กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ - บทที่ 82 ประลองปัญญากับตงฟางเจ๋อ (5)
ทว่าไม่ทันการเสียแล้ว ยามนี้ในตำหนักเต็มไปด้วยหมอกควันสีขาวขุ่น ยื่นมือไปข้างหน้าก็ยังมองเห็นไม่ชัด! เพลิงโทสะลุกท่วมในใจตงฟางเจ๋อ ลูกดอกสีทองดอกหนึ่งโผล่ออกมาจากแขนเสื้ออย่างไร้ซุ่มเสียง เขาเพ่งสมาธิทั้งหมดเงี่ยหูฟังไปทางตำแหน่งที่เจ้าสำนักเฉินเหมินอยู่เมื่อครู่
‘สวบๆๆ’ เสียงที่ดังมาจากรอบด้าน ทำให้เขาไม่อาจแยกแยะทิศทางได้ชั่วขณะ! อาศัยเพียงสัญชาตญาณอันฉับไว ขว้างลูกดอกออกไปทันทีที่เสียงนั้นดังขึ้น!
‘เคร้ง’ เสียงแหลมใสดังขึ้น ลูกดอกสีทองคล้ายปะทะเข้ากับผนัง โจมตีไม่โดนเป้าหมายแต่อย่างใด
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด ในที่สุดหมอกควันเหล่านั้นก็ค่อยๆ จางไป เมื่อทุกคนกลับมามองเห็นได้อย่างชัดเจนอีกครั้ง ก็อดไม่ได้ที่จะปากอ้าตาค้าง ทางเข้าออกเดิมที่มุ่งหน้าไปได้ทั้งสี่ทิศทางหายไปแล้ว ตอนนี้มีเพียงประตูหินขนาดใหญ่สี่บานตั้งตระหง่านอยู่ตรงนั้น ราวกับอุโมงค์ทางเดินที่เพิ่งสร้างขึ้นอย่างใหม่เอี่ยม
ตงฟางเจ๋อหันขวับ หมอกควันยังคงหลงเหลืออยู่จางๆ เจ้าสำนักเฉินเหมินที่ควรนอนบาดเจ็บจนขยับตัวไม่ได้อยู่บนพื้น ยามนี้กลับหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย
“เซิ่งฉินจงรั้งอยู่ต่อ ที่เหลือแยกย้ายกันออกไปตามล่าบัดเดี๋ยวนี้!” ใบหน้าหล่อเหลามีประกายวาวโรจน์พาดผ่าน นึกไม่ถึงว่าจะมีผู้ใดกล้าแย่งคนไปต่อหน้าต่อตาเขา!
“พ่ะย่ะค่ะ!” ทุกคนแยกย้ายกันเข้าไปในอุโมงค์อย่างรวดเร็ว
ตงฟางเจ๋อยืนนิ่งไม่ไหวติงอยู่ที่เดิม นัยน์ตาคมปลาบกวาดมองสภาพแวดล้อมรอบทิศอย่างเยือกเย็น ในใจแสยะยิ้มเย็นชา อุโมงค์ทั้งสี่ที่อยู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นมานี้ เป็นเพียงอุบายลวงตาที่อีกฝ่ายใช้รบกวนการมองเห็นของฝ่ายเขาเท่านั้น คิดว่าทำเช่นนี้แล้วจะหลอกเขาได้อย่างนั้นหรือ?
เจ้าสำนักเฉินเหมินถูกเขาทำร้ายจนกระดูกแหลกละเอียด จุดลมปราณรอบกายหลายจุดถูกสกัด แทบไม่ต่างจากคนพิการ ถึงแม้จะเป็นผู้มีวิทยายุทธ์สูงส่ง หากคิดจะพาเขาหนีไปในเวลาสั้นๆ ก็ไม่มีทางที่จะไม่ทิ้งร่องรอยไว้สักนิด และเมื่อครู่ขณะที่เขาเพ่งสมาธิทั้งหมด ก็มั่นใจได้ว่ายังไม่มีใครเข้ามาในสถานที่แห่งนี้
ดวงตาคมเข้มสำรวจรอบทิศอย่างละเอียด ในใจพลันสะดุด เขาสาวเท้าไปยังจุดที่เจ้าสำนักเฉินเหมินอยู่อย่างรวดเร็ว แล้วย่อกายนั่งลง คราบฝุ่นในร่องอิฐก้อนนั้นเบาบางมาก เทียบกับก้อนอิฐรอบๆ ดูต่างกันอย่างชัดเจน เห็นชัดว่าเพิ่งถูกคนเคลื่อนย้าย
อยู่ตรงนี้นี่เอง!
ตงฟางเจ๋อรีบลุกขึ้นก้าวถอยหลังหลายก้าว ชุดผาวสีหมึกโบกสะบัดเบาๆ ก่อนจะซัดฝ่ามือไปยังอิฐก้อนนั้น ได้ยินเพียงเสียง ‘บึ้ม’ ดังขึ้น ด้วยพละกำลังอันมหาศาล อิฐก้อนนั้นแตกเป็นเสี่ยงๆ ภายในพริบตา
เส้นทางลับใต้ดินอันมืดมิดพลันปรากฏ สายลมเย็นเยียบระลอกหนึ่งพัดขึ้นมา ตงฟางเจ๋อกระโดดลงไปอย่างไม่ลังเล เซิ่งฉินเองก็กระโดดตามลงไปทันทีเช่นกัน
วินาทีที่กระโดดลงไปถึงพื้น เสียง ‘พึ่บพั่บ’ ดังก้องไปทั่วบริเวณ คบเพลิงที่มีเปลวไฟสีฟ้าอมเขียวถูกอากาศที่ไหลลงมาพร้อมกับตัวพวกเขาจุดสว่างขึ้นมาอีกครั้ง ที่นี่เป็นทางเลี้ยวจุดหนึ่งในเส้นทางลับ เปลวไฟส่องสว่างออกไปข้างหน้าไม่ไกลนัก เบื้องหน้ามีทางแยกซ้ายขวาสองเส้นปรากฏอยู่
กลิ่นคาวเลือดจางๆ ลอยอบอวลอยู่ในอากาศ คิ้วเข้มของตงฟางเจ๋อกระดกเล็กน้อย นัยน์ตาคมปลาบจับจ้องไปยังพื้นสีทึบใต้เท้าตนเอง ตรงนั้นมีหยดเลือดที่จางมากหยดอยู่หลายหยด เลือดยังไม่แข็งตัวเลย ทั้งสองค่อยๆ เดินตามหยดเลือดไปอย่างระมัดระวัง หลังจากเดินเลี้ยวหลายครั้งติดกัน ตำแหน่งด้านขวามือก็พลันปรากฏแสงสีขาวสาดส่องมา
ประตูเหล็กสีดำเข้ม เย็นเยียบหนาแน่น ปิดกั้นด้านในไว้อย่างมิดชิด ไม่สามารถสอดแนมอะไรทั้งสิ้น
ตงฟางเจ๋อยกมือยันประตู ออกแรงที่ฝ่ามือเล็กน้อยก็พลันรู้ถึงความต่าง ประตูบานนี้ทำขึ้นจากเหล็กนิลพันปี ในผิวสัมผัสอันหนาแน่นมีไอเย็นไหลเวียนอยู่ ไม่อาจทำลายด้วยกำลังมนุษย์แน่นอน
เขาสะบัดแขนเสื้อ เอ่ยเสียงเข้ม “เซิ่งฉิน! รีบไปตามคนมาระเบิดประตูบานนี้ให้ข้าบัดเดี๋ยวนี้!”
นี่เป็นวิธีที่เร็วและได้ผลมากที่สุดแล้วจริงๆ!
ซูหลีที่อยู่ในห้องลับได้ยินเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นข้างนอกอย่างชัดเจน คิ้วงามขมวดเล็กน้อย เมื่อครู่นางคำนวณจังหวะได้อย่างแม่นยำ โยนระเบิดควันเข้าไปในตำหนัก และเคลื่อนย้ายกลไก เพิ่งจะลากเจ้าสำนักเข้ามาในห้องลับอย่างทุลักทุเล ตงฟางเจ๋อก็ทำลายทางเข้าเส้นทางลับได้แล้ว บุรุษผู้นี้ไม่หลงกลอุบายลวงของนางแม้แต่น้อย ตัดสินใจแม่นยำ ปราดเปรื่องเกินคนจริงๆ
นางอดไม่ได้ที่จะร้อนใจ เจ้าสำนักที่ตกลงมาจากที่สูงยามนี้สติเลือนราง เมื่อตรวจอาการ ก็พบว่าภายในร่างกายของเขาบาดเจ็บสาหัส ลมหายใจรวยริน เรื่องสำคัญที่สุดยังไม่มีโอกาสปริปากถาม นางจึงไม่กล้าเคลื่อนย้ายตัวเขาส่งเดช
รีบควานหายาอายุวัฒนะในขวดกระเบื้องมาป้อนให้เขากิน จากเดิมที่หายใจรวยริน ลมหายใจก็เริ่มสม่ำเสมอ ทว่ายังคงแผ่วเบายิ่งนัก
ซูหลีกำลังคิดว่าจะทำอย่างไรให้สติเขาฟื้นคืน ทันใดนั้น แขนบางก็ถูกเขาคว้าไว้แน่น “แค่กๆ เจ้าเป็น…ใคร?” เส้นเสียงของเจ้าสำนักแหบพร่าผิดปกติ เขาเอ่ยวาจาอย่างลำบากยากเข็ญ
ซูหลีพลันดีใจ รีบประคองเขาลุกขึ้น พลางเอ่ยเสียงร้อนใจ “ท่านฟื้นแล้ว? รู้สึกอย่างไรบ้าง? ยังเดินได้หรือไม่?” ที่นี่อันตรายเกินไป หากสามารถไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุดได้ย่อมเป็นเรื่องดี
ดวงตาที่อยู่ใต้หน้ากากสีทองมีรัศมีเจิดจ้าพาดผ่าน แววตาคมปลาบเช่นนั้น ไม่คล้ายสายตาของคนที่ใกล้ตายสักนิด เจ้าสำนักจ้องนางอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนหอบหายใจเอ่ยถาม “เจ้า…คือ…คุณหนูรองแห่งสกุลซูหรือ?”
ซูหลีสะดุ้งเล็กน้อย ไม่นานก็ตั้งสติได้ พยักหน้ากล่าวว่า “เป็นข้าเอง” คาดเดาตัวตนของนางได้เร็วขนาดนี้ เจ้าสำนักเฉินเหมินผู้นี้ไม่อาจดูเบาได้จริงๆ
‘แค่กๆ’ เจ้าสำนักกลับหัวเราะเสียงเบา กล่าวว่า “ตาแก่เช่นข้ามองเจ้าไม่ผิดจริงๆ น่าเสียดาย…” พูดไป เขาก็เริ่มไออย่างหนักอีกครั้ง โลหิตไหลทะลักออกจากปาก ย้อมชุดผาวสีเทาขาวบนแผงอกให้กลายเป็นสีแดงสด
ซูหลีร้อนใจ ด้วยกลัวว่าอาการผิดปกติเพียงเล็กน้อยจะทำให้เขาสิ้นใจไปทั้งอย่างนี้ อย่างไรถามเรื่องสำคัญก่อนจะดีกว่า นางหมายจะอ้าปาก ก็ได้ยินเสียง ‘บึ้ม’ ดังมาจากข้างนอก ห้องลับพลันสั่นสะเทือนไปทั้งห้องราวกับแผ่นดินไหว ซูหลีหลับตาแน่น เพลิงโทสะพลันลุกท่วมในใจ
ตงฟางเจ๋อเคลื่อนไหวรวดเร็วถึงเพียงนี้เชียวหรือ เขาเริ่มระเบิดประตูห้องลับแล้ว! โชคดีที่เหล็กนิลพันปีเป็นเหล็กคุณภาพดีที่สุดในโลกนี้ แข็งแกร่งทนทานยิ่งนัก ไม่อาจระเบิดทำลายได้ในเวลาสั้นๆ เพียงแต่สุดท้ายเขาต้องทำลายป้อมปราการด่านสุดท้ายนี้ได้แน่ การรั้งอยู่ที่นี่ต่อไปจึงไม่ใช่แผนการระยะยาว
ซูหลีตั้งสติ เอ่ยเสียงเบา “ซูหลีมีเรื่องหนึ่ง อยากขอคำชี้แนะจากท่านเจ้าสำนัก…”
นางยังเอ่ยไม่จบประโยค ก็ถูกเจ้าสำนักตัดบททันที เขากระแอมไออย่างหนัก ก่อนเอ่ยเสียงแหบพร่า “ไม่ เจ้าฟังข้าก่อน! เวลาของข้า เหลือไม่มากแล้ว…”
ซูหลีทำได้เพียงกล้ำกลืนคำพูดที่เอ่ยออกมาได้แค่ครึ่งเดียว
เจ้าสำนักยกมือซ้ายขึ้นอย่างเชื่องช้า คล้ายกับว่าเขาใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีแล้ว นิ้วมือสั่นๆ สอดเข้าไปในอกเสื้อ หยิบป้ายขนาดเท่าฝ่ามือออกมา ตัวป้ายเป็นสีดำสนิท จำแนกไม่ออกว่าทำขึ้นจากวัสดุใด ขอบทั้งสี่ด้านสลักลวดลายบุปผางดงามประณีต ดูมีเอกลักษณ์ยิ่งนัก ตรงกลางป้ายสลักคำว่า ‘เฉิน’ ขนาดใหญ่ไว้ อักษรสีทองอร่าม โดดเด่นสะดุดตา
ซูหลีสะท้านวาบไปทั้งใจ นางคาดเดาได้รางๆ ว่าสิ่งนี้คืออะไร
“แค่กๆ นี่…นี่คือป้าย…เจ้าสำนักเฉินเหมิน เมื่อเห็นป้ายนี้…เท่ากับเห็นเจ้าสำนักเฉินเหมิน เจ้า… เจ้าช่วยนำสิ่งนี้ มอบให้…หวั่นซิน!” เจ้าสำนักอ่อนระโหยโรยแรง เอ่ยหนึ่งประโยคก็จำต้องพักหายใจอยู่นาน
“ท่านเชื่อใจข้าถึงเพียงนี้? ไม่กลัวข้าเก็บป้ายไว้ใช้ประโยชน์เองหรือ?” ซูหลีกระดกคิ้วงาม
เจ้าสำนักคลี่ยิ้มบางๆ ก่อนจะไออย่างหนักอีกหลายครั้ง และพยายามเอ่ยด้วยเสียงอ่อนแรง “เจ้าไม่ทำเช่นนั้นหรอก หากเจ้าสนใจเฉินเหมิน คงมาพบข้า…นานแล้ว” ไม่เคยพบหน้า แต่กลับคาดเดาความคิดนางได้อย่างทะลุปรุโปร่ง
ซูหลีทอดถอนใจ ก่อนสิ้นลม เจ้าสำนักต้องการให้ส่งมอบป้ายนี้ให้ถึงมือหวั่นซิน เช่นนั้นก็หมายความว่าหวั่นซินจะกลายเป็นเจ้าสำนักเฉินเหมินคนต่อไป นางอดไม่ได้ที่จะนึกย้อนถึงอดีต น้ำเสียงยามหวั่นซินเอ่ยถึงเจ้าสำนักเฉินเหมินเต็มไปด้วยความเชื่อมั่นสุดหัวจิตหัวใจ นึกดูแล้วคงมีเรื่องราวความเป็นมาซับซ้อนไม่น้อย เกรงว่าคงไม่ใช่เรื่องที่นางจะเข้าใจได้
………………………………………………………..