กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 81 ประลองปัญญากับตงฟางเจ๋อ (4)
เสียงต่อสู้กันอย่างดุเดือดพลันเงียบหายไปทันใด ชั่วขณะหนึ่ง รอบด้านเงียบงันไร้เสียง ได้ยินเพียงเสียงหอบหายใจถี่ระรัวของคนผู้หนึ่งดังก้องอยู่ในตำหนักใหญ่
“นึกไม่ถึงว่าเจ้าสำนักเฉินเหมินผู้เลื่องชื่อลือชาด้านวิทยายุทธ์ล้ำเลิศ กลับอ่อนหัดถึงเพียงนี้!” ตงฟางเจ๋อกล่าวเสียงเย็น น้ำเสียงแฝงแววดูแคลนสุดแสน เขายืนอยู่ใจกลางตำหนัก ใบหน้าหล่อเหลาคมคายถูกแสงสว่างจากคบเพลิงส่องจนเกิดเป็นเงาพาดผ่านไปมา ยากจะมองให้ชัดเจน มีเพียงนัยน์ตาเย็นเยียบ ดุดันไร้ความปรานีที่เด่นชัด
เจ้าสำนักเฉินเหมินฝืนหยัดกายยืนขึ้น เลือดในกายพลันป่วนพล่าน กระแอมไอติดกันหลายหนอย่างควบคุมไม่อยู่ เลือดอุ่นๆ ไหลออกจากมุมปากเป็นสาย ครู่หนึ่งผ่านไป จึงค่อยเอ่ยเสียงแหบพร่า “แค่กๆ เจิ้นหนิงอ๋องฝีมือยอดเยี่ยมดังคาด สามารถใช้กลไส้ศึกตลบหลังเฉินเหมินของข้าได้ วันนี้พ่ายแพ้ให้แก่เจ้า…แค่กๆ ตาแก่เช่นข้าประเมินเจ้าต่ำไป!”
ตงฟางเจ๋อแค่นเสียงฮึ่มเย็นเยียบ ยกเท้าเตะเว่ยซู่ที่นอนล้มอยู่ด้านหนึ่ง พลางหัวเราะเย็นชากล่าวว่า “คิดว่าส่งไส้ศึกเช่นเว่ยซู่มาอยู่ข้างกายข้า ก็จะสามารถรู้ทุกการเคลื่อนไหวของข้าได้อย่างนั้นหรือ? สี่นักฆ่าผู้ยิ่งใหญ่ที่เฉินเหมินเพียรบ่มเพาะขึ้นมา ก็ไม่ได้เก่งกาจดังคำเลื่องลือสักเท่าใด ข้าใช้เขามาบุกทำลายรังกบดานของเจ้า เข้าข่ายคำกล่าวที่ว่าหนามยอกเอาหนามบ่ง!” สายตาของเขาพลันสาดประกายคมปลาบ ก่อนจะเอ่ยต่ออีกว่า “ไม่ต้องพูดเหลวไหลให้มากความ! เจ้าจงสารภาพมาให้หมดว่าผู้ใดบงการอยู่เบื้องหลัง แล้วข้าจะให้เจ้าตายสบายขึ้น!”
‘ฮ่าๆๆ!’ เจ้าสำนักเฉินเหมินแหงนหน้าหัวเราะเสียงดังก้อง “เจิ้นหนิงอ๋อง เจ้าดูเบาตาแก่เช่นข้าเกินไปแล้ว! เฉินเหมินแม้เป็นสำนักหนึ่งในยุทธภพ ทว่ากลับยึดมั่นในหลักการแม้เป็นโจรก็ต้องมีสัจจะ! หากเจ้าอยากรู้จากปากข้าว่าผู้ใดเป็นคนบงการอยู่เบื้องหลัง เกรงว่าจะเสียแรงเปล่า!” เจ้าสำนักเฉินเหมินรู้ดีแก่ใจ ภารกิจลอบสังหารหลายครั้งในอดีต ทำให้เขาทั้งสองได้กลายเป็นศัตรูกันแต่แรกแล้ว ลงแรงไปตั้งเท่าไรกว่าจะหาสำนักเฉินเหมินพบ ตงฟางเจ๋อจะปล่อยเขาไปง่ายๆ ได้อย่างไร? กลัวก็แต่ว่ายิ่งเขาสารภาพเร็วเท่าไร ก็ยิ่งตายเร็วเท่านั้น!
“ความตายมาเยือนตรงหน้ายังไม่รู้จักดูสถานการณ์อีก!” ตงฟางเจ๋อย่างกรายเข้ามา เงาร่างสูงใหญ่ทาบทับร่างกายอ่อนแอของเจ้าสำนักเฉินเหมินจนมิด ดั่งราชาปีศาจที่มาจากขุมอเวจี กลีบปากหนาฉาบไว้ด้วยรอยยิ้มจางๆ กล่าวด้วยน้ำเสียงไร้อารมณ์ “ถ้าเช่นนั้นข้าจะรอดู ผลประโยชน์เล็กน้อยที่ตงฟางจั๋วมอบให้เจ้า จะทำให้ตาแก่เช่นเจ้าอดทนไปได้สักกี่น้ำ!”
เมื่อคำว่าตงฟางจั๋วออกจากปาก กลับทำให้ซูหลีที่อยู่ในห้องลับใบหน้าตึงเครียด นางกัดฟันแน่น น้ำเสียงมั่นอกมั่นใจของตงฟางเจ๋อ เห็นชัดว่าเชื่อมั่นไปแล้วว่าตงฟางจั๋วเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการลอบสังหารเขา เช่นนั้น ก็เป็นไปได้มากว่าตงฟางเจ๋ออาจวางแผนทำลายงานแต่งเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างสองจวนอ๋อง เพื่อแก้แค้นตงฟางจั๋ว!
ไอเย็นแผ่ซ่านไปทั่วร่างกายอย่างควบคุมไม่ได้ เลือดในตัวนางราวกับแข็งกระด้างไปหมดแล้ว! ถ้าหากเรื่องทั้งหมดนี้ล้วนเป็นความจริง…เช่นนั้นตอนนี้นางตกอยู่ในสภาพแวดล้อมที่น่ากลัวขนาดไหนกันแน่? หรือเพื่อแย่งชิงบัลลังก์มังกรนั่น พวกเขาสามารถมองข้ามทุกสิ่งเพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการ แม้ต้องลากคนบริสุทธิ์เข้ามาเกี่ยวข้องก็ไม่รู้สึกผิดสักนิดงั้นหรือ?! ตงฟางจั๋วเป็นเช่นนั้น แม้แต่ตงฟางเจ๋อ…ก็เป็นด้วยงั้นหรือ?!
‘อ๊ากก~~~’ เสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดของเจ้าสำนักเฉินเหมิน ฉุดความคิดของนางให้กลับมายังปัจจุบัน
บนตำหนัก ตงฟางจั๋วดีดนิ้วติดต่อกันหลายครั้ง เจ้าสำนักเฉินเหมินตะลึงงัน ตั้งตัวรับมือไม่ทัน จุดลมปราณสำคัญทั้งแปดทั่วร่างกายถูกโจมตีอย่างรวดเร็ว ร่างกายไม่อาจขยับเคลื่อนไหวได้แม้แต่ครึ่งส่วน! เขายืนมองลมแรงสายหนึ่งพุ่งเข้ามา โจมตีเข้าที่ข้อมือตนเอง เสียง ‘กร๊อบ’ ดังขึ้น กระดูกข้อมือแหลกละเอียดในพริบตา! ใบหน้าที่ซ่อนอยู่ภายใต้หน้ากากสีทองของเขา บิดเบี้ยวทันใด เหงื่อเย็นไหลอาบไปทั่วทุกส่วนของร่างกาย เขาคำรามเสียงดัง ข่มกลั้นความเจ็บปวด! เพียงแต่ความเจ็บปวดนั้นมิได้จางหายไป ทว่ากลับกลายเป็นเข็มน้ำแข็งเล่มเล็กๆ ที่มองไม่เห็นนับพันนับหมื่นเล่ม กระจายตัวไหลเวียนไปตามกระแสเลือด พุ่งตรงไปยังหัวใจของเขาอย่างรวดเร็ว
“เป็นอย่างไร เทียบกับพิษที่เจ้าใช้เล่นงานข้าที่ริมแม่น้ำหลานชางคราก่อน…รสชาตินี้ เหนือกว่าใช่หรือไม่?” ตงฟางเจ๋อหดมือกลับ ในน้ำเสียงแฝงไว้ด้วยแววเคียดแค้นสุดแสน พาให้ผู้ที่ได้ยินอดไม่ได้ที่จะขนลุก เขาหัวเราะเสียงเบา ก่อนเอ่ยเสียงเนิบช้า “ในเมื่อไม่อยากตายสบาย เช่นนั้นข้าจะเล่นเป็นเพื่อนเจ้าเอง! ทหาร! ค้นสถานที่นี้ให้ละเอียดทุกซอกทุกมุม! ข้าไม่เชื่อว่าจะหาเบาะแสไม่เจอสักนิด!”
‘ฮ่าๆ!’ เจ้าสำนักเฉินเหมินพลันหัวเราะเสียงดัง ดวงตาทั้งสองข้างเป็นประกายจนน่าตกใจ เขากระแอมไอหลายเสียงก่อนกล่าว “ตงฟางเจ๋อ! เจ้าคิดจะค้นหาหลักฐาน? เกรงว่าจะไม่ง่ายเช่นนั้น! เจ้าไม่มีทางหาเจอแน่ ถึงแม้หาเจอ…เจ้าก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี!”
ตงฟางเจ๋อไพล่มือไว้ข้างหลัง ยืนอย่างองอาจผ่าเผย แสยะยิ้มอย่างดูแคลน “อ้อ? คราวนี้เจ้าสำนักคงต้องผิดหวัง บนโลกใบนี้ สิ่งที่ข้าตัดสินใจจะคว้ามา…ยังไม่เคยมีสิ่งไหนหลุดมือสักหน!”
ยามนี้ ซูหลีสามารถจินตนาการสีหน้าหยิ่งผยองของตงฟางเจ๋อที่ราวกับกำลังมองผู้ที่อยู่ด้อยกว่าตนเองได้! เขาช่างอวดดีถึงเพียงนี้ คิดจริงหรือว่าทุกสรรพสิ่งในโลกนี้ล้วนอยู่ในกำมือตนเอง?
รอยยิ้มเย็นชาผุดขึ้นที่มุมปากนาง เมื่อนึกถึงเพลงกระบี่มือซ้าย คิ้วงามพลันขมวดเข้าหากัน ตงฟางเจ๋อผู้นี้เป็นมิตรหรือศัตรูยังไม่ทราบแน่ชัด เบาะแสในคดีหลีซูเกี่ยวพันกับเจ้าสำนักเฉินเหมิน นางไม่อาจปล่อยให้เขาตายไปง่ายๆ เช่นนี้! นัยน์ตางามจดจ้องแผนที่กลไกในมืออย่างตั้งอกตั้งใจ แผนการช่วยชีวิตพลันถูกวางขึ้นอย่างรวดเร็วในเวลาสั้นๆ ซูหลีเอ่ยถามเสียงขรึม “หวั่นซิน เจ้าอยากช่วยเจ้าสำนักหรือไม่?”
หวั่นซินนัยน์ตาเป็นประกาย “คุณหนูมีวิธีหรือเจ้าคะ? หากช่วยชีวิตเจ้าสำนักได้ เขาจะต้องตอบแทนคุณหนูเป็นเท่าตัวแน่นอน คุณหนูก็จะได้ในสิ่งที่ต้องการเช่นกันเจ้าค่ะ!”
ซูหลียิ้มบาง “ดี เหลือเวลาไม่มากแล้ว ข้าจะพูดเพียงครั้งเดียว เจ้าต้องตั้งใจฟังให้ดี!”
นิ้วเรียวงามเคลื่อนไหวไปบนแผนที่อย่างรวดเร็ว ประกอบกับคำอธิบายรวบรัดเข้าใจง่ายของซูหลี ผ่านไปไม่นาน เส้นทางเข้าออกรวมถึงจุดรวมตัวสุดท้ายก็ถูกแจกแจงอย่างชัดเจน ความคิดความอ่านอันละเอียดรอบคอบของซูหลีทำให้หวั่นซินที่ได้ฟังถึงกับแววตาเป็นประกาย เอ่ยพึมพำกับตนเอง “คุณหนูฉลาดปราดเปรื่องเกินผู้ใดดังคาด คราวนี้ท่านเจ้าสำนักก็มีหนทางรอดแล้ว!”
ซูหลีกล่าวเสียงจริงจัง “อาศัยควันพิษทำให้ศัตรูสับสน ชักนำให้ศิษย์ในสำนักเข้ามาในห้องลับผ่านเส้นทางลับ แผนการนี้ข้าคิดขึ้นด้วยเวลาที่มีกระชั้นชิด เอ่ยไม่ได้ว่าสมบูรณ์แบบไร้ช่องโหว่ แต่เป็นวิธีที่ง่ายและได้ผลที่สุดแล้ว ไม่อาจชักช้าได้อีก พวกเรารีบแยกย้ายกันไปตามแผนการเถิด!”
หวั่นซินพยักหน้าแรงๆ หยิบควันพิษที่กองรวมกันอยู่ในห้องลับ ยกขึ้นสะพาย แล้วหมุนกายจากไปอย่างรวดเร็ว
ซูหลีพ่นลมหายใจเบาๆ นัยน์ตาแจ่มชัดและเด็ดเดี่ยวทอดมองขึ้นไปบนหลังคาห้องลับ ราวกับมองทะลุสิ่งกีดขวางชั้นแล้วชั้นเล่า ไปยังตำหนักด้านบน
ตงฟางเจ๋อ ท่านอยู่ในที่แจ้ง ข้าอยู่ในที่ลับ วันนี้คนที่ต้องผิดหวัง…จะต้องเป็นท่าน!
การต่อสู้ในค่ำคืนนี้ ศิษย์ในสำนักหลักของเฉินเหมินล้มตายบาดเจ็บนับไม่ถ้วน สำนักขนาดใหญ่ที่เดิมทีมีคนนับพัน ถูกกองทัพองครักษ์ซึ่งเพียบพร้อมด้วยอาวุธและฝีมือที่ตงฟางเจ๋อนำทัพมาตีแตกกระเจิงไปคนละทิศคนละทาง เหลือเพียงร้อยกว่าคนที่ยังคงฝืนสู้อย่างสุดกำลัง
ทันใดนั้น เสียง ‘ปัง’ ดังขึ้นด้านหลังตงฟางเจ๋อ เขาพลันสะท้านใจ รีบหันกลับไปมอง เห็นเพียงหมอกควันสีขาวขุ่นกำลังแผ่ปกคลุมเข้ามาในตำหนักด้วยความเร็วอันน่าทึ่ง!
ตงฟางเจ๋อระแวดระวังทันใด รีบถอยกรูด กลั้นหายใจปิดจมูกแน่น เหล่าทหารองครักษ์ล้อมเข้ามา อารักขาเขาไว้กลางวงอย่างรวดเร็ว พร้อมกับตะโกนเสียงดัง “คุ้มครองท่านอ๋อง!” เหล่าทหารเพิ่งถอยหลังไปได้ไม่กี่ก้าว ข้างหลังก็มีเสียงดังขึ้นอีกสองครั้ง ครานี้ไม่ต้องหันไปมองก็รู้ว่าเป็นสิ่งใด!
หมอกควันชนิดนี้แผ่ปกคลุมเข้ามาเร็วมาก เพียงครู่เดียวก็กระจายไปทั่วตำหนัก ส่งกลิ่นหอมแปลกๆ บดบังการมองเห็นของทุกคน ตงฟางเจ๋อสีหน้าเคร่งเครียด รีบใช้ความคิดทันที ถ้าหากเป้าหมายของอีกฝ่ายคือปล่อยควันพิษ เช่นนั้นก็กระทำโจ่งแจ้งเกินไป เห็นชัดว่าเป็นการเปิดช่องโหว่ให้ศัตรูเตรียมรับมือ ดูจากรูปการ คนผู้นี้น่าจะต้องการข่มขวัญ จุดประสงค์ในการปล่อยควันพิษต้องมากกว่ารบกวนการมองเห็นแน่…เขาพลันตระหนักได้ มีคนต้องการฉวยโอกาสตอนชุลมุนช่วยชีวิตเจ้าสำนักเฉินเหมิน!
…………………………………….