กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 75 เลือกพระชายากลายเป็นเลือกพระสวามี (4)
ทุกคนล้วนตกตะลึงกับภาพที่เกิดขึ้น!
“ร้อยบุปผาบานสะพรั่ง เหล่าวิหคแข่งกันขับขาน นี่ก็คือนิมิตหมายมงคลที่พบเห็นได้ยากยิ่งนัก!” หลินเทียนเจิ้งคุกเข่าลงกับพื้น ก่อนจะหมอบลงอย่างตื่นเต้น “กระหม่อม ยินดีกับฝ่าบาทด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”
“ยินดีด้วยพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท! ขอพระองค์ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นปี หมื่นๆ ปี!” เสียงตะโกนสรรเสริญเยินยอที่ดังตามมา แทบจะทำให้พระราชวังสั่นสะเทือนไปทั่ว ทั้งด้านในและด้านนอกตำหนักเฉาเหอ ทุกคนล้วนคุกเข่ากับพื้น บรรยากาศอันศักดิ์สิทธิ์ทำให้ความยิ่งใหญ่ของราชวงศ์แห่งแคว้นเฉิงพุ่งทะยานสู่ท้องนภา
ฮ่องเต้เบิกบานใจยิ่ง ลุกขึ้นหัวเราะเสียงดัง “ดี! พวกเจ้าลุกขึ้นเถิด! เด็กๆ ให้คุณหนูซูไปนั่งที่”
“เป็นพระมหากรุณาธิคุณเพคะ!” รอยยิ้มพาดผ่านกลีบปากบางเล็กน้อยจนแทบไม่สังเกตเห็น ในที่สุด ซูหลีก็คลายใจได้แล้ว
บุปผาบานสะพรั่งไปทั่วตำหนักเฉาเหอ ฮองเฮาคลี่ยิ้มชื่นมื่นเดินมาหาซูหลี กล่าวว่า “ที่แท้ข่าวลือในตลาดล้วนไม่น่าเชื่อถือ! เด็กดี เห็นชัดว่าเจ้าเป็นสตรีนำโชคอย่างแท้จริง!”
ซูหลีโน้มกายคำนับ “ฮองเฮาทรงกล่าวหนักไปแล้วเพคะ นั่นเป็นเพราะบุญบารมีที่ยิ่งใหญ่เสมอฟ้าของฝ่าบาทและฮองเฮา แคว้นเฉิงของเราจึงมีช่วงเวลางดงามเช่นนี้เกิดขึ้น!”
ฮองเฮารั้งมือนางเบาๆ หมายจะอ้าปากเอ่ยวาจาแสดงความใกล้ชิดอีกสักหลายประโยคเพื่อหยั่งเชิงนาง ทว่าทันใดนั้น นางกลับรู้สึกวิงเวียนศีรษะ สีหน้าซีดขาว อดไม่ได้ที่จะยกมือกุมหน้าผาก ร่างกายโงนเงน ซูหลีรีบประคองแขนนาง กลิ่นหอมที่เกิดจากการผสมผสานกันลอยโชยออกมาจากเรือนผมของฮองเฮา ซูหลีขมวดคิ้ว ก่อนจะขานเรียกเสียงเบา “ฮองเฮาเพคะ!”
ฮองเฮาสูดหายใจเบาๆ “ฝ่าบาทเพคะ อยู่ๆ หม่อมฉันก็รู้สึกวิงเวียน อยากไปพักสักหน่อย เพื่อหลีกเลี่ยงมิให้เสียกิริยาตรงนี้ ขอฝ่าบาททรงโปรดอนุญาตด้วยเพคะ!”
ฮ่องเต้หันไปมอง เห็นสีหน้าฮองเฮาขาวซีด ไม่คล้ายแสร้งทำ จึงรีบสั่งให้คนพยุงนางไปพักผ่อนที่ตำหนักอวี้ชี
ซูหลีประคองฮองเฮาไม่ยอมคลายมือ เอ่ยถามเสียงเบา “ฮองเฮารู้สึกคลื่นเหียนเวียนไส้ สายตาพร่ามัวใช่หรือไม่เพคะ?”
ฮองเฮาชะงักเล็กน้อย สีหน้าที่บ่งบอกชัดเจนว่านางกล่าวถูกต้อง ทำให้ซูหลียิ่งมั่นใจในสันนิษฐานของตน จึงเอ่ยอีกว่า “บางทียังมีอาการเซื่องซึมติดกันถึงหลายชั่วยาม ฝันร้ายรุมเร้าทว่ากลับมิอาจตื่นขึ้นมาทันที”
“เจ้ารู้ได้อย่างไร?” ฮองเฮามองนางอย่างตกตะลึง อาการป่วยที่แม้แต่หมอหลวงยังตรวจไม่พบ สตรีเยาว์วัยเช่นนางกลับกล่าวได้อย่างแม่นยำตั้งแต่ครั้งแรกที่พบกัน! และอาการป่วยเหล่านี้ ก็เป็นเรื่องที่ทำให้นางปวดหัวรำคาญใจมาตลอดในหลายเดือนที่ผ่านมา
ซูหลีส่ายหน้าเอ่ยว่า “หม่อมฉันไม่รู้วิชาแพทย์ และฮองเฮาเองก็ทรงมีพระวรกายแข็งแรงมิได้ป่วยหนักเพคะ”
“ถ้าเช่นนั้นเป็นเพราะเหตุใด?” ฮองเฮารีบถาม ซูหลียังไม่ทันตอบก็ถูกฮองเฮาบีบมือก่อน ตั้งแต่ที่ซูหลีปรากฏตัวในตำหนักแห่งนี้ สถานการณ์แปรเปลี่ยนไม่อาจควบคุม ทว่าภายใต้การพลิกผัน กลับมีปรากฏการณ์อันยิ่งใหญ่เกิดขึ้น! บวกกับคำทำนายที่เป็นความลับของหลินเทียนเจิ้ง สตรีนางนี้จะต้องไม่ใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอน! ฮองเฮาพลันบังเกิดความคิด หันไปเอ่ยขอร้องฮ่องเต้ “ฝ่าบาท หม่อมฉันอยากให้ซูหลีไปพักที่ตำหนักอวี้ชีเป็นเพื่อนหม่อมฉันสักครู่ เมื่อครู่หม่อมฉันสร้างความลำบากใจให้นาง จึงอยากจะเอ่ยวาจากับนางสักสองสามประโยคเพคะ”
ฮ่องเต้สายตาขรึมลงเล็กน้อย ลังเลครู่หนึ่งก่อนพยักหน้า ซูหลีประคองฮองเฮาเดินช้าๆ ไปยังตำหนักอวี้ชีซึ่งอยู่ด้านซ้ายของตำหนักเฉาเหอ สายตาร้อนแรงเต็มไปด้วยแววพึงพอใจของตงฟางจั๋วจดจ้องแผ่นหลังของนางตลอดจนลับตาไป
ตำหนักสำหรับพักผ่อนของฮ่องเต้และฮองเฮาหลังเสร็จจากงานเลี้ยงอันเหนื่อยล้าถูกประดับตกแต่งอย่างหรูหราโอ่อ่า หลังจากเข้าไปด้านใน ฮองเฮาก็ทรงสั่งให้เหล่านางกำนัลและขันทีในตำหนักอวี้ชีถอยออกไปให้หมด เหลือไว้เพียงหญิงรับใช้คนสนิทเท่านั้น
“เจ้าก็นั่งเถิด” ฮองเฮาชี้ไปที่เก้าอี้นุ่มตัวที่อยู่ใกล้นางที่สุด เอ่ยกับซูหลีด้วยรอยยิ้ม
ซูหลีรีบขอบพระทัยและนั่งลง ท่านั่งสงบเสงี่ยมเรียบร้อย ทว่ากลับไม่สูญเสียความงามสง่า
ฮองเฮามองพิจารณานางขึ้นลงหนึ่งรอบ มิได้เร่งรีบเอ่ยถามทันที นางยกถ้วยชาขึ้น หมายจะจิบเพื่อบรรเทาอาการคลื่นเหียนสักหน่อย ซูหลีกลับเอ่ยปากห้ามปราม “ช้าก่อนเพคะฮองเฮา”
ฮองเฮาขมวดคิ้วมองนาง “ทำไมรึ ชานี้มีปัญหาอย่างนั้นหรือ?”
ซูหลีเอ่ย “เปล่าเพคะ ซูหลีเพียงคิดว่า ยามนี้พระนางรู้สึกไม่สบายพระวรกายนัก มิสู้ให้คนชงชาเก๋ากี้ทองมาลองดื่มดูเพคะ” นางพูดด้วยสีหน้าจริงจัง น้ำเสียงและสีหน้าล้วนแสดงถึงความมั่นใจ
ฮองเฮาครุ่นคิดครู่หนึ่ง หันไปพยักหน้าให้หญิงรับใช้คนสนิท หญิงรับใช้รับคำก่อนออกไป ฮองเฮาจึงค่อยถามขึ้น “เมื่อครู่เจ้าบอกว่าข้าไม่ได้ป่วย เช่นนั้นทำไมจึงรู้สึกไม่สบายกายเล่า? หรือว่า มีคนวางยาพิษข้า?” เอ่ยถึงประโยคสุดท้าย สายตาของฮองเฮาพลันมืดมนขึ้นมาทันที
ซูหลีรู้ดี ในวังหลังนั้น มีเรื่องการแก่งแย่งความโปรดปราน ปากหวานก้นเปรี้ยว วางอุบายทำร้ายกันลับหลังไม่ใช่น้อยๆ นับตั้งแต่เหลียงกุ้ยเฟยสิ้นพระชนม์ ตำแหน่งกุ้ยเฟยในวังก็ว่างเว้นมาโดยตลอด รองลงมาจากฮองเฮา คนที่มีตำแหน่งสูงที่สุดก็มีลี่เฟยเพียงคนเดียว ลี่เฟยชาติกำเนิดต่ำต้อย ไม่มีเล่ห์เหลี่ยมใดๆ ไม่ได้สร้างความหวาดกลัวอันใดให้แก่ฮองเฮา เพียงแต่ร่างกายมีอาการผิดปกติ นางจึงอดไม่ได้ที่จะสงสัย ซูหลีรีบเอ่ย “ฮองเฮาอย่าเพิ่งร้อนพระทัยเพคะ! ซูหลีขอบังอาจถาม ฮองเฮาทรงใช้เฮ่อเซียง โส่วอู และดอกอวี้สื่อผสมกันเพื่อสระผมใช่หรือไม่เพคะ?”
ฮองเฮาสะท้านใจเล็กน้อย เรื่องนี้มีเพียงนางและสาวรับใช้คนสนิทของนางเท่านั้นที่รู้ เด็กสาวตรงหน้ารู้ได้อย่างไรกัน?
เสมือนรู้ว่าฮองเฮาคิดอะไรอยู่ ซูหลียิ้มเล็กน้อย กล่าวว่า “เมื่อครู่ตอนอยู่ในตำหนัก ซูหลีได้กลิ่นหอมจากเรือนผมของฮองเฮา ฉะนั้นจึงบังอาจคาดเดา หากว่าผิดพลาด ก็ขอฮองเฮาโปรดทรงอภัยด้วยเพคะ!”
“ไม่” ฮองเฮาโบกมือ สายตาเข้มขรึม “เจ้ามิได้คาดเดาผิด ข้าใช้สามสิ่งนี้ผสมกันสระผมจริงๆ ทำไมรึ มีปัญหาใดอย่างนั้นหรือ?”
ซูหลีเอ่ย “ทูลฮองเฮา สามสิ่งนี้มีสรรพคุณที่ดีต่อเรือนผม เฮ่อเซียงและอวี้สื่อเมื่อนำมาแช่น้ำสระผม ยิ่งช่วยให้เรือนผมมีกลิ่นหอมติดนานหลายวัน ทว่า… พืชสองชนิดนี้มีรากเป็นแง่ง สรรพคุณเป็นได้ทั้งยาและพิษ หากใช้ถูกก็เป็นยา หากใช้ผิดก็กลายเป็นพิษได้เพคะ”
ฮองเฮาสีหน้าพลันเปลี่ยน นั่งหลังตรง ถามว่า “เช่นนี้ก็หมายความว่าข้าใช้ผิดงั้นหรือ? แล้วใช้อย่างไรจึงถือว่าถูก?”
“ฮองเฮาสามารถใช้สองสิ่งนี้แยกกันได้เพคะ”
“เช่นนั้นพิษที่อยู่ในร่างกายของข้า…” ยามนี้ฮองเฮาไม่สงสัยอะไรอีก จึงเอ่ยถามไม่หยุด
“ฮองเฮาไม่จำเป็นต้องร้อนพระทัยเพคะ ดูจากสีพระพักตร์ พิษน่าจะยังเข้าสู่ร่างกายไม่มาก เพียงต้องใช้วัตถุที่มีฤทธิ์ต้านมากำจัดพิษออกจากร่างเพคะ” ซูหลีเอ่ยจบก็หันไปมองนางกำนัลที่กำลังยกชาใหม่เข้ามาถวายพอดี ฮองเฮาสายตาเป็นประกาย เงยหน้าเอ่ยถาม “หรือว่า ชาเก๋ากี้ทองนี่ก็คือวัตถุที่มีฤทธิ์ขจัดพิษ?”
ซูหลียิ้มบาง “ชานี้เพียงใช้บรรเทาอาการคลื่นเหียนเวียนไส้ของพระนางเท่านั้น หากจะกำจัดพิษ ยังต้องเพิ่มอวิ๋นเว่ยสักหน่อย…ฮองเฮาทรงดื่มชาก่อนเถิดเพคะ!”
ฮองเฮายกถ้วยชาขึ้นอย่างเชื่อฟัง มิได้แคลงใจแม้แต่น้อย เมื่อจิบได้ครึ่งถ้วยชา ผ่านไปยังไม่ถึงหนึ่งเค่อ อาการคลื่นเหียนเวียนไส้ก็หายไปเกือบครึ่ง ได้ผลวิเศษดังคาด ฮองเฮาอดไม่ได้ที่จะเงยหน้ามองนาง เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เจ้ามีความสามารถจริงๆ! มิน่าเล่าเพื่อเจ้าแล้ว จั๋วเอ๋อร์ถึงได้ต่อต้านข้าครั้งแล้วครั้งเล่า กระทั่งพาเจ้าเข้าวังมาโดยไม่สนใจผลที่จะตามมาภายหลัง ไม่สนใจไยดีคำตักเตือนของข้าแม้แต่น้อย!”
“ขอฮองเฮาโปรดทรงอภัยด้วยเพคะ! เป็นความผิดของหม่อมฉันเองเพคะ! ถึงแม้หม่อมฉันมิได้ตั้งใจทำให้จิ้งอันอ๋องกับพระองค์ไม่ลงรอยกัน แต่เรื่องนี้ก็เกิดขึ้นเพราะซูหลี หากพระองค์จะทรงโทษ ก็โทษหม่อมฉันเถิดเพคะ!” ซูหลีมิได้มองข้ามรอยยิ้มพึงพอใจที่พาดผ่านดวงตาของฮองเฮา นางรีบลุกขึ้นและคุกเข่า ราวกับไม่ได้นึกว่าตนเองมีความดีความชอบที่เพิ่งช่วยแก้ไขปัญหาใหญ่ให้แก่ฮองเฮาสักนิด ถึงแม้ฮองเฮาจะไม่รู้ว่าสิ่งที่นางพูดเป็นเพียงก้าวแรกก็ตาม
………………………………………………….