กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 73 เลือกพระชายากลายเป็นเลือกพระสวามี (2)
“ครั้งที่สามที่ลูกพบนาง นางล่องเรือชมบุปผาเป็นเพื่อนลูก เพื่อตอบแทนที่ลูกช่วยชีวิตนาง บนเรือของพี่รอง พวกลูกเจอมือสังหาร ซูหลีเป็นเพียงสตรีอ่อนแอบอบบาง ทว่ากลับไม่แตกตื่นลนลาน เพื่อช่วยชีวิตคุณหนูหลีเหยา นางเกือบเอาชีวิตตนไม่รอด…”
“ไหวพริบดี ฉลาดปราดเปรื่องเกินผู้ใดเช่นนี้ แม้นเป็นถึงบุตรีแห่งจวนสกุลเซียงก็มิเคยถือตัวเอาแต่ใจตนเอง นอกจากนี้…นางยังอ่อนโยนและจิตใจงดงาม ทั้งอ่อนน้อมถ่อมตนและกตัญญูรู้คุณ สตรีเช่นนี้ ลูกคิดว่าเป็นแบบอย่างที่ดีในหมู่สตรีทั้งมวลพ่ะย่ะค่ะ!”
วาจาเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ ถูกเอ่ยออกมาอย่างตรงไปตรงมา ฟังจนผู้คนปากอ้าตาค้าง ขณะกำลังอึ้งงัน กลับไม่มีใครเอ่ยปากคัดค้าน
แม้แต่ซูหลีเองก็ยังอึ้งงันไปเล็กน้อย อย่างอื่นไม่ว่า อ่อนน้อมถ่อมตนและกตัญญูรู้คุณ แม้นางมีคุณสมบัตินี้ แต่ก็มิใช่ต่อครอบครัวของซูเซียงหรูอย่างแน่นอน และนางเองก็เชื่อ ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นในจวนสกุลเซียงวันนั้น คนฉลาดอย่างตงฟางเจ๋อ ไม่มีทางคิดอย่างที่เขาเอ่ยออกไปอย่างแน่นอน เช่นนั้นวันนี้ที่เขายกย่องนางต่อหน้าฮ่องเต้และฮองเฮา เพื่อจุดประสงค์ใดแน่?
แน่นอนนางไม่คิดว่าในเวลาเพียงไม่กี่เดือนเขาจะมีความรู้สึกลึกซึ้งกับตนเอง ยิ่งไม่มีเหตุผลใด ที่จะทำให้เขาจำเป็นต้องใช้ประโยชน์จากนางโดยที่ต้องแต่งงานกับนางเท่านั้น!
ถ้าเช่นนั้น เพราะเหตุผลใดกันแน่ที่ทำให้เขายอมเสี่ยงอันตรายยั่วโทสะฮ่องเต้ โดยการชิงเลือกนางก่อนตงฟางจั๋ว? ซูหลีขมวดคิ้วครุ่นคิด ลอบมองตงฟางเจ๋อเงียบๆ ค้นพบว่ายามนี้เขากำลังยิ้มบาง สายตาไร้คลื่นลม ราวกับคำพูดทุกคำล้วนเป็นจริง และเขาก็เอ่ยออกมาจากก้นบึ้งหัวใจ เพราะเหตุนี้ยิ่งทำให้ซูหลีรู้สึกว่าคนผู้นี้ช่างมีจิตใจที่ลึกล้ำดั่งก้นสมุทร ยากแท้หยั่งถึง
บนที่นั่งเหล่าหญิงงามที่รอการคัดเลือก ซูชิ่นขบปากแน่น ใบหน้าเหลืองดั่งผิวดิน นึกเสียใจต่อการกระทำของตนเองในวันนั้น ที่กลับกลายมาเป็นขับเน้นให้ซูหลีโดดเด่นถึงเพียงนี้
หลีเหยาที่ยืนอยู่ข้างซูชิ่น ยามนี้สายตาที่มองซูหลี กลับมีแววหม่นหมองยากคาดเดาพาดผ่าน ซูหลีเหลือบเห็นใบหน้าที่คล้ายกำลังกังวลของหลีเหยาเข้าโดยบังเอิญ จึงรีบส่งยิ้มบางๆ ให้นาง เด็กคนนี้ คงกำลังเป็นห่วงนางอยู่กระมัง
หลีเหยาอ้าปากคล้ายจะเอ่ยวาจา ซูหลีรีบส่ายหน้าเบาๆ เป็นสัญญาณบอกนางว่ามิอาจพูดมาก
ฮองเฮาขมวดคิ้ว หันไปมองฮ่องเต้ ฮ่องเต้สีหน้าไร้คลื่นอารมณ์ ยังคงจ้องซูหลีไม่เอ่ยวาจาใด ฮองเฮาคาดเดาจิตใจฮ่องเต้ไม่ได้ จึงหันไปมองบนที่นั่งเหล่าหญิงงาม ก่อนจะเอ่ยกับตงฟางเจ๋อด้วยรอยยิ้ม “ฟังดูแล้ว นางคล้ายเป็นสตรียอดเยี่ยมที่หาได้ยากจริงๆ!”
ฟังจากน้ำเสียง คล้ายกำลังพิจารณาว่าจะให้ซูหลีเข้าร่วมการคัดเลือกรอบแรกด้วย
เหล่าหญิงงามเมื่อได้ยินเช่นนั้นสีหน้าพลันเปลี่ยน นอกจากความผิดหวังอย่างแรงที่ไม่ถูกเลือก สิ่งที่มากกว่าก็คือความรู้สึกไม่ยุติธรรมที่พรั่งพรูในใจ
สตรีใจกล้าสวมอาภรณ์สีชมพูนางหนึ่งอดรนทนไม่ไหว ถึงขั้นลุกขึ้นเอ่ยคัดค้าน “ฮองเฮาเพคะ อวี้เอ๋อร์ขอคัดค้าน!”
ฝูงชนตกตะลึง ทุกสายตาหันขวับไปยังสตรีอาภรณ์สีชมพูดเป็นตาเดียว เมื่อเห็นว่าเป็นบุตรีของไต้เท้าซ่งอู๋ยง ขุนนางสูงสุดฝ่ายตรวจการ ก็ไม่มีผู้ใดแปลกใจอีก
มารดาของคุณหนูซ่งผู้นี้เป็นลูกพี่ลูกน้องของฮองเฮา มีสัมพันธ์อันดีกับฮองเฮาเสมอมา บิดาของนางก็เป็นขุนนางคนสำคัญที่ฮ่องเต้ทรงไว้วางพระทัย ฉะนั้นตำแหน่งของตระกูลซ่งในราชสำนักจึงสูงกว่าอัครเสนาบดีเซียงอยู่มากโข และเนื่องจากซ่งอู๋ยงเพิ่งมีบุตรสาวในช่วงวัยกลางคน จึงประคบประหงมตามใจ ส่งผลให้นางมีนิสัยใจกล้าบ้าอำนาจและชอบรังแกผู้อ่อนแอ ชื่อเสียงของนางกระฉ่อนไปทั่วเมืองหลวงมาช้านาน ยามนี้ในตำหนักพระที่นั่ง เบื้องหน้าองค์จักรพรรดิ ก็มีนางเพียงผู้เดียวที่กล้าลุกขึ้นมาแสดงความไม่พอใจของตนเอง
ฮองเฮาเงยหน้ามองนาง เอ่ยถามเสียงเรียบ “เจ้ามีเหตุผลใดจึงต้องคัดค้าน?”
ซ่งอวี้เอ่ยอย่างไม่เป็นธรรม “ทูลฮองเฮา ท่านอ๋องทั้งสองเลือกพระชายา อวี้เอ๋อร์มีวาสนาอยู่ในรายชื่อผู้ผ่านการคัดเลือก เดิมทีรู้สึกสำนึกในพระกรุณาธิคุณของราชวงศ์ยิ่งแล้ว แม้นมิกล้าอาจเอื้อมคิดว่าตนจะเป็นผู้ถูกเลือก แต่อวี้เอ๋อร์กับพี่น้องคนอื่นล้วนมาที่นี่ด้วยความจริงใจ เดิมไม่ว่าท่านอ๋องจะเลือกพี่น้องคนใด อวี้เอ๋อร์ก็ไม่มีทางรู้สึกว่าไม่ยุติธรรม แต่ว่า…”
“แต่ว่าอะไร?”
“แต่ตอนนี้ ท่านอ๋องกลับเลือกซูหลีผู้ซึ่งไม่อยู่ในรายชื่อคัดเลือก!” ซ่งอวี้ชี้นิ้วไปที่ซูหลี เอ่ยอย่างมีอารมณ์ขุ่นเคืองอีกว่า “ในเมื่อไม่เลือกตามรายชื่อ เช่นนั้นอวี้เอ๋อร์อยากทูลถามฝ่าบาทและฮองเฮา จะทรงมีรายชื่อคัดเลือกไปเพื่อการใดเพคะ!”
“สามหาว!” ฮองเฮาใบหน้าตึงเครียด ตำหนิเสียงเข้ม “รายชื่อที่ข้ากับฝ่าบาทกำหนดขึ้น จะเพื่อการใดก็มิใช้กงการใดของเจ้า!”
แม้แต่ซ่งอวี้ผู้มีชื่อเสียงเรื่องใจกล้าบ้าบิ่น ยามนี้ถูกฮองเฮาตวาดเช่นนี้ สีหน้ายังซีดเผือด ตกใจลนลาน รีบเดินออกจากที่นั่งและคุกเข่าบนเสื่อ ก้มหน้าเอ่ย “ฮองเฮาอย่าทรงกริ้ว! อวี้เอ๋อร์สมควรตาย! อวี้เอ๋อร์มิบังอาจสงสัยฝ่าบาทและฮองเฮาแน่นอน ขอฮองเฮาทรงพิจารณาด้วยเพคะ!”
ฮองเฮาสีหน้าผ่อนคลายลงเล็กน้อย หันไปเอ่ยวาจาขอร้องต่อฮ่องเต้ “ฝ่าบาท อวี้เอ๋อร์ยังเยาว์วัยนัก จึงพลั้งปากพูดตรงไปบ้าง ฝ่าบาทอย่าได้ทรงถือโทษโกรธนางเลยเพคะ”
ฮ่องเต้เพียงหันมามอง สีหน้าไม่แสดงอารมณ์ใด ฮองเฮาพลันบังเกิดความคิด แสร้งถอนใจกล่าว “หม่อมฉันเองเมื่อพิจารณาอย่างถี่ถ้วน เห็นว่าสิ่งที่นางกล่าวมาก็มิได้ไร้เหตุผลเสียทีเดียว ในเมื่อมีรายชื่อ อย่างไรก็เลือกตามรายชื่อดีกว่า เพื่อมิให้เป็นการผิดกฎ! ฝ่าบาท พระองค์ทรงเห็นว่าอย่างไรเพคะ?”
ฮ่องเต้มิได้เอ่ยวาจาใด ไม่รู้กำลังคิดสิ่งใดอยู่ สายตากวาดมองกลับไปกลับมาระหว่างบุตรชายทั้งสองและทูตจากสองแคว้น
ตงฟางจั๋วขมวดคิ้ว คล้ายไม่พอใจที่เสด็จแม่ไม่ยืนอยู่ข้างตนเอง จึงเอ่ยเสียงเย็นชา “กฎเกณฑ์สร้างขึ้นโดยผู้คน! หากจำเป็นต้องทำตามกฎเดิม ลูกขอร้องเสด็จพ่อ ให้คัดรายชื่อใหม่! ซูหลีบุตรีแห่งจวนสกุลเซียง รูปร่างหน้าตาสง่างาม มีคุณธรรมล้ำเลิศ สมควรอยู่ในรายชื่อคัดเลือก ขอเสด็จพ่อโปรดทรงอนุญาตด้วยพ่ะย่ะค่ะ!” ก้มหน้าโขกศีรษะ นี่เป็นครั้งแรกต่อหน้าธารกำนัล ที่ตงฟางจั๋วแสดงตนชัดเจนว่าเห็นตรงข้ามกับฮองเฮา
สีหน้าของฮองเฮาย่ำแย่ถึงขีดสุด สายตาคมปลาบตวัดมองซูหลี ความรู้สึกชิงชังพลันบังเกิดต่อสตรีผู้เป็นตัวการทำให้พวกนางสองแม่ลูกไม่ลงรอยกัน รังสีอำมหิตรุนแรงเช่นนั้น ซูหลีย่อมรับรู้ได้ แต่กลับมิอาจเอ่ยวาจาใดออกไป
ซ่งอวี้เอ่ยอย่างไม่พอใจ “แต่ว่าท่านอ๋อง ซูหลีเป็นสตรีอัปมงคลนะเพคะ!”
ตงฟางจั๋วได้ยินเช่นนั้นก็หันไปมองเธออย่างเย็นชา เอ่ยเสียงขรึม “คุณหนูซ่งเคยเชิญหมอดูคนใดไปคำนวณดวงชะตาให้ซูหลีงั้นหรือ? คุณหนูรู้ได้อย่างไรว่านางเป็นสตรีอัปมงคล?”
ซ่งอวี้ตอบอย่างมั่นใจ “ผู้คนข้างนอกต่างก็เล่าขานเช่นนี้!”
“ข้างนอก?” ตงฟางจั๋วหัวเราะเสียงเย็นชา “ผู้คนต่างเล่าขานว่าคุณหนูนิสัยเย่อหยิ่งเอาแต่ใจ มิเคยปฏิบัติต่อชาวบ้านธรรมดาเช่นผู้คน หรือข่าวลือนี้ก็เป็นจริง?”
รังสีเยือกเย็นจับจิตแผ่กำจาย ทำเอาซ่งอวี้สะดุ้งตัวโยน รู้สึกเย็นสะท้านไปทั้งใจ รีบเอ่ยเสียงสะดุด “แน่…แน่นอนว่าไม่ใช่เพคะ…”
“ในเมื่อข่าวลือไม่เป็นความจริง แล้วจะมั่นใจได้เช่นไรว่าข่าวลือเรื่องซูหลีเป็นสตรีอัปมงคลเป็นเรื่องจริง? ยังกล้านำวาจาเลื่อนลอยเช่นนี้เข้ามาทูลต่อหน้าพระพักตร์ฝ่าบาท คุณหนูคิดว่าตนเองควรรับโทษเช่นไร?”
“หม่อมฉัน…” ซ่งอวี้ตกใจจนอึ้งงัน รีบส่งสายตาขอความช่วยเหลือไปทางฮองเฮา แต่ยามนี้สีหน้าฮองเฮาก็มิสู้ดีนัก! ต่อหน้าพระพักตร์ ฮองเฮาไม่สะดวกต่อว่าโอรสของตนเองมากนัก เพื่อมิให้ฮ่องเต้ทรงขุ่นข้องใจ จึงทำได้เพียงข่มกลั้นความโกรธ ก่อนจะส่งสายตาไปทางทูตจากแคว้นทั้งสอง
ซ่งอวี้สายตาเป็นประกาย ราวกับได้รับคำใบ้ ทำใจกล้าเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “แม้นางจะไม่ใช่สตรีอัปมงคลจริง แต่เมื่อครู่องค์รัชทายาทแคว้นติ้งกับขุนพลฮูเอ่อร์ตูก็ได้เลือกนางไปแล้ว ตอนนี้ท่านอ๋องทั้งสองยังเลือกนางอีก เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ไปได้เล่าเพคะ?”
เหล่าหญิงงามต่างก็รู้สึกไม่ยุติธรรมเป็นทุนเดิม เพียงมิกล้าแสดงความไม่พอใจ ยามนี้เมื่อซ่งอวี้กล่าวอย่างนี้ พวกนางต่างก็พยักหน้าส่งเสริม
ชั่วขณะหนึ่ง เสียงพูดคุยดังอื้ออึงไปทั่วพระตำหนัก ราวกับฝูงชนถูกกระตุ้นความไม่พอใจ
………………………………………………………..