กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 79 ประลองปัญญากับตงฟางเจ๋อ (2)
ศิลาเลือดนกเพลิงอยู่ในมือฮองเฮา ตอนนี้ยังไม่อาจครอบครองได้ จึงยังไม่สามารถตรวจสอบได้ว่ามีคนวางอุบายในศิลาก้อนนั้นจริงหรือไม่ คนชุดดำที่ไล่ล่าหลีซูในวันนั้นวิทยายุทธ์ลึกล้ำ เพลงกระบี่รวดเร็วและแม่นยำ ทุกกระบวนท่าเน้นโจมตีจุดสำคัญ เห็นชัดว่าเป็นนักฆ่าที่เชี่ยวชาญทักษะด้านนี้เป็นพิเศษ เขาถูกปิ่นทองปักที่ไหล่ขวา แต่ยังสามารถใช้มือซ้ายโจมตีนางได้อย่างคล่องแคล่วไร้อุปสรรค ความสามารถพิเศษเช่นนี้ ในยุทธภพจะมีสักกี่คนกัน?! และนักฆ่าที่ฝีมือยอดเยี่ยมขนาดนี้ กลัวก็แต่ว่าจะมีเพียงไม่กี่คนที่ไม่ได้มาจากสำนักเฉินเหมิน…
นัยน์ตางามขรึมลงเล็กน้อย ซูหลีค่อยๆ วางถ้วยชาที่เย็นชืดไปนานแล้วลงบนโต๊ะ ก่อนจะขานเรียกเสียงเบา “หวั่นซิน”
“คุณหนูมีอะไรจะสั่งบ่าวหรือเจ้าคะ?” หวั่นซินรับคำพร้อมเดินเข้ามา นับตั้งแต่ที่ซูหลียังไม่ได้ให้คำตอบต่อข้อเสนอของเจ้าสำนัก นางก็ถูกเรียกตัวกลับสำนักเฉินเหมินบ่อยขึ้นเรื่อยๆ พักหลังมาเริ่มพูดน้อยลงกว่าเดิม ต้นฤดูร้อนที่มีแสงอาทิตย์อันเจิดจ้าสาดส่อง สีหน้านางกลับดูซูบผอมและซีดขาวอย่างชัดเจน
ซูหลียิ้มบาง เอ่ยว่า “ไม่มีอะไร พักนี้ข้าเห็นสีหน้าเจ้าไม่ค่อยดีนัก เป็นเพราะ…มีเรื่องในใจใช่หรือไม่?”
หวั่นซินสะดุดไปเล็กน้อย นางตอบเสียงเบา “ขอบคุณคุณหนูที่เป็นห่วง หวั่นซินไม่เป็นไรเจ้าค่ะ เพียงแต่พักนี้…หวั่นซินอาจต้องจากไปสักช่วง ไม่อาจอยู่ข้างกายคุณหนูตลอดเวลา”
“อ้อ? ทำไมเล่า?”
หวั่นซินเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนตอบเสียงจริงจัง “พักนี้ศิษย์ในสำนักเฉินเหมินถูกคนไล่ล่าสังหารถี่ขึ้นเรื่อยๆ ล้มตายบาดเจ็บ เจ้าสำนักรู้ข่าวก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ออกคำสั่งให้โต้กลับสุดกำลัง พวกบ่าวสี่คนต้องรอรับคำสั่งตลอดเวลาเจ้าค่ะ”
ซูหลีได้ยิน ในใจพลันตกตะลึง เฉินเหมินรวบรวมสี่นักฆ่าที่เก่งกาจที่สุดออกปฏิบัติการพร้อมกัน นี่คงเป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนกระมัง? เช่นนั้นศัตรูจะต้องแข็งแกร่งถึงเพียงไหนกัน? โดยไม่มีสัญญาณเตือน นัยน์ตาลึกล้ำดั่งบ่อน้ำเย็นเยียบคู่นั้นของตงฟางเจ๋อก็ผุดขึ้นมาในสมองนาง
ต้องเป็นเขาแน่!
เหตุการณ์ลอบสังหารขณะล่องเรือในทะเลสาบครั้งก่อน เห็นชัดว่าเป็นแผนล่อศัตรูที่เขาวางไว้ ถึงแม้จะพลาดพลั้งเพราะซูหลี แต่ภัยคุกคามก็ยังคงมี แผนชี้ตัวสายของคนร้ายต่อหน้าธารกำนัลในอารามฝอกวงไม่สำเร็จ จะต้องทำให้เขาโกรธมากแน่ๆ พักนี้คนที่สามารถทำให้เจ้าสำนักเฉินเหมินเคลื่อนไหวใหญ่โตได้ขนาดนี้ นอกจากตงฟางเจ๋อแล้วยังจะมีผู้ใดอีก?! นางลอบสูดหายใจอย่างขนลุก การต่อสู้ครั้งนี้ ไม่รู้จะสะเทือนขวัญถึงขนาดไหน!
นางสงบสติ ก่อนเอ่ย “ที่แท้ก็เช่นนี้เอง…เช่นนั้นเจ้าไปคราวนี้ต้องระวังตัวให้มาก ต้องกลับมาอย่างปลอดภัยรู้หรือไม่”
“ขอบคุณคุณหนูที่เป็นห่วงเจ้าค่ะ”
“พวกเจ้าสี่คนคงจะมีความสามารถที่โดดเด่นกว่าคนอื่น ถึงได้รับความไว้วางใจจากเจ้าสำนักขนาดนี้ เฉินเหมินมีพวกเจ้าอยู่ ครั้งนี้จะต้องพลิกสถานการณ์ได้แน่นอน” ซูหลีเอ่ยถามคล้ายไม่ได้ใส่ใจนัก นางยิ้มบางพร้อมกับจิบชาไปด้วย
หวั่นซินพยักหน้าตอบ “ในยุทธภพต่างเรียกพวกบ่าวว่าสี่นักฆ่าผู้ยิ่งใหญ่ ในเฉินเหมินกลับขนานนามว่าเป็นสี่ทูตผู้ยิ่งใหญ่ ทูตวิญญาณเชี่ยวชาญเรื่องการแพทย์ และยาพิษ ทูตมั่งคั่งเชี่ยวชาญเรื่องการแปลงโฉม และวิชาตัวเบา ส่วนบ่าวถูกขนานนามว่าเป็นทูตนารี มีความรู้เรื่องศิลปะการต่อสู้ และการฝึกจิตทุกแขนงในระดับที่ไม่ลึกซึ้งมาก อีกหนึ่งคนคือทูตกระบี่ วิชากระบี่ล้ำเลิศ โดยเฉพาะเพลงกระบี่มือซ้ายยิ่งยอดเยี่ยม แม้เคยประลองกับบ่าวด้วยมือเพียงข้างเดียว ฝีมือก็ไม่ได้ด้อยลงเลย พวกบ่าวทั้งสี่หากร่วมมือกันต้านศัตรู ตามหลักแล้วสมควรไร้ข้อผิดพลาดเจ้าค่ะ”
ได้ยินคำว่า ‘เพลงกระบี่มือซ้าย’ ซูหลีพลันหัวใจเต้นรัว ค่อยๆ เลื่อนสายตาไปที่ใบหน้าหวั่นซิน กลั้นหายใจก่อนจะยิ้มและกล่าวว่า “เพลงกระบี่มือซ้าย? ฟังดูพิเศษยิ่งนัก ไม่รู้ว่าในยุทธภพจะมีสักกี่คนฝึกฝนวิชาเช่นนี้ได้”
หวั่นซินตอบอย่างไม่ลังเล “คนทั่วไปยามฝึกวิทยายุทธ์ หากไม่ได้ถนัดมือซ้ายมาตั้งแต่เกิด ก็ไม่มีผู้ใดใช้มือซ้ายฝึกเพลงกระบี่หรอกเจ้าค่ะ หวั่นซินเวียนว่ายอยู่ในยุทธภพมาหลายปี นอกจากทูตกระบี่ ก็ยังไม่เคยเห็นผู้ใดมีความสามารถพิเศษเช่นนี้เลยเจ้าค่ะ”
คำตอบนี้ไม่ได้ต่างไปจากการคาดเดาของนางเลยแม้แต่น้อย
ตลอดมาที่นางไม่ตอบรับข้อเสนอของเจ้าสำนักเฉินเหมิน ก็เพราะต้องการหลีกเลี่ยงความขัดแย้งระหว่างเฉินเหมินกับตงฟางเจ๋ออย่างสุดความสามารถ ทว่าสืบไปสืบมา เบาะแสสองอย่างที่เกี่ยวโยงกับคดีของหลีซูอย่างลึกซึ้ง กลับผลักให้นางเข้าสู่วังวนแห่งสงครามมืดนี้จนได้
สายตาของซูหลีเย็นเยียบ กวาดมองพวงแก้มที่ออกจะซีดขาวของหวั่นซิน ในใจก็อดทอดถอนใจไม่ได้ หวั่นซินได้รับคำสั่งให้มาเกลี้ยกล่อมนาง แต่กลับยังไม่ได้คำตอบ ด้วยความเข้มงวดของสำนักเฉินเหมิน นางจะเลี่ยงบทลงโทษไปได้อย่างไรกัน?
ไม่อาจชักช้าได้อีกแล้ว ดูท่านางคงจำต้องไปเยือนสำนักเฉินเหมินสักหน
“หวั่นซิน ไปเตรียมรถเดี๋ยวนี้ พาข้าไปพบเจ้าสำนัก” ซูหลีลุกขึ้นเดินกลับห้องอย่างใจเย็น ก่อนจะเอ่ยกำชับเสียงเบา
หวั่นซินมองนางด้วยสีหน้าตกใจระคนสงสัย เอ่ยอย่างแปลกใจ “เหตุใดคุณหนูจึง…”
ซูหลียืนอยู่หน้าประตู หันหน้ากลับมายิ้มบาง กล่าวว่า “เฉินเหมินเป็นสำนักมือสังหารอันดับหนึ่งในยุทธภพ ลูกศิษย์ในสำนักล้วนมีความสามารถพิเศษ คิดว่าเจ้าสำนักคงมิใช่คนธรรมดาแน่ ข้าอยากฝึกฝนความสามารถพิเศษบ้าง เช่นนั้นแล้วจะไม่ไปเยี่ยมเยียนด้วยตนเองได้อย่างไร”
หวั่นซินยังคงแคลงใจ อ้าปากหมายจะเอ่ยแต่ก็หยุดไป
“วางใจ ข้าไม่ได้จะเข้าร่วมสำนักเจ้า แต่จะไปเจรจาต่อรองกับเจ้าสำนัก” ซูหลีตบมือนางเบาๆ ในสายตาแฝงรอยยิ้ม
หวั่นซินชะงัก คุณหนูรองสกุลซูผู้ที่แต่ก่อนอ่อนแอไม่สู้คน ได้เปลี่ยนแปลงไปเป็นคนละคนแล้ว นางจึงไม่เอ่ยให้มากความอีก หลังจากเตรียมตัวเรียบร้อย ทั้งสองก็ออกจากจวนไปเงียบๆ
ไม่มีใครคาดคิดว่าทางเข้าสำนักเฉินเหมิน สำนักอันดับหนึ่งที่ลึกลับและยากจับต้องในสายตาชาวโลก จะมีสภาพเช่นตรงหน้านี้
ใต้ท้องฟ้ายามวิกาล ลึกเข้าไปในภูเขาซูหมีอันกว้างใหญ่ไพศาล วัชพืชนานาชนิดแข่งกันเจริญเติบโต หลุมศพเล็กๆ ที่รกร้างมาเนิ่นนานกระจายตัวอยู่ท่ามกลางหญ้ารกชัฏเหล่านั้น สายลมยามราตรีกรีดพัดเสียงดังหวีดหวิว ยิ่งทำให้บรรยากาศวังเวงน่าสะพรึงขึ้นอีกหลายส่วน
หวั่นซินกำลังเดินนำซูหลีเดินอ้อมค่ายกลห้าธาตุเหล่านี้ไปอย่างระมัดระวัง พวกนางทั้งสองแต่งกายด้วยอาภรณ์สีดำทั้งตัว สวมหน้ากากทำจากเงินซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของเฉินเหมิน หน้ากากทำจากวัสดุพิเศษ เมื่อถูกแสงจันทร์ยามราตรีส่องกระทบก็เกิดเป็นประกายวิบวับ เงาร่างที่กำลังเคลื่อนไหวของพวกนางทั้งสอง ดูราวกับวิญญาณกำลังล่องลอย
แม้หวั่นซินจะชำนาญทางเป็นอย่างดี แต่นางก็ไม่เคยเบาใจ เพราะเส้นทางเล็กๆ ที่ดูคล้ายไม่มีอะไรพิเศษนี้ หากก้าวพลาดเพียงครึ่งก้าว ก็ราวกับถูกผีบังตา ผู้มาเยือนจะไม่สามารถออกไปจากที่นี่ได้อีก จนกระทั่งหมดแรงและสิ้นลมไปเอง
เมื่อก้าวเท้าก้าวสุดท้ายเข้าสู่เขตปลอดภัย หวั่นซินจึงค่อยถอนหายใจโล่งอก
ซูหลีอดทอดถอนใจเบาๆ ไม่ได้ “มิน่าเล่าหลายปีมาแล้วก็ยังไม่มีผู้ใดหาสำนักเฉินเหมินพบ แค่ทางเข้า ก็ซับซ้อนถึงเพียงนี้”
หวั่นซินตอบเสียงเบา “เฉินเหมินสร้างศัตรูไว้มากมาย แต่ที่ผงาดอยู่ในยุทธภพมานานหลายปีได้ ล้วนพึ่งพาความรอบคอบและความระมัดระวังของเจ้าสำนัก หากมิเช่นนั้น เกรงว่าคงจะล่มสลายไปนานแล้ว…” ยังไม่ทันสิ้นประโยค จู่ๆ นางก็ก้าวเร็วๆ หลายก้าว ออกแรงแหวกหญ้ารกชัฏเบื้องหน้าที่มีความสูงถึงครึ่งหนึ่งของมนุษย์ออก บนผนังภูเขาพลันปรากฏประตูศิลาบานหนึ่ง ซึ่งยามนี้กำลังเปิดแง้มอยู่
หวั่นซินสีหน้าเปลี่ยน ยื่นมือผลักประตูออก ลมเย็นเยียบระลอกหนึ่งพัดปะทะใบหน้า กลับมีกลิ่นคาวผสมอยู่ด้วย เสียงเข่นฆ่ากันอย่างดุเดือด รวมถึงเสียงแหลมเสียดแทงแก้วหูที่เกิดจากอาวุธกระทบกันดังออกมาจากข้างใน
ทั้งสองชะงักฝีเท้าพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย ก่อนจะหันมามองหน้ากัน
หวั่นซินเอ่ยขึ้นอย่างระแวดระวังทันที “แย่แล้ว! เกรงว่าจะเกิดเรื่องขึ้นในสำนักเสียแล้ว เพื่อความปลอดภัย คุณหนูรีบไปจากที่นี่โดยเร็วเถิดเจ้าค่ะ”
ซูหลีขมวดคิ้ว ใจรู้ดีว่าด้วยฐานะของตน หากรั้งอยู่ที่นี่นานต้องไม่เป็นผลดีแน่ นางไม่เอ่ยอะไรมากความ รีบพยักหน้ากล่าวว่า “เช่นนั้นเจ้าก็ระวังตัวด้วย” นางหมายจะหมุนกายจากไป หวั่นซินกลับรั้งให้นางหมอบต่ำอย่างรวดเร็ว แล้วแนบหูขวาติดพื้นดิน หลังจากเงี่ยหูฟังอยู่ครู่หนึ่ง ก็เอ่ยเสียงเครียด “ไม่ทันแล้วเจ้าค่ะ พื้นที่ราบด้านหลังภูเขามีคนจำนวนมากกำลังเคลื่อนตัวเข้ามาล้อมที่นี่”
เสียงฝีเท้าที่ก้าวเดินอย่างสม่ำเสมอ ดังแผ่วเบาผ่านพื้นผิวโลกอันเงียบสงบมารางๆ
เบื้องหน้าเหตุการณ์อันตรายยากคาดเดา เบื้องหลังกองทัพก็กำลังล้อมเข้ามา
หวั่นซินรั้งซูหลีมายืนข้างกายนาง กัดฟันเอ่ยเสียงต่ำ “คุณหนูตามบ่าวมาเจ้าค่ะ” เอ่ยจบ ก็ดึงนางโฉบเข้าไปในประตูศิลาอย่างรวดเร็วดั่งแสงสีดำสายหนึ่ง
…………………………………………..