กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 78 ประลองปัญญากับตงฟางเจ๋อ (1)
“หรือพี่รองกลัวแพ้?” ท่าทีผ่อนคลายสบายอารมณ์ของเขา กลับทำให้ตงฟางจั๋วยิ่งเดือดดาลยากข่มกลั้น
“เหลวไหล!” ตงฟางจั๋วบันดาลโทสะ “ข้าหรือจะกลัวแพ้?”
“ในเมื่อไม่กลัว มิสู้ลองดูสักครั้ง? ท่านหญิงเลือกพระสวามี เป็นเรื่องที่ไม่เคยมีในราชวงศ์ของเราจริงๆ ร้อยปีให้หลัง ไม่แน่อาจกลายเป็นตำนานงดงาม เล่าขานไปชั่วกาลนาน” ตงฟางเจ๋อยิ้มอ่อนโยนดูไร้พิษภัย ราวกับต้องการบอกว่าตนเองไม่ถือสา และยอมเป็นหนึ่งในตัวเลือกของการคัดเลือกพระสวามีจริงๆ
“ลองก็ลอง ข้า…ไม่มีวันแพ้แน่” ตงฟางจั๋วขบกรามแน่น
“ดี!” ตงฟางเจ๋อหัวเราะ “เจ๋อจะแข่งกับเสด็จพี่อย่างยุติธรรมแน่นอน” พูดไป สายตายากแท้หยั่งถึงของเขาก็กวาดผ่านใบหน้าซูหลี ซูหลีเพียงรู้สึกเย็นสะท้านไปทั่วแผ่นหลัง
สีหน้าของฮ่องเต้อ่อนลงเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยพร้อมเสียงหัวเราะ “ดี ในเมื่อพวกเจ้าทั้งสองต่างก็ยินยอมที่จะลองดูสักครา เราก็จะตอบสนองคำขอของท่านหญิงหมิงซี สามเดือนไห้หลังจะจัดพิธีที่วังเซียวซาน ให้เจ้าเลือกพระสวามีด้วยตนเอง”
“ขอบพระทัยเพคะฝ่าบาท!” ซูหลีคลายใจในที่สุด นางเงยหน้าคลี่ยิ้ม ประกายเจิดจรัสในดวงตาเปล่งประกายอย่างปิดไม่มิด ขับเน้นให้ใบหน้างามล่มเมืองของนางน่าหลงใหลมากยิ่งขึ้น ไร้ผู้ใดทัดเทียม ผู้คนในตำหนักต่างก็อึ้งงัน
องค์รัชทายาทแห่งแคว้นติ้งที่พูดน้อยมาโดยตลอดสายตาไหวระริก พลันลุกขึ้นยกมือประสานคารวะไปทางฮ่องเต้ ก่อนจะกล่าวพร้อมรอยยิ้มอ่อนโยน “ได้ยินมานานว่าท่านอ๋องทั้งสองเก่งกาจทั้งบุ๋นและบู๊ ความสามารถโดดเด่นจนคนธรรมดาไม่อาจเทียบเคียง ในเมื่อเป็นท่านหญิงเลือกพระสวามี หลางฉ่างไร้ความสามารถ แต่อยากขอโอกาสในการแข่งขันอย่างยุติธรรม ไม่ทราบพระองค์จะทรงอนุญาตได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
เทียบกับทูตจากแคว้นเปี้ยน องค์รัชทายาทจากแคว้นติ้งผู้นี้ดูจะร้ายกาจกว่ามาก แทนที่จะบอกว่าขอร้อง มิสู้บอกว่าท้าประลองจะเหมาะกว่า หากฮ่องเต้ไม่ตกลง ก็เท่ากับไม่เชื่อใจโอรสของตน อีกอย่าง ก่อนหน้านี้ฮ่องเต้ก็ทรงอนุญาตให้องค์รัชทายาทผู้นี้เลือกชายาก่อน หลังจากนั้นทูตจากแคว้นเปี้ยนกับอ๋องทั้งสองจึงค่อยเลือกซูหลี แต่เขาก็ไม่เคยเอ่ยถึงเรื่องงานแต่งเชื่อมสัมพันธ์แม้แต่น้อย ตรงกันข้ามกลับขอเพียงโอกาสแข่งขันอย่างยุติธรรม ฮ่องเต้ไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธ ทำได้เพียงหันมองโอรสของตนเอง ก่อนจะพยักหน้าเป็นเชิงอนุญาต
ขุนพลฮูเอ่อร์ตูเห็นเช่นนั้น ก็รีบลุกขึ้นกล่าวว่า “ฝ่าบาท องค์ชายสี่ของแคว้นกระหม่อมก็ใคร่ขอร่วมด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”
“ได้” ในเมื่อฮ่องเต้ทรงอนุญาตองค์รัชทายาทแห่งแคว้นติ้งไปแล้ว ย่อมต้องตอบรับขุนพลฮูเอ่อร์ตูด้วยเช่นกัน
เมื่อเป็นเช่นนี้ งานเลี้ยงฉลองที่เดิมจัดขึ้นเพื่อคัดเลือกพระชายาให้โอรสตนเอง สุดท้ายกลับกลายเป็นพิธีคัดเลือกพระสวามีสำหรับบุตรีจวนอัครเสนาบดี! และผู้ที่นางจะได้เลือก ก็เป็นถึงองค์รัชทายาทและองค์ชายจากสามแคว้นที่ยิ่งใหญ่รุ่งเรืองที่สุดในใต้ฟ้านี้ พวกเขาแต่ละคนล้วนได้รับความโปรดปรานและเชื่อมั่นจากฮ่องเต้ของแคว้นตนเอง มีความเป็นไปได้สูงที่จะกลายเป็นผู้สืบทอดบัลลังก์ในอนาคต สถานการณ์เช่นนี้ ทำให้ฐานะของซูหลีหลังจากงานเลี้ยงในวันนี้ได้รับความสำคัญเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว นางกลายเป็นกุลธิดาอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวง ชื่อเสียงเลื่องลือไม่มีผู้ใดทัดเทียม
ในงานคัดเลือกพระชายาฮ่องเต้ได้ประกาศราชโองการในที่สุด ราวกับขว้างหินก้อนใหญ่ลงไปในทะเลสาบอันสงบนิ่ง คลื่นลูกมหึมาได้ก่อตัวขึ้นในจวนอัครเสนาบดี
รถม้าของซูหลีเพิ่งจะมาถึงหน้าประตูจวน ก็ถูกกลุ่มคนมากมายรายล้อมเข้ามาทันที เห็นชัดว่าเตรียมพร้อมมาแต่แรก ยามนี้นางเป็นท่านหญิงที่ถูกอวยยศโดยฮ่องเต้ ในพระราชวังไม่มีองค์หญิง ฉะนั้นไม่ว่าจะเป็นสตรีทั้งในและนอกราชสำนักก็ไม่มีผู้ใดยกตนเสมอนางได้อีก
ซูเซียงหรูที่มีสีหน้าเคร่งขรึมน่าเกรงขามมาโดยตลอด ยามนี้มีแต่รอยยิ้มเกลื่อนใบหน้า เขายืนรอต้อนรับอยู่หน้าจวนด้วยตนเองพร้อมกับซูฮูหยิน หลังจากเอ่ยทักทายสองสามประโยค นางก็ถูกล้อมหน้าล้อมหลังจนไปถึงเรือนบุปผา
ทุกคนนั่งลง ซูหลีกลับไม่เอ่ยวาจามากมาย เพียงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในงานเลี้ยงด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่การเล่าเรื่องที่แสนจะธรรมดานี้ กลับทำให้ซูเซียงหรูเบิกบานใจยิ่ง เขาพึมพำกับตนเองหลายคำว่า “ดี! ดี!” เดิมทีคิดว่าเพียงได้รับความโปรดปรานจากท่านอ๋องทั้งสอง ก็ถือเป็นโชคดีอย่างยิ่งแล้ว แต่ใครเล่าจะคาดคิด แม้แต่ฮองเฮาที่มีอำนาจล้นฟ้า ก็ยังให้ความสำคัญกับนางถึงเพียงนี้ ช่างเหนือจากความคาดหวังของเขาไปมากจริงๆ
บุตรีภรรยารองที่ไม่เคยได้รับความสำคัญคนนี้ ใบหน้างดงาม สีหน้าเรียบเฉย ไร้แววแตกตื่น มีบุคลิกสูงสง่าต่างจากสตรีทั่วไปจริงๆ! ซูเซียงหรูหรี่ตา ลอบคิดว่าไม่กี่วันก่อนที่เขาชี้แนะซูหลีนั้น ช่างเป็นการเดินหมากที่เหมาะสมจริงๆ งานเลี้ยงคัดเลือกพระชายากลับกลายเป็นพิธีเลือกพระสวามีที่จะจัดขึ้นในอีกสามเดือนให้หลัง เห็นชัดว่าความสามารถในการวางตัวและรับมือกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงของนางสูงกว่าสตรีทั่วไปเป็นร้อยเท่า!
ในสายตาฮองเฮา ไม่ว่าสามเดือนหลังจากนี้ ซูหลีจะเลือกใคร นางก็จะกลายเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับตำแหน่งฮองเฮาในอนาคต ถ้าเช่นนั้น พระสวามีของนางก็มีความเป็นไปได้แปดถึงเก้าส่วนที่จะเป็นองค์รัชทายาท! ยามนี้ซูเซียงหรูไม่จำเป็นต้องไปประจบเอาใจผู้ใดอีก กลับเป็นท่านอ๋องทั้งสองที่ต้องมาเอาใจเขา! ราวกับว่าเขามองเห็นอนาคตในแวดวงการเมืองของตนเอง กำลังจะก้าวเข้าสู่บันไดขั้นใหม่แล้ว
ซูหลีมองซูเซียงหรูที่ดีใจจนเก็บอาการไม่อยู่ นางจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าเขาคิดอะไรอยู่? หลังจากพูดคุยสัพเพเหระไม่กี่ประโยค ก็อ้างว่าเหนื่อยล้า ก่อนจะขอตัวกลับไปพักที่เรือน ซูฮูหยินรีบลุกขึ้น อาสาเดินไปส่งนาง ซูหลีเอ่ยปฏิเสธอย่างนอบน้อมแต่ก็ไม่เป็นผล จึงจำต้องเดินออกจากเรือนบุปผาไปพร้อมนาง
ทั้งสองเดินไปยังสวนดอกไม้ด้านหลังด้วยฝีเท้าเชื่องช้า ตลอดทางซูฮูหยินท่าทางกระวนกระวาย อ้าปากหมายจะเอ่ยวาจาแต่ก็หยุดไปหลายหน ซูหลีมองเห็นทุกอย่าง ในใจรู้ดีว่าเป็นเรื่องใด จึงเอ่ยออกไปตามตรง “ฮูหยินไม่จำเป็นต้องกังวล ขอเพียงจากนี้นางประพฤติตนอย่างสงบเสงี่ยมเจียมตัว เรื่องที่แล้วไปแล้ว…ซูหลีไม่สืบสาวเอาความอีกก็ได้”
วันที่ซูหลีถูกลักพาตัวไปขาย ตงฟางเจ๋อได้ช่วยชีวิตนางไว้ด้วยความบังเอิญ ซูชิ่นเกิดกลัวความผิด จึงบอกความจริงกับซูฮูหยินตั้งแต่แรก ภายหลังที่เอ่ยถึงเรื่องนี้ในงานเลี้ยงจวน ซูหลีปัดเรื่องนี้ตกไปอย่างชาญฉลาด นางจึงลอบวางใจ ใครเล่าจะรู้ในงานเลี้ยงคัดเลือกพระชายาวันนี้ ตงฟางเจ๋อกลับหยิบยกเรื่องนี้มาเอ่ยถึงอีกครั้ง ได้ยินว่าฝ่าบาททรงกริ้วมาก และอาจมีการสอบสวนอย่างละเอียดด้วย
ซูฮูหยินเมื่อได้ข่าวก็ร้อนใจดั่งไฟแผดเผา ด้วยกลัวว่าซูชิ่นจะมีภัยมาถึงตัว แต่นางก็ไม่กล้าเอ่ยปากสารภาพความผิดกับซูเซียงหรูตรงๆ หลังจากชั่งน้ำหนักผลดีผลเสีย ก็ทำได้เพียงบากหน้ามาขอร้องซูหลีด้วยตนเอง คิดไม่ถึงยังไม่ทันเอ่ยปาก ก็ถูกผู้อื่นอ่านความคิดออกเสียก่อน
ใบหน้าของนางแดงก่ำก่อนจะเปลี่ยนเป็นขาวซีด ขาวซีดแล้วเปลี่ยนเป็นแดงก่ำอีกครั้ง ท่าทีเย่อหยิ่งทะนงตนที่เคยมียามอยู่ต่อหน้าซูหลีในอดีตหายไปจนหมด ได้ยินอย่างนั้นก็เพียงพยักหน้าอย่างกระอักกระอ่วนใจ ก่อนเอ่ยรับปากหลายคำ และพูดเสียงเบาว่า “เรื่องชิ่นเอ๋อร์ ข้าจะดูแลนางอย่างเคร่งครัด หลีเอ๋อร์…ขอบใจเจ้ามาก”
“ฮูหยินกล่าวหนักเกินไปแล้ว ซูหลีมิกล้ารับไว้ วันนี้ลมแรง ฮูหยินรีบกลับไปพักที่เรือนเถิด” ซูหลียังคงมีสีหน้าเรียบเฉยดังเดิม ถึงขั้นนี้แล้ว เสแสร้งต่อไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรอีก ซูฮูหยินไม่กล่าวให้มากความอีก ทั้งสองต่างแยกย้ายกลับเรือนตนเอง
ไม่ใช่ว่านางมีน้ำใจกว้างขวาง แต่เป็นเพราะเมื่อสามารถมองเห็นความวุ่นวายที่อาจเกิดขึ้นได้ล่วงหน้า เลี่ยงได้ย่อมต้องเลี่ยงไว้ก่อน มิสู้แล่นเรือตามลม หยิบยื่นไมตรีให้ซูฮูหยินก่อน ซูชิ่นได้รับบทเรียนไม่น้อยแล้ว ยามนี้ฐานะของนางไม่ดีเหมือนแต่ก่อน แม้จะไม่เอาความผิดแต่นางคงไม่กล้าบุ่มบ่ามทำอะไรอีก วันเวลานับจากนี้ ซูหลีต้องการทุ่มเทแรงกายแรงใจทั้งหมดเพื่อสืบหาเบาะแสในคดีหลีซู
น่าเสียดายที่เรื่องจริงต่างจากที่คาดหวัง หลังจากงานเลี้ยงคัดเลือกพระชายา ลานสวนเล็กๆ แห่งนี้ของซูหลี ก็มีคนเดินเข้าออกไม่ต่างจากโคมม้าวิ่ง[1] ผู้คนที่ในอดีตต่างพากันหลบหน้านางเหมือนนางเป็นเทพแห่งกาฬโรค ยามนี้กลับหาเรื่องเพื่อมาเยี่ยมนางด้วยข้ออ้างสารพัดรูปแบบ ทำเอาโม่เซียงต้องรับหน้าที่คอยหาข้ออ้างบอกปัดคนเหล่านั้นจนเหนื่อยใจ
ระยะแรกซูหลียังยอมพบอยู่บ้าง ต่อมาพอเห็นว่ามีคนมาเยี่ยมมากเกินไปไม่อาจต้อนรับได้ไหว จึงสั่งให้โม่เซียงปิดประตูเรือนเสีย และประกาศออกไปว่าตนเองไม่สบาย ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่สะดวกพบปะ หลังจากทำอย่างนี้อยู่หลายวัน สถานการณ์จึงค่อยกลับคืนสู่ความปกติในที่สุด
ความคิดและอารมณ์ที่ถูกก่อกวนให้วุ่นวายเหล่านั้น ยามนี้ค่อยๆ เด่นชัดขึ้นมาในสมองอีกครั้ง
………………………………………………………
[1] โคมม้าวิ่ง เป็นโคมที่มีลักษณะพิเศษ โดยตรงกลางภายในโคมจะมีแกนขนาดเล็กอยู่ บนตัวแกนติดภาพกระดาษซึ่งมักจะตัดเป็นรูปคนขี่ม้า ด้านบนของแกนคือกระดาษที่ตัดเป็นรูปกังหัน เมื่อจุดเทียนไขภายในโคมไฟ ไอร้อนจะไปดันให้กังหันหมุน ชักนำให้แกนที่ติดกระดาษตัดเป็นรูปคนขี่ม้าหมุนไปเรื่อยๆ เกิดเป็นภาพคล้ายคนขี่ม้าที่ไล่วิ่งกันเป็นวงกลม