กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 76 เลือกพระชายากลายเป็นเลือกพระสวามี (5)
คิ้วเรียวของฮองเฮากระตุกเบาๆ คล้ายพึงพอใจต่อปฏิกิริยาของนาง ทว่ากลับมิได้บอกให้นางลุกขึ้น เพียงถามหยั่งเชิงต่อว่า “เจ้ากลัวว่าข้าจะลงโทษจิ้งอันอ๋องมากหรือ?”
แน่นอนว่าไม่! ด้วยความชิงชังที่นางมีต่อบุรุษผู้นั้น ถึงแม้เขาตาย นางก็ไม่เสียใจแม้สักส่วนเดียว! แต่นางมิอาจตอบออกไปอย่างนั้น ทำได้เพียงหลุบตาต่ำ ตอบอย่างนอบน้อม “หม่อมฉันมิกล้า หม่อมฉันเพียง…ไม่อยากสร้างความเดือดร้อนให้แก่จิ้งอันอ๋องเพคะ จิ้งอันอ๋องรักและเทิดทูนพระองค์เพียงใด ฟ้าดินเป็นสักขีพยานได้ ขอพระนางโปรดทรงพิจารณาอย่างถี่ถ้วนด้วยเพคะ!”
“อืม” ฮองเฮาพยักหน้า เหลือบมองนกเพลิงตรงหางตานาง พลันนั้นสายตาไหวระริก เอ่ยกับสาวใช้คนสนิท “ไปหยิบศิลามาให้ข้า”
ซูหลีย่อมรู้ว่าคือศิลาอะไร สองมืออดไม่ได้ที่จะกระตุก เงยหน้ามองไป กล่องสีเงินลวดลายประณีตอันคุ้นตาใบนั้นถูกนางกำนัลประคองไว้กลางฝ่ามือ ฮองเฮากดเปิดอย่างชำนาญ ฝากล่องดีดตัวออก ประกายสีแดงโลหิตเจิดจ้าไปทั่วห้อง ใบหน้าของซูหลีซีดขาวดั่งกระดาษ เมื่อนึกว่าสิ่งที่นางต้องเผชิญทั้งหมดในอดีตอาจเกิดจากศิลาก้อนนี้เป็นเหตุ หัวใจยิ่งสั่นระรัว เจ็บปวดรวดร้าวยากทานทน
เมื่อเห็นว่าฮองเฮาหมายจะหยิบศิลาขึ้นมา ซูหลีอดไม่ได้ที่จะร้องขึ้นอย่างร้อนใจ “ฮองเฮาเพคะ!”
ฮองเฮาชะงักทันที หันมามองอย่างประหลาดใจ เมื่อเห็นสีหน้านางผิดปกติ จึงอดไม่ได้ที่จะถาม “มีเรื่องใดหรือ?”
ซูหลีรีบตั้งสติ พยายามสงบอารมณ์สุดความสามารถ ก่อนเอ่ยขึ้นว่า “วันอภิเษกของท่านหญิงหมิงอวี้ ท่านหญิงเคยถือศิลาเลือดนกเพลิงก้อนนี้ภายใต้แสงตะวัน นกเพลิงที่ถูกกักขังอยู่ในศิลาเลือกนาย ลึกลับเกินบรรยาย เรื่องนนี้ได้แพร่สะพัดไปทั่วพระนคร ไม่มีผู้ใดไม่รู้…ซูหลีเห็นศิลานี้มีประกายแดงโลหิต ดูคล้ายกับในข่าวลือ ฉะนั้นจึงคาดเดาว่าศิลานี้เป็นศิลาเลือดนกเพลิงในตำนาน! ด้วยเหตุนี้…จึงบังอาจเตือนฮองเฮาให้ทรงระวัง เพราะถึงอย่างไร ท่านหญิง…เมื่อแตะต้องมัน ก็ต้องเผชิญกับเหตุไม่คาดฝัน…”
“เจ้ากังวลเกินไปแล้ว!” ฮองเฮาหัวเราะเบาๆ กลุ่มเมฆครึ้มพาดผ่านสายตารางๆ “เรื่องหลีซู ล้วนเป็นนางทำตนเองทั้งนั้น ไม่ใช่เพราะเหตุผลอื่น”
ซูหลีกัดฟันแน่น เพลิงแค้นในทรวงอกยากจะสงบลง ทว่ากลับมิอาจเอ่ยแก้ต่างได้ ต้องมีสักวันที่นางจะใช้ความจริงพิสูจน์ให้ผู้คนใต้ฟ้านี้ประจักษ์ ว่าสายตาของพวกเขานั้นช่างตื้นเขินจนน่าขัน!
ฮองเฮาเอ่ยต่ออีก “ศิลาเลือดนกเพลิงนี้เป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ในตำนาน ข้าให้คนตรวจสอบดูแล้ว ไม่ได้มีปัญหาอันใด ฉะนั้นในวันแต่งงาน ข้าจึงตั้งใจจะยกศิลานี้ให้แก่ชายาในจิ้งอันอ๋องเพื่อเป็นของขวัญแสดงความยินดี”
ซูหลีชะงักงันเล็กน้อย ศิลาเลือดนกเพลิงไม่มีปัญหาใดงั้นหรือ? เป็นไปไม่ได้! วันนั้นนอกจากศิลาเลือดนกเพลิง นางก็ไม่ได้สัมผัสวัตถุอื่นอีกเลย ไม่ได้การ นางต้องคิดหาวิธีนำมันมาตรวจสอบด้วยตนเอง แต่ว่า…ฟังจากวาจาของฮองเฮา หากอยากได้ศิลาก้อนนี้มาก็ต้องแต่งงานกับตงฟางจั๋วเท่านั้น นางเคยพลาดครั้งหนึ่งที่แต่งให้เขา ครั้งนี้จะเอาความสุขทั้งชีวิตของตนเองมาเดิมพันอีกได้อย่างไร? เกิดไม่ได้เป็นเพราะศิลาก้อนนี้เป็นเหตุจริงๆ จะยิ่งไม่เป็นการสูญเปล่าหรอกหรือ!
ฮองเฮามองพินิจศิลาเลือดนกเพลิง ก่อนจะเปรียบเทียบกับปานบนหน้าซูหลี แล้วนึกถึงสีหน้าแปลกๆ ที่ผิดไปจากปกติของฮ่องเต้ ในใจพลันสะดุด ถึงขั้นรีบประคองซูหลีให้ลุกขึ้นด้วยมือตนเอง ก่อนจะเอ่ยถามด้วยเสียงอ่อนโยน “เจ้าคิดว่า จิ้งอันอ๋องและเจิ้นหนิงอ๋องเป็นอย่างไร?”
ซูหลีค้อมกายถอยหลังสองก้าว ก้มหน้าตอบ “ล้วนดีเพคะ”
ฮองเฮาหัวเราะ “เจ้ากลับไม่ยอมผิดต่อผู้ใด แต่สองคนนั้นต่างก็หมายตาเจ้า แล้วเจ้าจะเลือกใครกันเล่า?”
ซูหลีพลันสะดุ้ง สีหน้าลนลานแตกตื่น ตอบว่า “พระองค์ทรงทำให้หม่อมฉันลำบากใจแล้ว! ท่านอ๋องทั้งสองล้วนฐานะสูงส่ง ซูหลีเป็นเพียงสาวชาวบ้านธรรมดา ฐานะต่ำต้อย จะกล้าเลือกท่านอ๋องทั้งสองได้อย่างไรเล่าเพคะ!” เอ่ยจบก็คุกเข่าลงอีกครั้ง ฮองเฮาย่อกายนั่งลงตรงหน้านาง ดวงตาหงส์เคร่งขรึม จ้องตานางนิ่งก่อนจะถามอีกว่า “หากฝ่าบาททรงให้เจ้าเลือก แล้วเจ้าจะกล้าไม่เลือกหรือ?”
“นี่…” ฮ่องเต้จะให้นางเลือกได้อย่างไรกัน? ซูหลีขมวดคิ้วเบาๆ ขณะกำลังลังเลไม่รู้จะตอบเช่นไร ยามนี้เอง เสียงของนางกำนัลนางหนึ่งก็ดังเข้ามาจากนอกห้อง “ฝ่าบาททรงถามว่าพระวรกายของพระองค์ดีขึ้นไหมเพคะ? ให้เรียกหมอหลวงมาตรวจหรือไม่เพคะ?”
ฮองเฮายิ้มบาง กล่าวตอบ “ไม่ต้องแล้ว ข้ารู้สึกดีขึ้นมากแล้ว เจ้ากลับไปทูล ข้าจะไปตำหนักเฉาเหอเดี๋ยวนี้”
นางกำลังหมุนกายกลับไปแจ้งตามคำสั่ง ฮองเฮาดึงซูหลีให้ลุกขึ้น รอยยิ้มแฝงความหมาย “ดูเหมือนว่าฝ่าบาทเองก็ไม่อยากรอแล้ว พิธีคัดเลือกพระชายาของสองอ๋อง ดูท่าคงขึ้นอยู่กับวาจาเพียงประโยคเดียวของคุณหนูซูเสียแล้ว”
ซูหลีที่เพิ่งลอบถอนใจโล่งอก กลับต้องตระหนกขึ้นมาอีกหน รีบเอ่ยขึ้นว่า “หม่อมฉันมิกล้าเพคะ!”
ฮองเฮาตบหลังมือนางเบาๆ ยิ้มและเอ่ยว่า “เจ้ากลับมีหัวใจที่ฉลาดปราดเปรื่อง! หาได้เหมือนกับสตรีในข่าวลือไม่ เพียงกลัวว่าท่านหญิงหมิงอวี้ จะทำให้เจ้าลำบากไปด้วย ข้ากับเจ้าถือว่ามีวาสนาต่อกัน ในภายภาคหน้าหากเจ้ากลายมาเป็นสะใภ้ข้าจริง คงเป็นเรื่องน่ายินดีไม่น้อย!”
ซูหลีเม้มปากแน่น มิกล้าเอ่ยตอบทันที ผ่านไปครู่หนึ่งจึงค่อยเอ่ยขึ้นว่า “ฮองเฮาทรงเมตตาเกินไปแล้ว ซูหลีมิกล้าอาจเอื้อมเพคะ”
ฮองเฮาพิจารณาสีหน้านาง เห็นนางลำบากใจอย่างยิ่ง คล้ายไม่รู้ควรทำเช่นไร ในใจก็อดไม่ได้ที่จะไม่พอใจเล็กน้อย แม้แต่ตำแหน่งโอรสองค์โตของฮองเฮา กลับยังไม่สามารถทำให้สตรีนางนี้หวั่นไหวได้ นึกดูแล้วสตรีนางนี้ จะต้องมีอะไรพิเศษกว่าคนทั่วไปเป็นแน่ เรื่องนี้เร่งรัดไม่ได้ นางจึงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ฮ่องเต้มีรับสั่งเรียกแล้ว เจ้ากลับตำหนักเฉาเหอไปพร้อมกับข้าเถิด”
ซูหลีรีบรับคำ “เพคะ” ก่อนจะพยุงแขนฮองเฮากลับตำหนักเฉาเหอ
ยามนี้ในตำหนักเฉาเหอทุกคนหัวเราะสังสรรค์เริงรื่น บรรยากาศเปี่ยมไปด้วยความสุข ฮ่องเต้ดูสำราญเบิกบานยิ่งนัก ฝูงชนใต้ฝ่าละอองพระบาทต่างก็มีรอยยิ้มเกลื่อนใบหน้า ทั้งที่ในใจล้วนมีความคิดที่แตกต่างกันไป เมื่อเห็นฮองเฮาเดินเข้ามาในตำหนัก ต่างก็พากันลุกขึ้นค้อมกายถวายบังคม
ที่นั่งของซูหลีอยู่เหนือเหล่าหญิงงาม อยู่รองลงมาจากท่านอ๋องทั้งสอง แยกออกมาเป็นหนึ่งเดียว เพิ่งจะเดินไปนั่ง นางก็ได้ยินฮ่องเต้กำชับเกากงกง “มอบสุรา”
สายตาตื่นตะลึงผสมความริษยาและเจ็บใจของเหล่าหญิงงามทอดมองมาจากรอบทิศ ซูหลีไม่ใส่ใจ สีหน้าไม่แสดงความย่ามใจ นางเอ่ยวาจาขอบพระทัยและนั่งลง เพียงแต่ สุราแก้วนี้ยังยกขึ้นมาไม่ถึงริมฝีปาก ฮ่องเต้ก็เอ่ยต่ออีกว่า “คุณหนูซู โอรสทั้งสองของเราต่างก็เลือกเจ้า เช่นนั้นเจ้าก็เลือกหนึ่งในพวกเขาสองคนเถิด”
สุราในมือเกือบหกรดอาภรณ์บนกาย ซูหลีตะลึงงันไปทันที คิดไม่ถึงว่าฮองเฮาจะกล่าวถูกต้อง นางเงยหน้าอย่างแคลงใจ เห็นฝ่าบาทมีพระพักตร์เคร่งขรึมจริงจัง มิได้พูดเล่นแต่อย่างใด ฝูงชนรอบกายเองก็พลันรอยยิ้มค้างเติ่ง สีหน้าตื่นตะลึงราวกับไม่อยากเชื่อ
ตำหนักใหญ่ที่เมื่อครู่ยังครึกครื้นเป็นหนึ่งเดียว ยามนี้กลับมีบรรยากาศประหลาดแผ่ปกคลุมอีกครั้ง
“หม่อมฉันมิกล้าอาจเอื้อมเพคะ!” ซูหลีรีบวางสุรา ลุกจากที่นั่งออกมาคุกเข่าตรงหน้า
ฮ่องเต้ขมวดคิ้วเอ่ยถาม “เราให้เจ้าเลือก แล้วเจ้ายังมิกล้าอาจเอื้อมอะไรอีก? หรือโอรสทั้งสองของเรา เจ้าล้วนไม่พอใจ?” เอ่ยจบ สีหน้าพลันขรึมลงหลายส่วน
ซูหลีรีบเอ่ยตอบ “หม่อมฉันมิกล้าเพคะ! ท่านอ๋องทั้งสองต่างเปรียบเสมือนมังกรและนกเพลิง โดดเด่นเกินผู้ใด ทั้งยังมีฐานะสูงส่ง ซูหลีเป็นเพียงสามัญชนธรรมดา ซ้ำยังเป็นบุตรีภรรยารอง จะกล้าบังอาจเลือกท่านอ๋องได้อย่างไร! ขอฝ่าบาททรงประทานความตายให้ซูหลีด้วยเพคะ!” นางร้องขอบทลงโทษ เอ่ยวาจาที่เคยกล่าวกับฮองเฮาซ้ำอีกรอบ
ชั่วขณะหนึ่ง ภายในตำหนักพลันเงียบกริบทันที ไม่มีผู้ใดกล้าเอ่ยปาก ได้แต่คาดเดาเงียบๆ ว่าฝ่าบาทจะทรงรับสั่งเช่นไรต่อ ยามนี้ หลีเหยาพลันพุ่งกายออกจากที่นั่ง ค้อมกายก่อนจะเอ่ยว่า “ฝ่าบาท หม่อมฉันหลีเหยา มีเรื่องอยากกราบทูลเพคะ”
ฮ่องเต้มองนางแวบหนึ่ง หลีเหยาเป็นบุตรีของชายารองในเซ่อเจิ้งอ๋อง จัดว่าเป็นสตรีที่งดงามมีความสามารถ ด้อยกว่าหลีซูเพียงส่วนเดียว ยามที่หลีซูยังมีชีวิตอยู่ นางมีอุปสรรคเรื่องฐานะ มิเคยได้ปรากฏตัวในสถานที่เช่นนี้ เมื่อหลีซูตายไป นางก็กลายเป็นบุตรีเพียงคนเดียวของเซ่อเจิ้งอ๋อง เพียงพริบตาก็กลายเป็นคนสำคัญ ฮองเฮาอยากแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กับเซ่อเจิ้งอ๋อง เพื่อเพิ่มความมั่นคงให้กับตำแหน่งตงฟางจั๋วมาโดยตลอด ทว่ากลับไม่คาดคิดว่าหลีซูจะสูญเสียความบริสุทธิ์ซ้ำยังฆ่าตัวตาย ทำให้การแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กลายเป็นเรื่องตลก หลีเฟิ่งเซียนยกบุตรีชายารองนางนี้ขึ้นมา จุดประสงค์ก็เพื่ออยากแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์อีกหน สตรีนางนี้ที่ผ่านมาทำอะไรมักมีความระมัดระวังเสมอ เหตุใดจู่ๆ จึงอยากเอ่ยวาจาในสถานการณ์เช่นนี้?
……………………………………………..