กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 77 เลือกพระชายากลายเป็นเลือกพระสวามี (6)
ฮ่องเต้เอ่ยเสียงเนิบช้า “เจ้าว่ามา”
หลีเหยารวบรวมความกล้า เดินมาคุกเข่าตรงหน้า “คุณหนูซูกับหลีซูพี่สาวของหม่อมฉัน มีใบหน้าคล้ายกัน มีความประพฤติอันดีงาม หลีเหยาเลื่อมใสจากก้นบึ้งหัวใจ พี่สาวโชคไม่ดีด่วนจากไป เหยาเอ๋อร์เจ็บปวดสุดแสน วันนี้ได้พบคุณหนูซู เสมือนได้พบพี่สาวอีกครั้ง ท่านอ๋องทั้งสองสายตาแหลมคม คุณหนูซูรูปโฉมงดงามมากความสามารถ หาใช่สตรีที่พวกหม่อมฉันจะเทียบได้ ขอฝ่าบาททรงโปรดอวยยศให้แก่คุณหนูซู เพื่อให้เหมาะสมกับฐานะของท่านอ๋องด้วยเพคะ” เอ่ยจบ นางก็ค้อมศีรษะคำนับอย่างจริงใจสุดแสน
ซูหลีชะงัก ถึงแม้นางจะรู้ว่าหลีเหยากับหลีซูมีสัมพันธ์ฉันพี่น้องกันอย่างลึกซึ้ง ทว่ากลับไม่เคยคาดฝันว่าหลีเหยาผู้ที่ขี้กลัวมาโดยตลอด กลับกล้าเอ่ยวาจาเช่นนี้ต่อหน้าพระพักตร์ฝ่าบาท! ชั่วขณะหนึ่งนางสับสนงุนงงไปหมด
สีหน้าฮ่องเต้ไม่บ่งบอกอารมณ์ใด ยังคงนิ่งเงียบไม่เอ่ยวาจา ยามนี้สุ่ยหรงหรงที่ยืนอยู่ข้างหลังก็ก้าวออกมา “คุณหนูหลีกล่าวถูกต้องแล้วเพคะ! คุณหนูซูงดงามดั่งเทพธิดา ไม่มีผู้ใดเทียม เทียบกับท่านหญิงหมิงอวี้มีแต่จะเหนือกว่าเท่านั้น ฝ่าบาทโปรดทรงเมตตาด้วยเพคะ!”
ซูหลีอึ้งงัน ถ้าหากบอกว่าหลีเหยาทำไปเพราะมีสัมพันธ์ฉันพี่น้องกับหลีซูอย่างลึกซึ้ง จึงออกตัวช่วยนางเพราะนางมีหน้าตาละม้ายคล้ายพี่สาวตนเอง เรื่องนี้ก็ยังพอเข้าใจได้ แต่สุ่ยหรงหรงผู้นี้เล่า เหตุใดจึงยอมเสี่ยงอันตรายขัดรับสั่ง ด้วยการออกตัวช่วยนาง? แม้ว่าสกุลสุ่ยจะมีตำแหน่งสำคัญในราชสำนัก แต่ในอดีตคล้ายไม่เคยมีพันธ์กับสกุลซูและสกุลหลีมากนัก แล้วเหตุใดสุ่ยหรงหรงจึงตัดสินใจทำเช่นนี้?
นางเงยหน้า ก็สบเข้ากับสายตาลึกล้ำของตงฟางเจ๋อ จึงรีบก้มหน้าลง
ภายในตำหนักเงียบงันอีกครั้ง เงียบงันจนแม้แต่เสียงเข็มตกยังได้ยิน ผ่านไปครู่หนึ่ง ฮองเฮาเห็นฮ่องเต้ครุ่นคิดอยู่นานก็ยังไม่เอ่ยวาจาใด หมายจะอ้าปากพูดเพื่อทำให้บรรยากาศดีขึ้น ยามนี้เอง ตงฟางจั๋วกลับก้าวออกมา เอ่ยว่า “เสด็จพ่อสายพระเนตรกว้างไกล ซูหลีเพียบพร้อมด้วยคุณธรรมและความสามารถ ถึงแม้เป็นบุตรีภรรยารอง แต่มีคุณสมบัติโดดเด่น แม้ผู้ใดก็ไม่อาจเทียบเทียม เสด็จพ่อได้โปรดอวยยศให้นาง อวดความยิ่งใหญ่ของราชวงศ์เราให้เป็นที่ประจักษ์ไปทั่วหล้าด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้สีหน้าเคร่งขรึม ฮองเฮาเห็นเช่นนั้นก็ร้อนใจ หมายจะเอ่ยตำหนิสองสามประโยค แต่อยู่ๆ กลับเห็นฮ่องเต้เรียกบ่าวรับใช้ด้านหลัง “เขียนราชโองการ ซูหลี บุตรีจวนอัครเสนาบดี เพียบพร้อมด้วยคุณธรรมความสามารถ รูปโฉมงดงามไร้ผู้ใดเทียม ร่ายรำงดงามแม้ร้อยปีก็หาชมได้ยาก ทำให้ข้าสำราญและเบิกบานใจยิ่ง จึงมีประสงค์แต่งตั้งให้เป็นท่านหญิงหมิงซี นับจากนี้ สามารถเข้าออกพระราชวังได้ตามอัธยาศัย”
ซูหลีอึ้งงันไปอีกครั้ง ไม่รู้ว่าฮ่องเต้ทรงคิดอะไรอยู่กันแน่? ในอดีตมีเพียงบุตรีของเชื้อพระวงศ์เท่านี้จึงจะมีสิทธิ์ได้รับการแต่งตั้งเป็นท่านหญิง แม้แต่หลีซูเองก็ได้รับการแต่งตั้งเป็นท่านหญิงเพราะจะแต่งงานกับตงฟางจั๋วเช่นกัน แต่ซูหลีนั้นเป็นเพียงบุตรีภรรยารองของอัครเสนาบดี กลับได้รับพระมหากรุณาธิคุณถึงเพียงนี้ เป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมายมากจริงๆ
สีหน้าตื่นตะลึงฉายชัดบนใบหน้าเหล่าหญิงงามในตำหนัก ซูชิ่นยิ่งเบิกตากว้าง เห็นคนที่ถูกนางรังแกมาตั้งแต่เล็กกำลังปีนขึ้นไปอยู่บนหัว แต่นางกลับไม่สามารถทำอะไรได้ ได้แต่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันจนแทบแหลกละเอียด
ซูหลีนิ่งงันไตร่ตรองเรื่องราว ถึงกับลืมขอบพระทัยในพระมหากรุณาธิคุณ เกากงกงที่ยืนอยู่ข้างกายฮ่องเต้ส่งสายตาเตือนนาง “ท่านหญิงหมิงซี รีบขอบพระทัยฝ่าบาทเร็วเข้า”
ซูหลีได้สติ รีบค้อมกาย “ซูหลีขอบพระทัยในพระมหากรุณาธิคุณเพคะ! ขอพระองค์ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นปี หมื่นๆ ปี!”
จากนี้ไปก็จะไม่มีผู้ใดกล้าพูดว่านางเป็นหญิงอัปมงคลอีก และจะไม่มีใครกล้ารังแกนางอีก ถึงแม้เป้าหมายที่นางโปรยผงทองแช่น้ำยาพิเศษเพื่อทำให้ร้อยบุปผาบานสะพรั่ง ร้อยวิหคแข่งกันขับขานจะลุล่วงแล้ว แต่น้ำพระทัยสูงสุดของฝ่าบาท กลับอยู่เหนือความคาดหมายของนางไปมาก ดูท่านับจากนี้ จะต้องระมัดระวังตัวให้มากขึ้น ไม่อาจก้าวพลาดแม้แต่ก้าวเดียว!
ฮ่องเต้กล่าว “ไม่ต้องมากพิธี ตอนนี้เจ้าก็เลือกได้แล้ว”
“ฝ่าบาท!” ฮูเอ่อร์ตู ขุนพลอันดับหนึ่งแห่งแคว้นเปี้ยนอดทนมาครึ่งค่อนวัน ในที่สุดก็ลุกขึ้นมาคัดค้าน “ถ้าเช่นนั้นงานแต่งเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างสองแคว้น…”
“ท่านขุนพล!” ฮูเอ่อร์ตูยังกล่าวไม่จบประโยค ฮ่องเต้ก็ยกมือปรามเขาไม่ให้บุ่มบ่ามใจร้อน ก่อนจะหัวเราะเอ่ยว่า “งานเลี้ยงในคราวนี้จัดขึ้นเพื่อให้โอรสทั้งสองของเราเลือกพระชายา กิจของแคว้นไว้ค่อยหารือกันในที่ประชุมพรุ่งนี้เช้าเถิด!”
ความหมายของฮ่องเต้นั้นชัดเจนที่สุดแล้ว ฮูเอ่อร์ตูคล้ายไม่เห็นด้วย แต่กลับทำอะไรไม่ได้ ครั้งนี้ที่พวกเขามาแคว้นเฉิง ก็มาในนามตัวแทนแสดงความยินดีสำหรับงานเลือกพระชายาของสองอ๋อง ถ้าหากมาแย่งชิงสตรีกับท่านอ๋องของแคว้นผู้อื่นคงไม่ใช่เรื่องดีนัก เขาทำได้เพียงนั่งลงอย่างไม่เต็มใจ และพยายามเก็บงำอารมณ์ของตนเองอย่างเต็มที่
ซูหลีขมวดคิ้วเบาๆ เงยหน้ามองไปทางตงฟางจั๋วและตงฟางเจ๋อ ตอนนี้สองคนนั้นก็กำลังมองนางเช่นกัน คนหนึ่งสายตามีประกายร้อนแรง เต็มไปด้วยความคาดหวัง คิดว่าตนเองเป็นคนพานางเข้าวัง อย่างไรก็ต้องมีโอกาสสูงกว่าเป็นแน่ ทว่ากลับไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วนางก็คือชายาในอดีตที่เขาเคยขับไล่ไสส่งออกจากจวนอย่างโหดร้าย! ซูหลีลอบแสยะยิ้มในใจ อดไม่ได้ที่จะคิด หากตงฟางจั๋วหลงรักนางเข้าจริงๆ ภายหน้าหากนางพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตนเองได้สำเร็จ แล้วบอกตัวตนที่แท้จริงให้เขารู้ เขาจะรู้สึกเหมือนมีคันศรนับหมื่นปักทะลุหัวใจหรือไม่? จู่ๆ นางก็อยากให้วันนั้นมาถึงเร็วๆ เหลือเกิน!
เมื่อหันไปมองตงฟางเจ๋อ ดวงหน้าคมเข้มประดับรอยยิ้มบาง คล้ายมีความอ่อนโยนผสมอยู่รางๆ มองไม่เห็นทั้งความคาดหวัง และความกังวลใดๆ เขายังคงสงบนิ่งเหมือนอย่างเคย ราวกับทุกอย่างล้วนอยู่ในกำมือ เมื่อลองนึกดูอย่างละเอียด พิธีคัดเลือกชายาในครั้งนี้ คนที่มีสีหน้าเรียบเฉย ไม่แสดงอารมณ์ใดๆ เลยแม้แต่น้อยตั้งแต่ต้นจนจบ เกรงว่าจะมีเขาเพียงคนเดียวเท่านั้น! คนผู้นี้ลึกล้ำเกินไปจนพาให้ผู้คนรู้สึกหวาดกลัว ถ้าหากเขาเป็นศัตรูคู่แค้นของนางจริงๆ นางจะทำอย่างไรดี? อาศัยพลังอำนาจของนางในตอนนี้ ไม่มีทางเป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้แน่!
จิตใจหนักอึ้งขึ้นเรื่อยๆ สองคนนี้ ซูหลีไม่อยากเลือกใครทั้งนั้น และไม่อาจเลือกได้ด้วย วิธีที่ดีที่สุดสำหรับตอนนี้ คือทำได้เพียงประวิงเวลาออกไปก่อน
“ฝ่าบาท ท่านอ๋องทั้งสองล้วนโดดเด่นเกินผู้ใด หมิงซีไม่รู้ควรเลือกเช่นไรจึงจะถือว่าเหมาะสม ฉะนั้น…หมิงซีขอเสี่ยงตายขอความกรุณาจากฝ่าบาท โปรดให้เวลาหมิงซีสักนิด ให้หมิงซีได้ทำความรู้จักกับท่านอ๋องทั้งสอง เพื่อเลี่ยงไม่ให้เกิดความผิดพลาดเป็นเหตุให้เสียใจภายหลัง…ขอฝ่าบาทโปรดทรงอนุญาตด้วยเพคะ!” ในเมื่อมีพระราชโองการลงมาแล้ว นางจึงแทนตัวเองด้วยยศที่เพิ่งได้รับ ค้อมกายคำนับไปทางฝ่าบาทด้วยสีหน้าอ้อนวอนอย่างสุดซึ้ง
เห็นชัดว่าคำขอนี้เป็นคำขอที่ใจกล้าอย่างถึงที่สุด ใจกล้าจนพาให้ผู้คนรอบข้างลอบเหงื่อซึมแทนนาง ตงฟางเจ๋อสีหน้าพลันแปรเปลี่ยนเล็กน้อย ตงฟางจั๋วยิ่งขมวดคิ้วแน่น
ฮ่องเต้สายตานิ่งขรึม ยังคงทอดมองนางด้วยแววตาปกติ มองไม่ออกถึงความยินดียินร้าย
ซูหลีคุกเข่าอยู่ตรงนั้น ไม่กล้าขยับแม้แต่น้อย เพียงรู้สึกว่าบรรยากาศรอบกายราวกับถูกแช่แข็งไปแล้ว
ไม่รู้คุกเข่าอยู่นานเท่าใด ในที่สุดตงฟางเจ๋อก็กล่าวว่า “เสด็จพ่อ ลูกคิดว่าที่ท่านหญิงหมิงซีกล่าวมาก็มีเหตุผล ถึงแม้การแต่งงานนั้นบิดามารดาเป็นผู้จัดการ แม่สื่อเป็นผู้ดำเนินการ แต่ท่านหญิงหมิงซีนั้นงดงามดั่งเทพธิดา เหล่าบุรุษล้วนหมายตา ท่านหญิงไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนแล้วจึงค่อยเลือก ลูกเห็นว่าเป็นการกระทำที่ฉลาดปราดเปรื่องพ่ะย่ะค่ะ”
สายตาเย็นชาของตงฟางจั๋วมองไปที่เขา อดไม่ได้ที่จะกล่าว “วาจานี้ของน้องหก หมายความว่ายินยอมมอบสิทธิ์ในการตัดสินใจให้ซูหลี?”
ตงฟางเจ๋อกล่าวพร้อมเสียงหัวเราะ “ถูกต้อง ข้าเคารพและยอมรับทุกการตัดสินใจของท่านหญิงหมิงซี หากมีวาสนาต่อกัน นางก็จะต้องกลายเป็นชายาของข้าแน่นอน หากไม่มีวาสนาต่อกัน แม้นบังคับก็ใช่ว่าจะสมหวังดังที่ใจปรารถนา” น้ำเสียงของเขาเรียบเฉยเนิบช้า สายตากลับแฝงไว้ด้วยความนัย
เคารพ! ในสังคมที่ชายเป็นใหญ่เช่นนี้ จะมีบุรุษสักกี่คน ที่รู้จักเคารพและให้เกียรติสตรีจริงๆ? ซูหลีสะท้านใจ ถึงแม้ประโยคนี้จะมีจุดประสงค์อื่นแอบแฝงอยู่ แต่เมื่อนางได้ฟัง กลับมีพลังทำลายล้างที่มากพอ
ตงฟางตั๋วยิ้มเย็น “น้องหกคารมคมคายดังคาด! นับแต่อดีต มีแต่อ๋องเลือกชายา ไม่เคยมีท่านหญิงเลือกพระสวามี ยิ่งไปกว่านั้นผู้ถูกเลือกยังมีตำแหน่งสูงกว่ายศท่านหญิงเป็นไหนๆ!”
ตงฟางเจ๋อหัวเราะ คิ้วเข้มคลี่ออก ราวกับสายลมในวสันต์ฤดูได้กลายเป็นสายฝนเย็นฉ่ำ นัยน์ตาลึกล้ำคมเข้มของเขามีประกายยิ้มสดใสสะท้อนอยู่ ซูหลีหัวใจเต้นรัวขึ้นมาอย่างควบคุมไม่อยู่ ทำได้เพียงรีบก้มหน้าลงไป
………………………………………..