กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 74 เลือกพระชายากลายเป็นเลือกพระสวามี (3)
ตงฟางจั๋วขมวดคิ้วมุ่น ยังไม่ทันเอ่ยปาก ขุนผลฮูเอ่อร์ตูที่มีความเห็นต่างตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ยามนี้จึงลุกขึ้นยืน พูดเสียงดัง “ถูกต้อง ข้าเลือกนางก่อนแล้ว จะให้ผู้อื่นเลือกนางอีกได้เช่นไร! ท่านอ๋องทั้งสองเลือกหญิงงามท่านอื่นเถิด!”
องค์รัชทายาทแห่งแคว้นติ้งที่นั่งข้างกันได้ยินก็หัวเราะ ก่อนจะเอ่ยว่า “ท่านขุนพลคล้ายลืมไปแล้ว ข้าต่างหากที่เป็นคนเลือกนางก่อน ท่านขุนพลเองก็ควรเลือกสตรีอื่นด้วยเช่นกัน!”
ฮูเอ่อร์ตูเชิดคางเอ่ย “องค์รัชทายาทกล่าวผิดแล้ว เป็นข้าที่พบคุณหนูซูก่อน องค์รัชทายาทเพียงเอ่ยขึ้นก่อนข้า เช่นนี้ไม่นับ”
ด้านหน้าพลันมีเสียงหัวเราะเบาๆ ดังมา
“อ้อ? หากวัดกันเรื่องที่ผู้ใดพบคุณหนูซูก่อน เช่นนั้นท่านทูตทั้งสองคงต้องหลีกทางให้ข้าแล้ว!” คล้ายว่าเรื่องราวยังไม่วุ่นวายพอ ตงฟางเจ๋อเอ่ยแทรกขึ้นมาพร้อมรอยยิ้มประโยคหนึ่ง
ตงฟางจั๋วหัวเราะเย็นชา “น้องหกรู้จักนางก่อนแล้วอย่างไรเล่า ข้าต่างหากที่พานางเข้าวังมาแม้ต้องเสี่ยงรับโทษฐานฝืนรับสั่ง นางจึงมีโอกาสถวายการร่ายรำต่อหน้าเสด็จพ่อและเสด็จแม่ มีโอกาสเดินเข้ามาในตำหนักคัดเลือกพระชายาแห่งนี้ แล้วน้องหกเล่า ทำสิ่งใดบ้าง?”
“ข้าไม่ได้ทำสิ่งใดเลยจริงๆ เรื่องบางเรื่อง ข้าไม่มีวันมีความกล้าเช่นพี่รองแน่นอน” ตงฟางเจ๋อเอ่ย มุมปากฉาบไว้ด้วยรอยยิ้มลึกล้ำ เห็นชัดว่าเป็นวาจาแฝงความนัย
ฮองเฮาสีหน้าพลันเปลี่ยน โทษฐานขัดพระราชโองการ มิใช่โทษสถานเบา ตงฟางจั๋วประมาทหลุดปาก ถูกจับจุดอ่อน รู้สึกเหมือนตกหลุมพรางของตงฟางเจ๋อ พลันบันดาลโทสะทันที เมื่อเห็นสถานการณ์วุ่นวายขึ้นเรื่อยๆ เริ่มยากจะควบคุม ฮ่องเต้ที่เงียบมาโดยตลอดก็เปิดปากในที่สุด
“หุบปากให้หมด” น้ำเสียงไม่ได้ดุดันเกินเหตุ แต่ส่งผลให้ทุกคนในตำหนักพลันสงบปากสงบคำ ทั้งวาจาที่ยังไม่ออกจากปากและวาจาที่ใกล้จะออกจากปาก ล้วนถูกกล้ำกลืนลงไปจนสิ้น
ไม่ว่าเมื่อใด ความน่าเกรงขามของฮ่องเต้ก็สามารถสยบความโกลาหลวุ่นวายทั้งปวงได้ในเวลาอันสั้นเสมอ
“กลับไปนั่งที่ตนเองให้หมด” ฮ่องเต้มองทุกคนด้วยสายตาราบเรียบ ไม่มีคำตำหนิดังที่คาดไว้ แต่กลับยิ่งทำให้ผู้คนอกสั่นขวัญหาย นอกจากซูหลี ทุกคนล้วนกลับไปนั่งที่ตนเอง
ฮ่องเต้เลื่อนสายตากลับมาที่ซูหลีดังเดิม ตั้งแต่แรกเขาลอบสังเกตสตรีตรงหน้าอยู่ตลอด พบว่าตั้งแต่นางเดินเข้ามาในตำหนัก ไม่ว่าเขาจะหยั่งเชิงนางด้วยความแคลงใจ หรือโอรสทั้งสองของเขาจะเอ่ยปากสรรเสริญ ปกป้องนาง กระทั่งคนทั้งตำหนักจะวิจารณ์นางต่างๆ นานาจนเกือบจะวิวาทกันเช่นไร นางก็นิ่งสงบดังเดิม ไม่ลนลานหวาดกลัว และไม่ยินดียินร้าย กระทั่งมองไม่ออกแม้แต้น้อยว่านางคิดสิ่งใดอยู่
สตรีอ่อนเยาว์เช่นนาง กลับสงบได้ถึงเพียงนี้! แววชื่นชมพาดผ่านดวงตาฮ่องเต้ พริบตาเดียวก็หายวับไป พอนึกถึงทูตจากสองแคว้นที่เดิมไม่ได้มีความตั้งใจเรื่องแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ แต่อยู่ๆ กลับเลือกบุตรีที่ไม่เป็นที่โปรดปรานของจวนอัครเสนาบดี ฮ่องเต้ก็นึกปวดหัว เรื่องนี้ไม่เพียงเหนือความคาดหมาย แต่ยากจะจัดการยิ่งนัก ตอนนี้ แม้แต่โอรสทั้งสองของเขาก็ยังเลือกสตรีนางเดียวกันด้วย…
สายตาฮ่องเต้นิ่งขรึม พลันเอ่ยถามซูหลี “ที่ผู้คนกล่าวว่าเจ้าเป็นสตรีอัปมงคล เหตุเกิดจากปานที่อยู่บนใบหน้าเจ้า นกเพลิงตัวนั้นหรือ?”
ซูหลีเอ่ยตอบอย่างนอบน้อม “ทูลฝ่าบาท เป็นลำตัวนกเพลิงเพคะ หม่อมฉันเพียงปัดเติมเสริมแต่งเล็กน้อย เพื่อให้เหมาะสมกับการร่ายรำเมื่อครู่เพคะ”
“ลำตัวนกเพลิง?” ฮ่องเต้เอ่ยทวนสี่คำนี้อย่างแช่มช้า ก่อนกล่าวอย่างครุ่นคิด “เข้ามาให้ข้าดูใกล้ๆ”
ซูหลีรับคำเสียงเบา “เพคะ” นางลุกขึ้นก้าวเดินไปตามบันไดสู่พระที่นั่ง ก่อนจะหยุดฝีเท้าอยู่ในจุดที่ห่างจากฮ่องเต้ประมาณสิบก้าว และคุกเข่าลงไปอีกครั้ง
ฮ่องเต้จ้องนกเพลิงบนหน้านางอย่างละเอียดครู่หนึ่ง พลันกล่าวอย่างประหลาดใจ “ปานนี้…เหตุใดข้าจึงคุ้นตายิ่งนัก?”
ซูหลีพลันสะท้านใจเล็กน้อย ลอบคิดในใจว่าสายตาของฝ่าบาทเฉียบแหลมต่างจากคนทั่วไปดังคาด!
ฮองเฮาได้ยินเช่นนั้นก็เดินเข้ามาดูอย่างละเอียด อดไม่ได้ที่จะตกใจ ปานดวงนั้นถึงกับมีส่วนคล้ายนกเพลิงที่อยู่ในท่าพินอบพิเทาแปดถึงเก้าส่วน! ขณะหมายจะอ้าปากถาม กลับได้ยินฮ่องเต้รับสั่งเสียงเข้ม “ทหาร เรียกใต้เท้าหลินมาพบเรา!”
โหรหลวงหลินเทียนเจิ้ง ไม่เพียงคุ้นเคยกับปรากฏการณ์ทางธรรมชาติอย่างดี ยิ่งชำนาญเรื่องคำนวณชะตาชีวิตจากการดูใบหน้าผู้คน ได้ยินว่าทุกคำทำนายของเขาไม่เคยพลาด เพียงแต่คนผู้นี้ทะนงตนอยู่หลายส่วน หากมิใช่รับสั่งจากฮ่องเต้ก็มิเคยไยดี ในสำนักหอดูดาวหลวง มีเพียงเขาที่ได้รับความไว้วางพระทัยจากฮ่องเต้มากที่สุด
ที่ฮ่องเต้เรียกเขามาในยามนี้ ไม่ต้องเอ่ยวาจาใดก็รู้แจ้ง ผู้คนในพิธีต่างก็มีสีหน้าแตกต่างกันไป ฮูเอ่อร์ตูหมายลุกขึ้นเพราะทนไม่ไหว แต่กลับถูกกุนซือข้างกายปรามไว้ เหล่าหญิงงามแม้ไม่พอใจ แต่กลับไม่มีผู้ใดกล้าเอ่ยอะไรแม้แต่คำเดียว
เมื่อหลินเทียนเจิ้งเดินเข้ามาถวายบังคมฮ่องเต้ ทุกคนต่างก็อึ้งงันไปทันที ใต้เท้าหลิน โหรหลวงแห่งสำนักหอดูดาวหลวงตามคำเล่าลือกลับยังหนุ่มถึงเพียงนี้! เขายังอายุไม่ถึงยี่สิบปีด้วยซ้ำ รูปร่างกลางๆ ดวงตาสุกใสเป็นประกาย เครื่องหน้าทั้งห้าหล่อเหลาคมคาย เมื่อสายตาปะทะเข้ากับนกเพลิงบนใบหน้าซูหลี สายตาของหลินเทียนเจิ้งพลันเปลี่ยนไปชั่ววูบหนึ่ง ทว่ากลับมิได้เอ่ยวาจาทันที เพียงเพ่งมองนางอยู่ครู่ใหญ่ มองจนซูหลีเริ่มรู้สึกกังวล
ทุกคนรู้กันอย่างทั่วถึง ตลอดมาหลินเทียนเจิ้งพินิจใบหน้าผู้คนเพียงแวบแรกก็บอกได้แล้ว วันนี้กลับเพ่งมองนางอยู่นานถึงครึ่งเค่อ แม้แต่ฮ่องเต้ก็อดไม่ได้ที่จะเผยสีหน้าสงสัย ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงคนอื่นเลย
ซูหลีกำมือที่เปียกเหงื่อเบาๆ ขี้นสวรรค์หรือลงนรกตัดสินกันเพียงเสี้ยววินาทีนี้ แม้ภายนอกนางดูไม่หวั่นไหว ทว่าในใจกลับไม่อาจคาดเดาสิ่งใดได้เลย สายตาเหลือบมองด้านหนึ่ง พบว่าตงฟางเจ๋อกำลังยิ้มและมองมาที่นาง รอยยิ้มที่อ่านความหมายไม่ออกนั้นยังไม่ทันคลี่ออกก็หายวับไปทันที จนนางคิดว่าตนเองตาฝาดไป
ในที่สุดหลินเทียนเจิ้งก็ละสายตาจากใบหน้านาง หันไปทางฮ่องเต้ เอ่ยเสียงจริงจัง “ฝ่าบาท โปรดทรงมอบกระดาษและพู่กันให้หม่อมฉันด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้สายตาขรึมลงทันที หลินเทียนเจิ้งไม่ยอมเอ่ยปากต่อหน้า แต่ขอพู่กันและกระดาษแทน แสดงว่าจะต้องมีเจตจำนงของสวรรค์อยู่แน่นอน โบกมือสั่งคนยกโต๊ะเข้ามาในตำหนัก ทั้งกระดาษพู่กันและหมึกล้วนมีพร้อม ทุกคนล้วนถอยออกไปรออยู่นอกตำหนักเงียบๆ หลินเทียนเจิ้งยกพู่กันขึ้นตวัดเขียนอักษรสี่ตัวอย่างรวดเร็ว ก่อนจะยื่นให้ฮ่องเต้ด้วยมือตนเอง
ฮ่องเต้เข้าใจความหมายของเขา มิได้ให้ผู้ใดหยิบมาส่งต่อ เดินไปหยิบกระดาษจากมือเขาแล้วกวาดตามองแวบหนึ่ง สายตาพลันแปรเปลี่ยน ก่อนจะหันไปมองซูหลีอย่างตกตะลึง คล้ายไม่อยากเชื่อ
ฮองเฮาที่ยืนอยู่อีกด้านไหนเลยจะทนไหว ลุกขึ้นเอ่ยถามเสียงร้อนรน “ฝ่าบาทเพคะ?!” ฮ่องเต้มองฮองเฮาด้วยสายตาสับสน ก่อนหันกลับมาเอ่ยถามด้วยสีหน้าเคร่งขรึมจริงจัง “ใต้เท้าหลิน ท่านแน่ใจหรือว่าไม่ต้องดูพื้นดวงชะตาของนางแล้ว?”
หลินเทียนเจิ้งกล่าว “ใบหน้าเช่นนี้ ร้อยปีจะมีให้เห็นเพียงครั้งเดียว ไม่ว่าพื้นดวงชะตาจะเป็นอย่างไร ผลลัพธ์ล้วนเหมือนกันพ่ะย่ะค่ะ!”
ฮ่องเต้ตกสู่ภวังค์เงียบงัน
ในตำหนักพลันเงียบกริบ จนได้ยินแม้กระทั่งเสียงลมหายใจ ผ่านไปครู่ใหญ่ ฮ่องเต้พับกระดาษในมือช้าๆ ก่อนเอ่ยสั่งเสียงเรียบ “เผาเสีย”
เกากงกงมิกล้าตั้งคำถาม รีบรับไปอย่างนอบน้อม ความลับสะเทือนฟ้าดินถูกเผาจนกลายเป็นขี้เถ้าทันที
ซูหลีขมวดคิ้วเบาๆ ไม่มีทางคาดเดาได้ว่าอักษรสี่ตัวบนกระดาษแผ่นนั้นคืออักษรใดบ้าง ถึงได้ทำให้ฮ่องเต้ให้ความสลักสำคัญถึงเพียงนี้? ในใจพลันกระสับกระส่ายขึ้นมาเล็กน้อย ยามนี้กลับมีเสียงร้องแตกตื่นของเหล่านางกำนัลที่อยู่ด้านนอกดังเข้ามา
ด้านนอกตำหนักเฉาเหอ ยามนี้กำลังมีปรากฏการณ์ทางธรรมชาติประหลาดเกิดขึ้น รอบเวทีศิลาที่ซูหลีใช้แสดงการร่ายรำก่อนหน้านี้ บุปผาหลากสีราวกับนัดหมายกันล่วงหน้า เบ่งบานอยู่บนกิ่งก้านสาขา ดอกไม้ตูมที่อยู่ในกระถางก็พากันชูช่อสวยสดงดงาม ดอกไม้ป่าดอกเล็กๆ ที่อยู่ท่ามกลางพุ่มหญ้าก็ไม่ยอมน้อยหน้า แม้แต่บัวขาวที่อยู่ในน้ำก็ยังบานออกทีละชั้นๆ สีขาวมงคลสะอาดตาพลันเบ่งบานไปทั่วทั้งบ่อ
เหล่านกน้อยราวกับตอบรับเสียงเรียกของบุปผานานาชนิด รวมตัวจับกลุ่มกางปีกบินเข้ามา วนเวียนไปมาอยู่เหนือเวทีศิลาขาวอย่างไม่อาจควบคุม ท่ามกลางแสงตะวันเจิดจ้า ขนนกหลากสีและหมู่มวลบุปผา ส่องประกายแห่งวสันตฤดู ระยิบระยับงามตา
………………………………………………