน้าทูตจากสองแคว้น แล้วยังถูกหัวเราะเยาะอีก ฮ่องเต้จึงไม่อาจปล่อยผ่านไปง่ายๆ พระพักตร์มังกรโกรธเกรี้ยว ความแคลงใจสงสัยก่อนหน้าจางหายไปจนสิ้น ความสนใจต่อพิธีคัดเลือกพระชายาก็เช่นกัน ฮ่องเต้หันไปโบกมือให้ตงฟางจั๋วกับตงฟางเจ๋อ กล่าวว่า “ช่างเถิด พวกเจ้าสองคน ไปเลือกพระชายาของตนเองเสีย”
ช่วงเวลาที่เหล่าหญิงงามต่างรอคอย ในที่สุดก็มาถึง พวกนางต่างสูดหายใจลึกๆ นั่งหลังตรง ในใจวาดฝันว่าพวกนางจะถูกเลือกโดยคนที่ตนเองชื่นชมเลื่อมใส และกลายเป็นนกเพลิงที่โบยบินขึ้นไปเกาะบนยอดไม้
เมื่อหันหน้าไปทางที่นั่งทั้งสองฝั่ง สายตาของเหล่าหญิงงามที่ทอดมองมา บ้างก็เอียงอาย บ้างก็เลื่อมใส ทว่าไม่มีสายตาคู่ใดที่ไม่แฝงไว้ด้วยความร้อนแรง ตงฟางจั๋วและตงฟางเจ๋อต่างทำราวกับไม่รับรู้ ดวงตาคมเข้มทั้งสองต่างหันไปมองสตรีที่คุกเข่าอยู่กลางตำหนักพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย
ตงฟางจั๋วอ้าปากหมายจะเอ่ยตอบ ทว่าในตอนนี้เอง ตงฟางเจ๋อกลับชิงทูลถามฮ่องเต้อย่างนอบน้อมเสียก่อน “เสด็จพ่อ สตรีที่อยู่ในตำหนักนี้ ลูกสามารถเลือกได้ตามใจจริงหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
ฮ่องเต้มองเขาแวบหนึ่ง ก่อนจะพยักหน้า เนื่องจากอารมณ์ไม่ดี จึงเอ่ยด้วยสีหน้าหน่ายใจเล็กน้อย “แน่นอน ข้าพูดคำไหนย่อมเป็นคำนั้น”
คล้ายเป็นประโยคที่กำลังรอคอย! ตงฟางเจ๋อลุกจากที่นั่งทันที เบื้องล่างพระที่นั่งอวี๋ตัน เขากวาดมองเหล่าหญิงงามบนที่นั่งทั้งสองฝั่งอย่างละเอียดหนึ่งรอบ เหล่าสตรีที่สบตากับเขา ไม่มีนางใดที่หัวใจไม่เต้นรัว พวงแก้มไม่ร้อนผ่าว พวกนางต่างพากันก้มหน้าด้วยความตื่นเต้นและคาดหวัง มีเพียงซูชิ่นที่ยามนี้รู้สึกถึงความสิ้นหวังและหวาดกลัวอย่างบอกไม่ถูก ตั้งแต่เห็นปานที่ถูกแต่งแต้มจนกลายเป็นนกเพลิงของซูหลี นางที่ไม่ค่อยจะฉลาดมาโดยตลอด กลับรู้สึกขึ้นมาได้เองว่าตนเองไม่มีความหวังอีกแล้ว
นัยน์ตาคมเข้มไหวระริก รอยยิ้มที่คาดเดาไม่ได้พาดผ่านสายตา ตงฟางเจ๋อมองพิจารณาอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ชี้ไปที่คนผู้หนึ่ง กล่าวว่า “ทูลเสด็จพ่อ ลูก…เลือกนาง!”
เหล่าหญิงงามต่างพร้อมใจกันกลั้นหายใจ เมื่อมองไปตามนิ้วของเขาและเห็นสตรีที่เขาเลือก ต่างก็พากันเบิกตาค้าง อึ้งงันกันถ้วนหน้า
เหงื่อเย็นไหลซึมเต็มฝ่ามือทันที เกากงกงที่รับใช้ฝ่าบาทมานับสิบปี รีบเงยหน้าสังเกตพระพักตร์ฮ่องเต้ ทั่วทั้งแคว้นเฉิง เกรงว่าไม่มีผู้ใดรู้จักนิสัยใจคอของฮ่องเต้ดีเท่าเขาอีกแล้ว
ราวกับมีเมฆครึ้มกดทับลงมาอย่างรวดเร็ว พยับเมฆที่เพิ่งสลายตัวไปได้ไม่นาน เริ่มกลับมาตั้งเค้าปกคลุมตำหนักเฉาเหออีกครั้ง ซูหลีเงยหน้าขึ้นตามสัญชาตญาณ ปะทะเข้ากับสายตาคมกริบดั่งใบมีดของฮ่องเต้ที่ตวัดมองตงฟางเจ๋อ และหยุดอยู่ที่ใบหน้านาง
สำหรับพฤติกรรมของตงฟางเจ๋อที่เอ่ยวาจาเบี่ยงเบนความสนใจของฮ่องเต้ ทว่าพริบตาเดียวเขาก็หันหัวหอกกลับมาที่นางอีกครั้ง แม้ว่าซูหลีจะประหลาดใจ แต่กลับมิได้แสดงสีหน้าตื่นตะลึงเท่ากับคนอื่นๆ ตรงกันข้าม สายตาของฮ่องเต้ เปรียบเสมือนดาบคมที่ห้อยอยู่เหนือศีรษะนาง ซึ่งไม่รู้จะตกลงมาเมื่อใด ซูหลีขมวดคิ้วบางๆ รีบก้มหน้าต่ำลงไปอีกหนึ่งส่วน หางตาเหลือบเห็นบุรุษข้างกาย ยามนี้เขาใบหน้าซีดขาวจนเขียว เส้นเอ็นบนหลังมือปูดโปน
ถูกฉวยโอกาสตัดหน้า เริ่มแรกตงฟางจั๋วอึ้งงันไปก่อน จากนั้นก็กลายเป็นเดือดดาลจนแทบคุมสติไม่อยู่ เขาเงยหน้าถลึงตาจ้องตงฟางเจ๋อที่ยืนอยู่ข้างกาย ผู้ที่คล้ายชอบทำตัวเป็นคู่แข่งกับเขาเสมอมา สายตาเกรี้ยวกราด ตัดสินใจยกนิ้วชี้ไปยังทิศเดียวกันโดยไม่สนใจพิธีรีตองใดอีก ก่อนจะกล่าวขึ้นด้วยสีหน้าเด็ดเดี่ยว “ทูลเสด็จพ่อ ลูกก็เลือกนางเช่นกัน!”
เมื่อวาจานี้เอ่ยออกไป ดั่งน้ำเย็นถูกสาดลงไปในน้ำมันที่กำลังเดือดจัด ทั่วทั้งตำหนักเฉาเหอ พลันแตกตื่นฮือฮาขึ้นมาทันที
หากการที่ทูตจากสองแคว้นต่างก็หมายตาซูหลีเป็นเรื่องที่ทำให้ผู้คนคาดไม่ถึง เช่นนั้น การที่ท่านอ๋องทั้งสองต่างเลือกสตรีนางเดียวกับทูตทั้งสอง ก็ได้ทำให้เหตุการณ์คาดไม่ถึงนี้กลายเป็นเหตุการณ์ที่เหนือความคาดหมายขึ้นไปอีก
เหล่าหญิงงามที่รอการคัดเลือก ทูตจากต่างแคว้นที่มาร่วมงาน ฮ่องเต้และฮองเฮาที่ประทับอยู่บนพระที่นั่ง แล้วยังมีเหล่านางกำนัลและขันทีที่รอปรนนิบัติรับใช้อยู่ในตำหนักนี้…ไม่มีผู้ใดที่ไม่อึ้งงัน สายตาของคนทุกผู้ต่างพากันจับจ้องมาที่ซูหลี
แรงกดดันมหาศาลอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน พลันแผ่ปกคลุมหัวใจนางทันที สายตาที่จ้องมองมาจากรอบทิศ บ้างก็ริษยา บ้างก็ชิงชัง บ้างก็ฉงนฉงาย บ้างก็สงสัย บ้างก็ตะลึงงันแตกต่างกันไป ซูหลีแสดงออกได้อย่างใจเย็นและสงบนิ่งต่างจากคนทั่วไป ท่ามกลางเสียงพูดคุยถกเถียงดังอื้ออึง นางเพียงคุกเข่าเงียบๆ อยู่ตรงนั้น ไม่เอ่ยวาจา และไม่เงยหน้ามองผู้ใด
ทันใดนั้น รอบข้างพลันเงียบงัน ดั่งระลอกคลื่นที่มองไม่เห็นกำลังก่อตัวบนผิวน้ำอันสงบนิ่ง เวลาประมาณหนึ่งถ้วยชาผ่านไป ฮองเฮาชิงเอ่ยปากตำหนิก่อน “พวกเจ้าสองคนหยุดก่อความวุ่นวายเสียที คุณหนูซูไม่ได้อยู่ในรายชื่อ พวกเจ้าจะเลือกนางได้อย่างไร?”
ตงฟางเจ๋อมิได้เอ่ยอะไร กลับเป็นตงฟางจั๋วที่เงยหน้าเอ่ยค้าน “เสด็จแม่ เมื่อครู่เสด็จพ่อตรัสว่าสตรีที่อยู่ในตำหนักนี้ลูกเลือกได้ตามใจ ซูหลีก็อยู่ในตำหนักนี้ เสด็จพ่อไม่ได้ตรัสว่าห้ามเลือกนางนี่พ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้า…” ฮองเฮาถูกโอรสของตนคัดค้านจนพูดไม่ออก ทำได้เพียงถลึงตาจ้องเขาอย่างโมโห หันกลับมาก็เห็นพระพักตร์ฮ่องเต้มึนตึง จึงตัดสินใจไม่ถูกว่าจะทำเช่นไรต่อดี
ตงฟางจั๋วเอ่ย “ซูหลีเป็นบุตรีของท่านอัครเสนาบดี และยังมิได้ออกเรือน เดิมทีก็ควรอยู่ในรายชื่อผู้เข้าร่วมการคัดเลือกอยู่แล้ว แต่นางถูกลิดรอนสิทธิ์เพราะคำพูดที่ไม่เป็นจริงเหล่านั้น ลูกคิดว่านี่ไม่ยุติธรรมสำหรับนางพ่ะย่ะค่ะ!”
“เหลวไหล! ยุติธรรมหรือไม่เจ้าไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจ!” ฮองเฮาขมวดคิ้ว พยายามสงบสติอารมณ์ เพิ่งจะลุกยืนก็มีนางกำนัลเข้ามาประคอง ทว่ากลับถูกนางผลักออก นางก้าวลงจากพระที่นั่ง เหลือบมองตงฟางเจ๋อที่ก่อกวนบรรยากาศให้วุ่นวาย ทว่ากลับทำสีหน้าคล้ายเรื่องทั้งหมดไม่เกี่ยวกับตนเอง จากนั้นก็มองโอรสของตนเองที่มีสีหน้าเด็ดเดี่ยว เอ่ยขึ้นอย่างทอดถอนใจ “จั๋วเอ๋อร์ เจ๋อเอ๋อร์ พวกเจ้าทั้งสองต่างก็เป็นท่านอ๋องที่เสด็จพ่อทรงโปรดปราน พวกเจ้าควรระลึกถึงฐานะตนเองไว้ให้มาก! ชายาของพวกเจ้าอาจกลายเป็นมารดาแผ่นดินในวันหน้า ฉะนั้นพวกเจ้าจะเลือกชายาตามความชอบส่วนตนอย่างเดียวไม่ได้ ต้องมีคุณธรรมอันดีและรูปโฉมงดงามจึงจะสมควร”
ตงฟางเจ๋อตอบกลับอย่างนอบน้อมพร้อมรอยยิ้ม “เสด็จแม่ทรงตรัสได้ถูกต้องยิ่ง!”
ฮองเฮามองเขา พยักหน้าอย่างพึงพอใจ ทุกคนต่างก็นึกว่าเขาจะยอมถอย เพิ่งจะถอนหายใจ แต่ใครเล่าจะคาดคิด ตงฟางเจ๋อกลับเอ่ยต่อว่า “แต่ที่ลูกเลือกนาง ก็เพราะนางมีคุณธรรมอันดีและรูปโฉมงดงามอย่างที่เสด็จแม่ทรงตรัสพ่ะย่ะค่ะ!”
ฮองเฮานัยน์ตาอึ้งงัน ตงฟางเจ๋อจึงกล่าวต่อ “ครั้งแรกที่ลูกพบนาง นางถูกชายฉกรรจ์ร่างใหญ่สองคนถือมีดไล่ล่าเป็นเวลานาน ทรงลองตรองดูเถิด พ่อค้ามนุษย์ที่แม้แต่ผู้ว่าเมืองหลวงยังจับไม่ได้จะเจ้าเล่ห์เพทุบายเพียงใด แต่นางกลับเอาชีวิตรอดจากเงื้อมมือสองคนนั้นมาได้ เห็นได้ว่านางมีไหวพริบยอดเยี่ยม และต่างจากสตรีทั่วไปมากเพียงใด!”
“ครั้งที่สองที่ลูกพบนาง นางถูกพี่สาวตนเองตบดีอย่างไร้เหตุผล ไม่เพียงไม่โต้ตอบ แต่นางยังไม่เอ่ยถึงเหตุการณ์ดังกล่าวต่อหน้าบิดาและพี่ชายนางแม้แต่คำเดียว เพียงกลัวว่าจะสร้างความกังวลใจให้แก่ท่านอัครเสนาบดี นี่คือความกตัญญูรู้คุณที่สตรีควรเอาเป็นเยี่ยงอย่าง!”
……………………………………………………….